ผู้เลี้ยงใต้โคม่า หมูเถื่อน ถล่ม ทำรายย่อยค้างสต๊อกอื้อ-ขาดทุนอ่วม
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1194116
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยใต้กระอักเจอ 4 เด้ง ถูก “หมูเถื่อน” ตีตลาดหนักสุด ทำราคาหมูหน้าฟาร์มเหลือ 88 บาท/กก. ขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ 90 บาทราคาอาหารสัตว์พุ่ง ผวาผู้เลี้ยงล้มอีกระลอก
นาย
ภักดี ชูขาว เจ้าของภักดีฟาร์ม อ.เมือง จ.พัทลุง ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก จำนวน 400 แม่พันธุ์ และกรรมการสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อยทั่วภาคใต้นับพันรายกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักมาก
เนื่องจากไม่สามารถขายสุกรที่เลี้ยงได้ ทำให้เหลือค้างสต๊อกจำนวนมาก เนื่องมาจาก 4 สาเหตุหลัก ได้แก่
1. มีการลักลอบนำเข้าสุกรจากต่างประเทศหรือ “หมูเถื่อน” ในรูปหมูกล่องเข้ามาขายราคาถูก
2. ราคาสุกหน้าฟาร์มในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา สปป.ลาว และจีนราคาประมาณ 70 บาท/กก. ทำให้มีการลักลอบเข้ามาทางชายแดน
3. ผู้บริโภคในภาคใต้ไม่มีกำลังซื้อ เพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
4. ไทยยังไม่สามารถส่งออกสุกรได้ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อยขาดทุนตัวละ 500-1,000 บาท และมีแนวโน้มจะขาดทุนเพิ่มขึ้นถึงตัวละ 1,500 บาท/ตัว เพราะต้องแบกภาระต้นทุนการเลี้ยงทั้งค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าบริหารจัดการ
“หมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาขายราคาถูก ชำแหละเป็นซากแล้วเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 40-50 บาท/กก. ทำให้หมูที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ ไม่มีคนมาซื้อ ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนการเลี้ยงต่อไป เฉพาะฟาร์มของตน
ตอนนี้ขายไม่ได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และแต่ละรายจะอยู่ใกล้เคียงกัน ที่ผ่านมาสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ประกาศราคาขายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มวันพระล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566 ราคา 94 บาท/กก. ลดลงจากวันพระที่ 21 มกราคม 2566 ที่กำหนดราคา 96 บาท/กก. หรือเท่ากับลดลงไป 2.08 บาท แต่ราคาซื้อขายสุกรจริงในพื้นที่เคลื่อนไหวที่ 88 บาท/กก.
ขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรายย่อย รายเล็กอยู่ที่ 90 บาท/กก. ขณะที่ผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ต้นทุนการเลี้ยงจะต่ำกว่า อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะมีคู่ค้า
นอกจากนี้ การที่สุกรค้างสต๊อกภายในฟาร์มจำนวนมาก เพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ เพราะไม่มีรายได้จากฝนตกต่อเนื่อง ยางพารากรีดไม่ได้และราคาไม่ดี ปาล์มน้ำมันราคาตกมาก สำหรับภาพรวมการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด มีผู้เกษตรกร รวมประมาณ 20,000 ราย มีแม่พันธุ์ประมาณ 120,00 ตัว มีผลผลิตกว่า 2,800,000 ตัว/ปี
ขณะที่จังหวัดพัทลุงถือเป็นอันดับ 1 ในการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ และเป็นอันดับ 4 ของประเทศ มีแม่พันธุ์ 20,000 แม่พันธุ์ มีผลผลิตประมาณกว่า 480,000 ตัว/ปี มีผู้เลี้ยงทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก รวมกว่า 4,000 ราย เดือดร้อนกันหมด”
แหล่งข่าวจากวงการเลี้ยงสุกรทางภาคใต้ เปิดเผยกับ “
ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้สถานการณ์หมูเถื่อนถือว่าหนักที่สุด จนส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรขายไม่ออกค้างสต๊อกอยู่ปริมาณมาก โดยมีการนำเข้ามาทางเรือเป็นส่วนใหญ่จากประเทศแถบละตินอเมริกา สหภาพยุโรป เพราะเรือสามารถบรรทุกได้ปริมาณมาก
สมทบกับการลักลอบนำเข้าหมูจากประเทศเพื่อนบ้านลักษณะกองทัพมดเข้ามาทางชายแดน โดยทำตลาดค้าขายกันทางออนไลน์ โดยเฉพาะทาง
เฟซบุ๊ก มีการบรรจุกล่องโฟมพร้อมส่ง ขณะที่ผู้เลี้ยงรายใหญ่ภายในประเทศขยายการเลี้ยงกันจำนวนมาก แม้การท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นกลับมา แต่การบริโภคยังถือว่าต่ำ และประเทศไทยยังส่งออกสุกรไม่ได้ นับตั้งแต่ยอมรับว่าประเทศไทยมีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ส่งผลให้สุกรล้นสต๊อกล้นอยู่ในฟาร์มขายไม่ออก
ปัจจัยที่หนักมากที่สุด คือ “
หมูเถื่อน” ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกเครื่องใน หัว หาง ซึ่งคนต่างประเทศไม่บริโภค โดยนำมาขายส่งให้ร้านอาหาร และนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ลูกชิ้นหมู หมูหยอง หมูแผ่น ฯลฯ และตอนนี้มีหมูจากประเทศเพื่อนบ้านลักลอบเข้ามาลักษณะกองทัพมดอีก เชื่อว่าสุกรที่กรมปศุสัตว์จับได้ประมาณ 1 ล้านกก.น้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาปีกว่า
เมื่อค้างสต๊อกมากส่งผลให้เพิ่มค่าบริหารจัดการ เรื่องค่าอาหารสุกร ดูแลสุกร สำหรับค่าอาหารวัตถุดิบขึ้นมาทุกตัว เช่น ลูกสุกรรุ่น ที่ซื้อมาขุน ขนาดน้ำหนัก 16 กก./ตัว ที่ผ่านมาราคา 3,700 บาท/ตัว ราคาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักปรับราคากันสูงมาก เช่น กากถั่วจากราคา 17-18 บาท/กก. เป็น 23 บาท/กก. ปลายข้าว 650 บาท/กระสอบ ปรับตัวเป็น 720 บาท/กระสอบ ต้องสั่งจากภาคกลาง ปลาป่น 32 บาท/กก. เป็น 40 บาท/กก. ฯลฯ เป็นต้น จึงเป็นภาระให้สุกรที่ค้างสต๊อกจำนวนมาก
“
คาดการณ์ว่าผู้เลี้ยงรายย่อย รายเล็กจะต้องล้มระเนระนาดลงอีก ในอนาคตจะกระทบต่อเนื่องทั้งห่วงโซ่จากที่ล้มกันมาแล้วจากการระบาดของโรค AFS
‘เพื่อไทย’ วาง 15 ขุนพลสู้ศึกซักฟอก – บอก ซีก รบ.คงไม่เล่นเกมล่มองค์ประชุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3806802
‘เพื่อไทย’ วาง 15 ขุนพลสู้ศึกซักฟอก – บอก ซีก รบ.คงไม่เล่นเกมล่มองค์ประชุม
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรค พท. ว่า มันเป็น 152 จะน็อกรัฐบาลเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ก็คงไม่ใช่ แต่คงเป็นการชักถาม เสนอแนะ เป็นการเปิดแผลและตรวจการบ้านในรอบ 4 ปีของรัฐบาล ซึ่งถ้าเป็นมวยก็คงไม่น็อก แต่คงเป็นลักษณะชนะคะแนนขาดลอย โดยหลายเรื่องที่เราจะนำมาพูด เมื่อพูดจบก็จะทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวจริงๆ และประเทศไทยก็เสียโอกาสมา 4 ปีจริงๆ คนที่ทุกคนคิดว่าเป็นคนดีสุดท้ายก็ไม่ใช่คนดี ที่เคยพูดสัญญาเรื่องนโยบายว่าจะทำอะไรบ้างสุดท้ายก็ไม่ทำอะไร ก็จะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
เมื่อถามว่า เบื้องต้นพรรค พท. วางผู้อภิปรายไว้อย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่า เราจัดตามกลุ่มเนื้อหาอยู่ที่ประมาณ 15 คน ขณะนี้ อยู่ในระหว่างการตรวจเช็คข้อมูล การขัดเกลาข้อมูล การซักซ้อม โดยผู้อภิปรายเปิดจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. ส่วนผู้อภิปรายปิดจะเป็นตนเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลอาจจะเล่นเกมเรื่องขององค์ประชุมล่ม นายสุทิน กล่าวว่า “
ไม่น่าจะเล่น เพราะถ้าเล่นเขาก็เสียหายเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีพรรคร่วมรัฐบาลติดต่อมาเพื่อร่วมอภิปรายบ้างแล้วหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ยัง แต่ทราบว่าใกล้ๆ น่าจะมี โดยเป็นพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ซึ่งหากเขามีความตั้งใจที่จะอภิปราย และมีเหตุผลเราก็ไม่ขัดข้อง เพราะทุกฝ่ายสามารถอภิปรายได้ แต่โดยมารยาทคนที่เป็นฝ่ายรัฐบาลเขาก็จะไม่อภิปรายกัน แต่หากเขาจะอภิปรายข้อบังคับก็ให้เขาอภิปรายได้
ถามต่อว่า หากภายในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ ฝ่ายค้านยังอภิปรายไม่ครบ 24 ชั่วโมง ตามที่ได้เวลามาจะมีวิธีจัดการเรื่องของเวลาอย่างไรบ้าง นาย
สุทิน กล่าวว่า ก็จะต้องมีการคุยกับรัฐบาล เพราะสามารถขอต่อกันได้ เนื่องจากวันถัดไปก็จะเป็นวันศุกร์ ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไร หากเราทำให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากฝ่ายรัฐบาลอยากจะขอเวลาเพิ่มด้วยก็ต้องมาคุยกันง หากมีเหตุมีผลเราก็สามารถยืดหยุ่นกันได้
‘ก้าวไกล’ เดินเกมซักฟอกรบ. เน้นอภิปรายภาพรวม ขยี้ ‘บิ๊กตู่’ บริหารเหลว ปมปฏิรูปตร. โดนแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3806474
‘ก้าวไกล’ เดินเกมซักฟอก รบ. เน้นอภิปรายภาพรวม ขยี้ ‘บิ๊กตู่’ บริหารเหลว ปมปฏิรูป ตร. โดนแน่
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นาย
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรค ก.ก. ว่า เบื้องต้นมี ส.ส.พรรค ก.ก. เสนอชื่อขออภิปรายในครั้งนี้เกือบ 20 คน ขณะนี้ ได้คัดเลือกจำนวนที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วตามประเด็นที่เสนอมา แต่ไม่ทราบว่ามีจำนวนกี่คน
โดยเราวางแผนไว้ว่าจะอภิปราย ภาพรวม และไม่ใช่ประเด็นเฉพาะเจาะจงตามที่เกิดขึ้นในช่วงปัจจุบัน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกตัวอย่างเช่นการปฏิรูปตำรวจ รวมถึงความความเดือดร้อนของชาวบ้าน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเกษตร
‘พระพยอม’ ขอบิณฑบาตชีวิต ‘แบม-ตะวัน’ ขอน้องทั้ง 2 เปลี่ยนวิธี มีชีวิตไว้เพื่อสู้ต่อ
นนทบุรี – ‘พระพยอม’ ขอบิณฑบาตชีวิต ‘แบม-ตะวัน’ ขอน้องทั้ง 2 เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เพื่ออยู่รอดูความสำเร็จ พระพุทธเจ้าเคยอดอาหารแต่ไม่สำเร็จ หากเสียชีวิตจะถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง หวั่นลุกลามเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
จากกรณีที่ น.ส.
ทานตะวัน หรือ
ตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 21 ปี และ น.ส.
อรวรรณ หรือ
แบม ภู่พงษ์ อายุ 23 ปี 2 นักกิจกรรมหญิง ยื่นถอนประกันตัวเองเพื่อกลับเข้าเรือนจำ และแสดงเจตจำนงการต่อสู้แบบอดอาหาร และไม่ขอรับการรักษา เพื่อประท้วงเรียกร้องให้ศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในคดีทางการเมือง
ล่าสุด (4 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถาม
พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระ
พยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า ที่ผ่านมาอาตมาได้เคยบิณฑบาตขอชีวิตใครไปก็เยอะ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปะปนกันไป เพราะอาจจะจี้ไปไม่ตรงจุด แต่เมื่อไม่นานมานี้อาตมาได้พบกับเพนกวินที่วัด ทำให้อาตมาเห็นสภาพร่างกายเขาดูทรุดโทรมไปเยอะ เหมือนกับว่าสารอาหารไม่ได้เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายเลย แม้ว่าเขาจะใช้เวลารักษาตัวมาเกือบปีก็ตาม
ทำให้อาตมาคิดได้ว่าระหว่างอุดมการณ์กับชีวิตที่น้อง 2 คนกำลังทำอยู่ ควรจะหาวิธีการต่อสู้ใหม่ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าเคยทดลองมาแล้วว่าการอดอาหารไม่ได้ช่วยให้บรรลุ ท่านจึงเปลี่ยนความคิดกลับมาเสวยอาหารตามเดิม เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรง จากนั้นก็ตั้งใจเดินหน้าใหม่จนประสบความสำเร็จพบอริยสัจ 4 อาตมาจึงคิดว่าถ้าน้องทั้ง 2 คน ยอมถอยออกมาเสียหน่อยเพื่อที่จะก้าวต่อไปใหม่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เห็นหน้าพ่อแม่ ครอบครัวและเพื่อนต่อ แต่ถ้าจะเอาแต่เดินหน้าต่อโดยไม่ยอมถอยเลย แต่ร่างกายไม่เอาด้วย แม้ว่าใจกับอุดมคติจะเดินต่อมันก็กลายเป็นว่าอุดมคติกัดกินชีวิต กัดกินร่างกายให้หมดสภาพลง
พระ
พยอมกล่าวอีกว่า เรื่องนี้อาตมาต้องขอบิณฑบาตไปทางผู้ใหญ่ด้วยว่า ช่วยถนอมชีวิตของเด็กๆ ที่มีความคิดโลดแล่นด้วย อย่าปล่อยเขาไปตามยถากรรม ช่วยประคับประคองผ่อนหนักเบาให้กับเขา ขอให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม 4 ประการ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ขอให้เป็นข้อสุดท้ายสุดที่ผู้ใหญ่ควรจะมี ส่วนทางน้อง 2 คน อาตมาอยากให้ฉุกคิดว่า ระหว่างอุดมคติกับชีวิต ควรเลือกอะไรไว้ก่อน อาตมาขอให้น้องทั้ง 2 คนปลอดภัย เพราะอย่าลืมว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้ ชีวิตประกอบได้ธาตุทั้ง 4 ธาตุ ซึ่งอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญของธาตุทั้ง 4
“
ดังนั้น ถ้าหากน้องทั้ง 2 คน อยากอยู่เพื่อดูความสำเร็จในวันข้าง ก็ไม่ควรเอาชีวิตมาทุ่มกับเหตุการณ์ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว เพราะมันยังมีหนทางอื่นๆ ให้ต่อสู้ การทรมานร่างกายตนเองแบบนี้เป็นการทรมานวิถีชีวิต ถ้าถึงแก่ชีวิตก็เป็นบาปในรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจใช้อาวุธทิ่มแทง หรือฟันร่างกายตนเอง แต่ก็ทำให้สิ้นชีวิตลงด้วยวิถีของตัวเอง ถือเป็นบาปเช่นกัน และนอกจากนี้ เหตุการณ์อาจลุกลามกลายเป็นน้ำผึ้งเพียงหยดเดียว ที่ทำให้ประเทศชาติลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง” พระ
พยอมกล่า
JJNY : 5in1 ผู้เลี้ยงใต้โคม่า หมูเถื่อน│‘พท.’วาง15ขุนพล│‘ก.ก.’เดินเกมซักฟอก│‘พระพยอม’ขอบิณฑบาต│“ซีไอเอ”เผยยูเครนรับศึก
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1194116
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยใต้กระอักเจอ 4 เด้ง ถูก “หมูเถื่อน” ตีตลาดหนักสุด ทำราคาหมูหน้าฟาร์มเหลือ 88 บาท/กก. ขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ 90 บาทราคาอาหารสัตว์พุ่ง ผวาผู้เลี้ยงล้มอีกระลอก
นายภักดี ชูขาว เจ้าของภักดีฟาร์ม อ.เมือง จ.พัทลุง ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก จำนวน 400 แม่พันธุ์ และกรรมการสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อยทั่วภาคใต้นับพันรายกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักมาก
เนื่องจากไม่สามารถขายสุกรที่เลี้ยงได้ ทำให้เหลือค้างสต๊อกจำนวนมาก เนื่องมาจาก 4 สาเหตุหลัก ได้แก่
1. มีการลักลอบนำเข้าสุกรจากต่างประเทศหรือ “หมูเถื่อน” ในรูปหมูกล่องเข้ามาขายราคาถูก
2. ราคาสุกหน้าฟาร์มในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา สปป.ลาว และจีนราคาประมาณ 70 บาท/กก. ทำให้มีการลักลอบเข้ามาทางชายแดน
3. ผู้บริโภคในภาคใต้ไม่มีกำลังซื้อ เพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
4. ไทยยังไม่สามารถส่งออกสุกรได้ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อยขาดทุนตัวละ 500-1,000 บาท และมีแนวโน้มจะขาดทุนเพิ่มขึ้นถึงตัวละ 1,500 บาท/ตัว เพราะต้องแบกภาระต้นทุนการเลี้ยงทั้งค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าบริหารจัดการ
“หมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาขายราคาถูก ชำแหละเป็นซากแล้วเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 40-50 บาท/กก. ทำให้หมูที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ ไม่มีคนมาซื้อ ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนการเลี้ยงต่อไป เฉพาะฟาร์มของตน
ตอนนี้ขายไม่ได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และแต่ละรายจะอยู่ใกล้เคียงกัน ที่ผ่านมาสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ประกาศราคาขายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มวันพระล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566 ราคา 94 บาท/กก. ลดลงจากวันพระที่ 21 มกราคม 2566 ที่กำหนดราคา 96 บาท/กก. หรือเท่ากับลดลงไป 2.08 บาท แต่ราคาซื้อขายสุกรจริงในพื้นที่เคลื่อนไหวที่ 88 บาท/กก.
ขณะที่ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรายย่อย รายเล็กอยู่ที่ 90 บาท/กก. ขณะที่ผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ต้นทุนการเลี้ยงจะต่ำกว่า อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะมีคู่ค้า
นอกจากนี้ การที่สุกรค้างสต๊อกภายในฟาร์มจำนวนมาก เพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ เพราะไม่มีรายได้จากฝนตกต่อเนื่อง ยางพารากรีดไม่ได้และราคาไม่ดี ปาล์มน้ำมันราคาตกมาก สำหรับภาพรวมการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด มีผู้เกษตรกร รวมประมาณ 20,000 ราย มีแม่พันธุ์ประมาณ 120,00 ตัว มีผลผลิตกว่า 2,800,000 ตัว/ปี
ขณะที่จังหวัดพัทลุงถือเป็นอันดับ 1 ในการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ และเป็นอันดับ 4 ของประเทศ มีแม่พันธุ์ 20,000 แม่พันธุ์ มีผลผลิตประมาณกว่า 480,000 ตัว/ปี มีผู้เลี้ยงทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก รวมกว่า 4,000 ราย เดือดร้อนกันหมด”
แหล่งข่าวจากวงการเลี้ยงสุกรทางภาคใต้ เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้สถานการณ์หมูเถื่อนถือว่าหนักที่สุด จนส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรขายไม่ออกค้างสต๊อกอยู่ปริมาณมาก โดยมีการนำเข้ามาทางเรือเป็นส่วนใหญ่จากประเทศแถบละตินอเมริกา สหภาพยุโรป เพราะเรือสามารถบรรทุกได้ปริมาณมาก
สมทบกับการลักลอบนำเข้าหมูจากประเทศเพื่อนบ้านลักษณะกองทัพมดเข้ามาทางชายแดน โดยทำตลาดค้าขายกันทางออนไลน์ โดยเฉพาะทาง
เฟซบุ๊ก มีการบรรจุกล่องโฟมพร้อมส่ง ขณะที่ผู้เลี้ยงรายใหญ่ภายในประเทศขยายการเลี้ยงกันจำนวนมาก แม้การท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นกลับมา แต่การบริโภคยังถือว่าต่ำ และประเทศไทยยังส่งออกสุกรไม่ได้ นับตั้งแต่ยอมรับว่าประเทศไทยมีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ส่งผลให้สุกรล้นสต๊อกล้นอยู่ในฟาร์มขายไม่ออก
ปัจจัยที่หนักมากที่สุด คือ “หมูเถื่อน” ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกเครื่องใน หัว หาง ซึ่งคนต่างประเทศไม่บริโภค โดยนำมาขายส่งให้ร้านอาหาร และนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ลูกชิ้นหมู หมูหยอง หมูแผ่น ฯลฯ และตอนนี้มีหมูจากประเทศเพื่อนบ้านลักลอบเข้ามาลักษณะกองทัพมดอีก เชื่อว่าสุกรที่กรมปศุสัตว์จับได้ประมาณ 1 ล้านกก.น้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาปีกว่า
เมื่อค้างสต๊อกมากส่งผลให้เพิ่มค่าบริหารจัดการ เรื่องค่าอาหารสุกร ดูแลสุกร สำหรับค่าอาหารวัตถุดิบขึ้นมาทุกตัว เช่น ลูกสุกรรุ่น ที่ซื้อมาขุน ขนาดน้ำหนัก 16 กก./ตัว ที่ผ่านมาราคา 3,700 บาท/ตัว ราคาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักปรับราคากันสูงมาก เช่น กากถั่วจากราคา 17-18 บาท/กก. เป็น 23 บาท/กก. ปลายข้าว 650 บาท/กระสอบ ปรับตัวเป็น 720 บาท/กระสอบ ต้องสั่งจากภาคกลาง ปลาป่น 32 บาท/กก. เป็น 40 บาท/กก. ฯลฯ เป็นต้น จึงเป็นภาระให้สุกรที่ค้างสต๊อกจำนวนมาก
“คาดการณ์ว่าผู้เลี้ยงรายย่อย รายเล็กจะต้องล้มระเนระนาดลงอีก ในอนาคตจะกระทบต่อเนื่องทั้งห่วงโซ่จากที่ล้มกันมาแล้วจากการระบาดของโรค AFS
‘เพื่อไทย’ วาง 15 ขุนพลสู้ศึกซักฟอก – บอก ซีก รบ.คงไม่เล่นเกมล่มองค์ประชุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3806802
‘เพื่อไทย’ วาง 15 ขุนพลสู้ศึกซักฟอก – บอก ซีก รบ.คงไม่เล่นเกมล่มองค์ประชุม
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรค พท. ว่า มันเป็น 152 จะน็อกรัฐบาลเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ก็คงไม่ใช่ แต่คงเป็นการชักถาม เสนอแนะ เป็นการเปิดแผลและตรวจการบ้านในรอบ 4 ปีของรัฐบาล ซึ่งถ้าเป็นมวยก็คงไม่น็อก แต่คงเป็นลักษณะชนะคะแนนขาดลอย โดยหลายเรื่องที่เราจะนำมาพูด เมื่อพูดจบก็จะทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวจริงๆ และประเทศไทยก็เสียโอกาสมา 4 ปีจริงๆ คนที่ทุกคนคิดว่าเป็นคนดีสุดท้ายก็ไม่ใช่คนดี ที่เคยพูดสัญญาเรื่องนโยบายว่าจะทำอะไรบ้างสุดท้ายก็ไม่ทำอะไร ก็จะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
เมื่อถามว่า เบื้องต้นพรรค พท. วางผู้อภิปรายไว้อย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่า เราจัดตามกลุ่มเนื้อหาอยู่ที่ประมาณ 15 คน ขณะนี้ อยู่ในระหว่างการตรวจเช็คข้อมูล การขัดเกลาข้อมูล การซักซ้อม โดยผู้อภิปรายเปิดจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. ส่วนผู้อภิปรายปิดจะเป็นตนเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลอาจจะเล่นเกมเรื่องขององค์ประชุมล่ม นายสุทิน กล่าวว่า “ไม่น่าจะเล่น เพราะถ้าเล่นเขาก็เสียหายเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีพรรคร่วมรัฐบาลติดต่อมาเพื่อร่วมอภิปรายบ้างแล้วหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ยัง แต่ทราบว่าใกล้ๆ น่าจะมี โดยเป็นพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ซึ่งหากเขามีความตั้งใจที่จะอภิปราย และมีเหตุผลเราก็ไม่ขัดข้อง เพราะทุกฝ่ายสามารถอภิปรายได้ แต่โดยมารยาทคนที่เป็นฝ่ายรัฐบาลเขาก็จะไม่อภิปรายกัน แต่หากเขาจะอภิปรายข้อบังคับก็ให้เขาอภิปรายได้
ถามต่อว่า หากภายในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ ฝ่ายค้านยังอภิปรายไม่ครบ 24 ชั่วโมง ตามที่ได้เวลามาจะมีวิธีจัดการเรื่องของเวลาอย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่า ก็จะต้องมีการคุยกับรัฐบาล เพราะสามารถขอต่อกันได้ เนื่องจากวันถัดไปก็จะเป็นวันศุกร์ ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไร หากเราทำให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากฝ่ายรัฐบาลอยากจะขอเวลาเพิ่มด้วยก็ต้องมาคุยกันง หากมีเหตุมีผลเราก็สามารถยืดหยุ่นกันได้
‘ก้าวไกล’ เดินเกมซักฟอกรบ. เน้นอภิปรายภาพรวม ขยี้ ‘บิ๊กตู่’ บริหารเหลว ปมปฏิรูปตร. โดนแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3806474
‘ก้าวไกล’ เดินเกมซักฟอก รบ. เน้นอภิปรายภาพรวม ขยี้ ‘บิ๊กตู่’ บริหารเหลว ปมปฏิรูป ตร. โดนแน่
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรค ก.ก. ว่า เบื้องต้นมี ส.ส.พรรค ก.ก. เสนอชื่อขออภิปรายในครั้งนี้เกือบ 20 คน ขณะนี้ ได้คัดเลือกจำนวนที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วตามประเด็นที่เสนอมา แต่ไม่ทราบว่ามีจำนวนกี่คน
โดยเราวางแผนไว้ว่าจะอภิปราย ภาพรวม และไม่ใช่ประเด็นเฉพาะเจาะจงตามที่เกิดขึ้นในช่วงปัจจุบัน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกตัวอย่างเช่นการปฏิรูปตำรวจ รวมถึงความความเดือดร้อนของชาวบ้าน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเกษตร
จากกรณีที่ น.ส.ทานตะวัน หรือ ตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 21 ปี และ น.ส.อรวรรณ หรือ แบม ภู่พงษ์ อายุ 23 ปี 2 นักกิจกรรมหญิง ยื่นถอนประกันตัวเองเพื่อกลับเข้าเรือนจำ และแสดงเจตจำนงการต่อสู้แบบอดอาหาร และไม่ขอรับการรักษา เพื่อประท้วงเรียกร้องให้ศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในคดีทางการเมือง
ล่าสุด (4 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถาม พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า ที่ผ่านมาอาตมาได้เคยบิณฑบาตขอชีวิตใครไปก็เยอะ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปะปนกันไป เพราะอาจจะจี้ไปไม่ตรงจุด แต่เมื่อไม่นานมานี้อาตมาได้พบกับเพนกวินที่วัด ทำให้อาตมาเห็นสภาพร่างกายเขาดูทรุดโทรมไปเยอะ เหมือนกับว่าสารอาหารไม่ได้เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายเลย แม้ว่าเขาจะใช้เวลารักษาตัวมาเกือบปีก็ตาม
ทำให้อาตมาคิดได้ว่าระหว่างอุดมการณ์กับชีวิตที่น้อง 2 คนกำลังทำอยู่ ควรจะหาวิธีการต่อสู้ใหม่ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าเคยทดลองมาแล้วว่าการอดอาหารไม่ได้ช่วยให้บรรลุ ท่านจึงเปลี่ยนความคิดกลับมาเสวยอาหารตามเดิม เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรง จากนั้นก็ตั้งใจเดินหน้าใหม่จนประสบความสำเร็จพบอริยสัจ 4 อาตมาจึงคิดว่าถ้าน้องทั้ง 2 คน ยอมถอยออกมาเสียหน่อยเพื่อที่จะก้าวต่อไปใหม่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เห็นหน้าพ่อแม่ ครอบครัวและเพื่อนต่อ แต่ถ้าจะเอาแต่เดินหน้าต่อโดยไม่ยอมถอยเลย แต่ร่างกายไม่เอาด้วย แม้ว่าใจกับอุดมคติจะเดินต่อมันก็กลายเป็นว่าอุดมคติกัดกินชีวิต กัดกินร่างกายให้หมดสภาพลง
พระพยอมกล่าวอีกว่า เรื่องนี้อาตมาต้องขอบิณฑบาตไปทางผู้ใหญ่ด้วยว่า ช่วยถนอมชีวิตของเด็กๆ ที่มีความคิดโลดแล่นด้วย อย่าปล่อยเขาไปตามยถากรรม ช่วยประคับประคองผ่อนหนักเบาให้กับเขา ขอให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม 4 ประการ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ขอให้เป็นข้อสุดท้ายสุดที่ผู้ใหญ่ควรจะมี ส่วนทางน้อง 2 คน อาตมาอยากให้ฉุกคิดว่า ระหว่างอุดมคติกับชีวิต ควรเลือกอะไรไว้ก่อน อาตมาขอให้น้องทั้ง 2 คนปลอดภัย เพราะอย่าลืมว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้ ชีวิตประกอบได้ธาตุทั้ง 4 ธาตุ ซึ่งอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญของธาตุทั้ง 4
“ดังนั้น ถ้าหากน้องทั้ง 2 คน อยากอยู่เพื่อดูความสำเร็จในวันข้าง ก็ไม่ควรเอาชีวิตมาทุ่มกับเหตุการณ์ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว เพราะมันยังมีหนทางอื่นๆ ให้ต่อสู้ การทรมานร่างกายตนเองแบบนี้เป็นการทรมานวิถีชีวิต ถ้าถึงแก่ชีวิตก็เป็นบาปในรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจใช้อาวุธทิ่มแทง หรือฟันร่างกายตนเอง แต่ก็ทำให้สิ้นชีวิตลงด้วยวิถีของตัวเอง ถือเป็นบาปเช่นกัน และนอกจากนี้ เหตุการณ์อาจลุกลามกลายเป็นน้ำผึ้งเพียงหยดเดียว ที่ทำให้ประเทศชาติลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง” พระพยอมกล่า