ธเนศวร์ ขอ ‘เพื่อไทย’ ยืดอกรับความพ่ายแพ้ อย่าอ้างคณิตศาสตร์ แบ่งเป็นเด็กเล่นขายของ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4051719
ธเนศวร์ เจริญเมือง ขอ ‘เพื่อไทย’ ยืดอกรับความพ่ายแพ้ ทำใจให้ใหญ่ๆ ก้าวต่อไปอย่างทรนง อย่าอ้างคณิตศาสตร์ แบ่งกันเหมือนเด็กเล่นขายของ
จากกรณีที่ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงผลประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ช่วงเย็นวันที่ 27 มิถุนายน ยืนยันจุดยืนว่าพรรคเพื่อไทยต้องได้ตำแหน่ง ประธานสภา โดยใช้สูตร เก้าอี้ 14 รัฐมนตรี + 1 (ประธานนิติบัญญัติ) ตามข้อตกลงเดิมนั้น
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ศ.ดร.
ธเนศวร์ เจริญเมือง ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ใช้สิทธิแสดงความเห็นในฐานะที่เลือกพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ เมื่อคราว #เลือกตั้ง66 วันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยระบุว่า
ด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมไปลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบเมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา หลักการของระบบรัฐสภา เมื่อพรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง ก็คือประชาชนให้ความไว้วางใจแก่พรรคนี้ไปทำงานนำฝ่ายประชาธิปไตย ไปรื้อฟื้นระบอบประชาธิปไตยเพื่อรับใช้ประชาชนและนำพาประเทศชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ตำแหน่งการนำทั้งสภาและฝ่ายบริหารจึงควรตกเป็นของพรรคก้าวไกล จะมาอ้างคณิตศาสตร์อะไรครับว่าใครได้มากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ จึงต้องมาแบ่งอะไรกันแบบเด็กเล่นขายของ คนนี้ได้นี่ เราต้องได้นั่น ก็เขาชนะที่ 1 ไปแล้ว เห็นชัดเจน จะต้องมาจุกจิกทำไมครับ
ผมคิดว่าการนำควรให้พรรคได้ที่ 1 ส่วนกระทรวงต่างๆ ท่านก็จะได้ไปมากโขแล้วนี่ครับ รู้จักการนำอย่างมีเอกภาพไปสร้างความเข้มแข็งของประชาธิปไตยเพื่ออนาคตของประเทศและลูกหลานอย่างเป็นเอกภาพไหมครับ??
ยอมรับเถิดครับ คุณเพื่อไทยว่าคุณได้ที่ 2 ก็ขอให้ที่ 1 ได้นำงานและทำงานสำคัญครั้งนี้ทั้งสภาและฝ่ายบริหารเถิดนะครับ
แพ้เขาแล้วก็ยืดอก เป็นลูกนักสู้ตามรอยนักสู้คนสันกำแพง เป็นนักกีฬาต้องยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ปรับปรุงตัวเองแล้วกลับมาที่ 1 ในวันหน้า ดีกว่านะครับ
นี่คือกติกาของนักสู้ กติกาของระบบประชาธิปไตยแบบอารยะ เขาชนะที่ 1 ก็คือชนะที่ 1 มากกว่ากี่แต้มก็คือชนะที่ 1 ทำใจให้ใหญ่ๆๆๆ มองความผิดพลาดเป็นครู ยอมรับและก้าวต่อไปอย่างทรนง
ผมเลือกพวกคุณมาตั้งแต่ พ.ศ.2544 ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียวตลอดมา ขออย่าให้ผมต้องเลือกพวกคุณครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเลยนะครับ
ด้วยคารวะ
จากผม
ธเนศวร์ เจริญเมือง
คนเชียงใหม่
27 มิถุนายน 2566
https://www.facebook.com/TanetNaLanna/posts/pfbid036RopsNjACfuZmhoCXRCMY9KWTBn9TYidM9UKU4mrvA3gVtB9mHYqYjGMs8P1Ft8Xl
“ชลน่าน” ย้ำจับมือก้าวไกลเดินหน้าตั้งรบ.ปชต.
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_574499/
“ชลน่าน” ย้ำ พรรคเพื่อไทย ยึดหลักจับมือก้าวไกล เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ตามฉันทามติพี่น้องประชาชน ตำแหน่งประธานสภา เสนอหลักการเดิมที่เคยเจรจาไว้ในครั้งแรก
นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเจรจากับพรรคก้าวไกล กรณีตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าท่าทีของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับเรื่องประธานสภาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรการเจรจาพูดคุยกันเพิ่งเริ่มต้นไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นเพียงการรับข้อเสนอของแต่ละพรรคไปพิจารณา
ส่วนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และการประชุม ส.ส.ของพรรคเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้วเรามีข้อสรุปออกมา ก็เป็นเพียงการให้คำตอบกับประชาชนว่าพรรคยืนยันหลักการในสิ่งที่ได้เสนอไปในการเจรจาครั้งแรก ซึ่งได้มีการพิจารณาการทำงานและเฉลี่ยออกมาตามสัดส่วนว่าแต่ละพรรคจะต้องทำอะไร ออกมาเป็น 14+1 คือ พรรคก้าวไกลเป็นรัฐมนตรี 14 ตำแหน่งกับนายกรัฐมนตรีดูแลฝ่ายบริหาร และพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรี 14 และจะรับหน้าที่ในการเป็นประธานสภา ซึ่งในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ได้เสนอไปในการเจรจาครั้งแรก
นพ.
ชลน่าน กล่าวว่า ที่ผ่านมาที่มีการพูดและนำเสนอความคิดเห็นต่างๆ เป็นเพียงความเห็นต่างภายในของแต่ละพรรค ซึ่งการนำเสนอบางมุมสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วย แต่พรรคเห็นว่าเมื่อเกิดกระแสความคิดเห็นที่แตกต่างก็ควรมีความชัดเจนไปเจรจากับพรรคก้าวไกล จึงเป็นที่มาของที่ประชุมพรรค ยืนยันหลักการเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลก็ยังไม่ได้มีคำตอบกลับมา
พรรคเพื่อไทยมีสมาชิกพรรคและมีผู้สนับสนุน ซึ่งเราก็ต้องคำนึงถึง เราก็ยืนยันหลักการให้นำขอเสนอเดิมไปพูดคุยเท่านั้น และไม่ใช่เป็นมติใดๆ เป็นเพียงแนวทางที่ทุกคนเห็นว่าเมื่อมีการวางหลักการเจรจาไว้อย่างนั้นก็ยืนยันไปตามหลักการนั้น ไม่ได้เพิ่มหลักการใหม่ใดๆพร้อมย้ำว่า สิ่งที่ 8 พรรค และพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลยึดถือโดยตลอด ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจคือเราจะมัดกันแน่นและทำงานด้วยกันโดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ ยังเป็นประเด็นหลัก
นพ.
ชลน่าน ยืนยันว่า ประเด็นตำแหน่งประธานสภา จะไม่นำไปสู่ปัญหาความแตกแยกของพรรคร่วมทั้ง 8 พรรค อีกทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ได้รับฉันทามติมาจากพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้งว่าต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย หากเพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งมาทำให้แตกแยกพี่น้องประชาชนจะรับไม่ได้ ส่วนจะฟรีโหวตหรือไม่ นพ.ชลน่าน ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยระมัดระวังไม่ให้เกิดการฟรีโหวตขึ้นอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์กับทั้งสองพรรค และอาจเป็นประโยชน์กับกลุ่มที่สามที่รอโอกาสอยู่
“ช็อปหมู” ผุดขายทั่วภาคอีสาน รายย่อยร้องแข่งสู้ราคาไม่ไหว
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1334803
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยภาคอีสานระส่ำหนัก ถูก “หมูกล่องเถื่อน” ตีตลาด บริษัทปศุสัตว์ใหญ่รุกคืบ เพิ่มผลิตแม่พันธุ์หมูพรวดเดียวเกือบ 400,000 แม่ ขายเนื้อผ่านช็อปตัวเองทั่วภาคอีสาน ทำฟาร์มรายเล็กขาดทุนทันทีตัวละ 2,000-3,000 บาท ต้นทุนสู้รายใหญ่ไม่ได้ วิ่งโร่พบสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดโต๊ะคุยรายใหญ่ ขอดันปริมาณหมูที่เพิ่มขึ้นส่งขายต่างประเทศ
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก 2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาหมูเป็นลดลง ได้แก่ ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ทำกันเป็นกระบวนการใหญ่โต กับการขยายการเลี้ยงของบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ของประเทศ ที่ทำตลาดครบวงจรตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงไปจนกระทั่งถึงการจำหน่ายปลีกผ่านทางช็อปของตัวเองที่กำลังเพิ่มจำนวนช็อปขายหมูออกไปทั่วประเทศ
นาย
สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ตอนนี้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหา “
หมูเถื่อน” ที่เข้ามาตีตลาดราคาถูก กับการขยายการเลี้ยงของบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ 3 รายในพื้นที่ภาคอีสาน ภายหลังการเกิดโรคระบาดสัตว์อหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF)
โดยเพิ่มปริมาณแม่พันธุ์หมูขึ้นมารวมกันเกือบ 400,000 แม่ ขณะที่ผู้เลี้ยงรายย่อยและรายกลางในภาคอีสานมีแม่พันธุ์หมูรวมกันประมาณ 100,000 แม่ หรือเท่ากับบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ 3 รายมีการเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นมากกว่ารายย่อยหลายเท่าตัว ส่งผลให้จำนวนผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในภาคอีสานขณะนี้หายไปกว่า 50%
เท่าที่ทราบทั้ง 3 บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่จะใช้ภาคอีสานเป็น “
ฐานการผลิตแม่พันธุ์หมู” เพื่อส่งป้อนไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้ภาคอีสานตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีพ่อแม่พันธุ์หมูมากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่จำนวนหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาในประเทศก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก มีผลทำให้ปริมาณหมูภายในประเทศเพิ่มขึ้นมาก โดยมีข้อน่าสังเกตว่า 1 ใน 3 บริษัทปศุสัตว์ยังทำการตลาดเชิงรุกด้วยการตั้งช็อปขายหมูขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ เกือบทั้งภาคอีสาน โดยเนื้อหมูที่ขายในช็อปมีการตั้งราคาใกล้เคียงกับราคาหมูเถื่อนที่มีการลักลอบนำเข้ามา
“
หากขายหมูราคาถูกกันอย่างนี้แล้วรายย่อยจะอยู่กันอย่างไร ตอนนี้ผู้เลี้ยงก็ขาดทุนกันตัวละ 2,000-3,000 บาทอยู่แล้ว ผมจะขอให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเชิญ 3 บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่เข้ามาหารือเพื่อขอความร่วมมือให้พยายามผลักดันหมูที่เพิ่มการเลี้ยงขึ้นมาส่วนหนึ่งให้ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยกันในเบื้องต้น รวมถึง ขอให้ลดการขยายช็อปหมูในภาคอีสานลง เพราะตอนนี้ขยายไปเกือบทุกอำเภอของทุกจังหวัดแล้ว ในภาคอีสานตอนนี้มีช็อปขายหมูพอ ๆ กับร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้คนเลี้ยงและเขียงหมูอยู่กันอย่างยากลำบากขึ้น” นายสิทธิพันธ์กล่าว
ช็อปหมูกระจายทั่วภาคอีสาน
ด้านนาย
เดือนเด่น ยิ้มแย้ม เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดวันวิสาข์ฟาร์ม ต.ศรีสว่าง อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งประกอบกิจการทำฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงเชือดและเขียงครบวงจร ในฐานะรองประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในภาคอีสานประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจาก 4 ปัจจัยหลักคือ
1) หมูเถื่อนราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดหายไปประมาณ 75%
2) บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ได้ขยายการเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
3) การเปิดร้านช็อปหมูลงมาเกือบทุกอำเภอ บางอำเภอมีช็อปของทั้ง 3 บริษัทมาเปิดขายหมูแข่งขันกันเองและยังแข่งกับเขียงหมูรายย่อย โดยช็อปเหล่านี้ขายหมูชำแหละในราคาใกล้เคียงกับราคาหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศ
4) ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูอยู่ที่ 80-90 บาท/กก. แต่กลับขายหมูเป็นได้ 58-60 กว่าบาท/กก. ก็ยังหาคนซื้อยากและมีแนวโน้มราคาหมูเป็นจะปรับลดลงอีก ส่วนราคาเขียงหรือร้านขายปลีกหมูชำแหละตามสูตรปกติคูณ 2 เนื้อแดงประมาณ 150-160 บาท/กก. แต่ตอนนี้ขายสู้หมูเถื่อนและหมูช็อปที่ขายกันประมาณ 110 บาท/กก.ไม่ได้
“
ที่ฟาร์มผมมีหมูแม่พันธุ์ 300 แม่ หมูขุน 2,000 ตัว เข้าโรงเชือดส่งหมูขายให้กับเขียงในพื้นที่ อ.โพนทราย กับ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งปกติผมเชือดเองและขายส่งในพื้นที่ก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้หลายเขียงลดการซื้อลงหรือหยุดซื้อหมูชำแหละไปเลย โดยเขียงบางรายซื้อหมูกล่องลักลอบนำเข้ามาในราคาถูกเพียง 80 บาท/กก.มาขาย โดยหมูกล่องเถื่อนเหล่านี้มีการสวมใบเคลื่อนย้ายหมูถูกต้องด้วย เราไม่สามารถกดราคาหมูขายถูกเท่ากับหมูเถื่อนและหมูช็อปได้ ซึ่งผมก็เข้าใจเศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของทุกอย่างแพง ชาวบ้านต้องประหยัดซื้อหมูที่ราคาถูกกว่า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปอีก 3-4 เดือน คนเลี้ยงหมูคงอยู่กันไม่ได้” นาย
เดือนเด่นกล่าว
ดังนั้นจึงอยากขอให้รัฐบาลช่วยในเรื่องของ
1) กรมปศุสัตว์ต้องควบคุมจำนวนพ่อแม่พันธุ์หมู หากขยายการเลี้ยงเพื่อการส่งออกสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่เพิ่มปริมาณการเลี้ยงหมูแล้วมาขายตลาดภายในประเทศในปริมาณมากจนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยไม่มีที่จะยืน
กับ 2) ขอให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาตรวจสอบควบคุมราคาขายหมูชำแหละในร้านช็อปหมู
ก่อนหน้านี้ นาย
นิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรเขต 7 และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวถึงราคาหมูชำแหละตอนนี้ขึ้นกับจำนวนหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามา หากมีหมูเถื่อนเข้ามามากราคาก็จะถูกกดไว้ ประกอบกับปริมาณหมูในระบบของคนเลี้ยง ตอนนี้มีหมูแม่พันธุ์ยื่นอุ้มท้องเกินกว่า 1 ล้านตัว ซึ่งจะคลอดช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2566 จะทำให้ปริมาณหมูภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีก
JJNY : ธเนศวร์ขอ‘พท.’ยืดอกรับความพ่ายแพ้│“ชลน่าน”ย้ำจับมือก้าวไกล│“ช็อปหมู”ผุดขายทั่วภาคอีสาน│รัสเซียยิงถล่มร้านพิซซ่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_4051719
ธเนศวร์ เจริญเมือง ขอ ‘เพื่อไทย’ ยืดอกรับความพ่ายแพ้ ทำใจให้ใหญ่ๆ ก้าวต่อไปอย่างทรนง อย่าอ้างคณิตศาสตร์ แบ่งกันเหมือนเด็กเล่นขายของ
จากกรณีที่ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงผลประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ช่วงเย็นวันที่ 27 มิถุนายน ยืนยันจุดยืนว่าพรรคเพื่อไทยต้องได้ตำแหน่ง ประธานสภา โดยใช้สูตร เก้าอี้ 14 รัฐมนตรี + 1 (ประธานนิติบัญญัติ) ตามข้อตกลงเดิมนั้น
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ใช้สิทธิแสดงความเห็นในฐานะที่เลือกพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ เมื่อคราว #เลือกตั้ง66 วันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยระบุว่า
ด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมไปลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบเมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา หลักการของระบบรัฐสภา เมื่อพรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง ก็คือประชาชนให้ความไว้วางใจแก่พรรคนี้ไปทำงานนำฝ่ายประชาธิปไตย ไปรื้อฟื้นระบอบประชาธิปไตยเพื่อรับใช้ประชาชนและนำพาประเทศชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ตำแหน่งการนำทั้งสภาและฝ่ายบริหารจึงควรตกเป็นของพรรคก้าวไกล จะมาอ้างคณิตศาสตร์อะไรครับว่าใครได้มากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ จึงต้องมาแบ่งอะไรกันแบบเด็กเล่นขายของ คนนี้ได้นี่ เราต้องได้นั่น ก็เขาชนะที่ 1 ไปแล้ว เห็นชัดเจน จะต้องมาจุกจิกทำไมครับ
ผมคิดว่าการนำควรให้พรรคได้ที่ 1 ส่วนกระทรวงต่างๆ ท่านก็จะได้ไปมากโขแล้วนี่ครับ รู้จักการนำอย่างมีเอกภาพไปสร้างความเข้มแข็งของประชาธิปไตยเพื่ออนาคตของประเทศและลูกหลานอย่างเป็นเอกภาพไหมครับ??
ยอมรับเถิดครับ คุณเพื่อไทยว่าคุณได้ที่ 2 ก็ขอให้ที่ 1 ได้นำงานและทำงานสำคัญครั้งนี้ทั้งสภาและฝ่ายบริหารเถิดนะครับ
แพ้เขาแล้วก็ยืดอก เป็นลูกนักสู้ตามรอยนักสู้คนสันกำแพง เป็นนักกีฬาต้องยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ปรับปรุงตัวเองแล้วกลับมาที่ 1 ในวันหน้า ดีกว่านะครับ
นี่คือกติกาของนักสู้ กติกาของระบบประชาธิปไตยแบบอารยะ เขาชนะที่ 1 ก็คือชนะที่ 1 มากกว่ากี่แต้มก็คือชนะที่ 1 ทำใจให้ใหญ่ๆๆๆ มองความผิดพลาดเป็นครู ยอมรับและก้าวต่อไปอย่างทรนง
ผมเลือกพวกคุณมาตั้งแต่ พ.ศ.2544 ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียวตลอดมา ขออย่าให้ผมต้องเลือกพวกคุณครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเลยนะครับ
ด้วยคารวะ
จากผม
ธเนศวร์ เจริญเมือง
คนเชียงใหม่
27 มิถุนายน 2566
https://www.facebook.com/TanetNaLanna/posts/pfbid036RopsNjACfuZmhoCXRCMY9KWTBn9TYidM9UKU4mrvA3gVtB9mHYqYjGMs8P1Ft8Xl
“ชลน่าน” ย้ำจับมือก้าวไกลเดินหน้าตั้งรบ.ปชต.
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_574499/
“ชลน่าน” ย้ำ พรรคเพื่อไทย ยึดหลักจับมือก้าวไกล เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ตามฉันทามติพี่น้องประชาชน ตำแหน่งประธานสภา เสนอหลักการเดิมที่เคยเจรจาไว้ในครั้งแรก
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเจรจากับพรรคก้าวไกล กรณีตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าท่าทีของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับเรื่องประธานสภาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรการเจรจาพูดคุยกันเพิ่งเริ่มต้นไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นเพียงการรับข้อเสนอของแต่ละพรรคไปพิจารณา
ส่วนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และการประชุม ส.ส.ของพรรคเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้วเรามีข้อสรุปออกมา ก็เป็นเพียงการให้คำตอบกับประชาชนว่าพรรคยืนยันหลักการในสิ่งที่ได้เสนอไปในการเจรจาครั้งแรก ซึ่งได้มีการพิจารณาการทำงานและเฉลี่ยออกมาตามสัดส่วนว่าแต่ละพรรคจะต้องทำอะไร ออกมาเป็น 14+1 คือ พรรคก้าวไกลเป็นรัฐมนตรี 14 ตำแหน่งกับนายกรัฐมนตรีดูแลฝ่ายบริหาร และพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรี 14 และจะรับหน้าที่ในการเป็นประธานสภา ซึ่งในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ได้เสนอไปในการเจรจาครั้งแรก
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ที่ผ่านมาที่มีการพูดและนำเสนอความคิดเห็นต่างๆ เป็นเพียงความเห็นต่างภายในของแต่ละพรรค ซึ่งการนำเสนอบางมุมสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วย แต่พรรคเห็นว่าเมื่อเกิดกระแสความคิดเห็นที่แตกต่างก็ควรมีความชัดเจนไปเจรจากับพรรคก้าวไกล จึงเป็นที่มาของที่ประชุมพรรค ยืนยันหลักการเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลก็ยังไม่ได้มีคำตอบกลับมา
พรรคเพื่อไทยมีสมาชิกพรรคและมีผู้สนับสนุน ซึ่งเราก็ต้องคำนึงถึง เราก็ยืนยันหลักการให้นำขอเสนอเดิมไปพูดคุยเท่านั้น และไม่ใช่เป็นมติใดๆ เป็นเพียงแนวทางที่ทุกคนเห็นว่าเมื่อมีการวางหลักการเจรจาไว้อย่างนั้นก็ยืนยันไปตามหลักการนั้น ไม่ได้เพิ่มหลักการใหม่ใดๆพร้อมย้ำว่า สิ่งที่ 8 พรรค และพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลยึดถือโดยตลอด ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจคือเราจะมัดกันแน่นและทำงานด้วยกันโดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ ยังเป็นประเด็นหลัก
นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า ประเด็นตำแหน่งประธานสภา จะไม่นำไปสู่ปัญหาความแตกแยกของพรรคร่วมทั้ง 8 พรรค อีกทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ได้รับฉันทามติมาจากพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้งว่าต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย หากเพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งมาทำให้แตกแยกพี่น้องประชาชนจะรับไม่ได้ ส่วนจะฟรีโหวตหรือไม่ นพ.ชลน่าน ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยระมัดระวังไม่ให้เกิดการฟรีโหวตขึ้นอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์กับทั้งสองพรรค และอาจเป็นประโยชน์กับกลุ่มที่สามที่รอโอกาสอยู่
“ช็อปหมู” ผุดขายทั่วภาคอีสาน รายย่อยร้องแข่งสู้ราคาไม่ไหว
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1334803
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยภาคอีสานระส่ำหนัก ถูก “หมูกล่องเถื่อน” ตีตลาด บริษัทปศุสัตว์ใหญ่รุกคืบ เพิ่มผลิตแม่พันธุ์หมูพรวดเดียวเกือบ 400,000 แม่ ขายเนื้อผ่านช็อปตัวเองทั่วภาคอีสาน ทำฟาร์มรายเล็กขาดทุนทันทีตัวละ 2,000-3,000 บาท ต้นทุนสู้รายใหญ่ไม่ได้ วิ่งโร่พบสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดโต๊ะคุยรายใหญ่ ขอดันปริมาณหมูที่เพิ่มขึ้นส่งขายต่างประเทศ
ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก 2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาหมูเป็นลดลง ได้แก่ ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ทำกันเป็นกระบวนการใหญ่โต กับการขยายการเลี้ยงของบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ของประเทศ ที่ทำตลาดครบวงจรตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงไปจนกระทั่งถึงการจำหน่ายปลีกผ่านทางช็อปของตัวเองที่กำลังเพิ่มจำนวนช็อปขายหมูออกไปทั่วประเทศ
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ตอนนี้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหา “หมูเถื่อน” ที่เข้ามาตีตลาดราคาถูก กับการขยายการเลี้ยงของบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ 3 รายในพื้นที่ภาคอีสาน ภายหลังการเกิดโรคระบาดสัตว์อหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF)
โดยเพิ่มปริมาณแม่พันธุ์หมูขึ้นมารวมกันเกือบ 400,000 แม่ ขณะที่ผู้เลี้ยงรายย่อยและรายกลางในภาคอีสานมีแม่พันธุ์หมูรวมกันประมาณ 100,000 แม่ หรือเท่ากับบริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ 3 รายมีการเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นมากกว่ารายย่อยหลายเท่าตัว ส่งผลให้จำนวนผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในภาคอีสานขณะนี้หายไปกว่า 50%
เท่าที่ทราบทั้ง 3 บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่จะใช้ภาคอีสานเป็น “ฐานการผลิตแม่พันธุ์หมู” เพื่อส่งป้อนไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้ภาคอีสานตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีพ่อแม่พันธุ์หมูมากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่จำนวนหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาในประเทศก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก มีผลทำให้ปริมาณหมูภายในประเทศเพิ่มขึ้นมาก โดยมีข้อน่าสังเกตว่า 1 ใน 3 บริษัทปศุสัตว์ยังทำการตลาดเชิงรุกด้วยการตั้งช็อปขายหมูขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ เกือบทั้งภาคอีสาน โดยเนื้อหมูที่ขายในช็อปมีการตั้งราคาใกล้เคียงกับราคาหมูเถื่อนที่มีการลักลอบนำเข้ามา
“หากขายหมูราคาถูกกันอย่างนี้แล้วรายย่อยจะอยู่กันอย่างไร ตอนนี้ผู้เลี้ยงก็ขาดทุนกันตัวละ 2,000-3,000 บาทอยู่แล้ว ผมจะขอให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเชิญ 3 บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่เข้ามาหารือเพื่อขอความร่วมมือให้พยายามผลักดันหมูที่เพิ่มการเลี้ยงขึ้นมาส่วนหนึ่งให้ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยกันในเบื้องต้น รวมถึง ขอให้ลดการขยายช็อปหมูในภาคอีสานลง เพราะตอนนี้ขยายไปเกือบทุกอำเภอของทุกจังหวัดแล้ว ในภาคอีสานตอนนี้มีช็อปขายหมูพอ ๆ กับร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้คนเลี้ยงและเขียงหมูอยู่กันอย่างยากลำบากขึ้น” นายสิทธิพันธ์กล่าว
ช็อปหมูกระจายทั่วภาคอีสาน
ด้านนายเดือนเด่น ยิ้มแย้ม เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดวันวิสาข์ฟาร์ม ต.ศรีสว่าง อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งประกอบกิจการทำฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงเชือดและเขียงครบวงจร ในฐานะรองประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในภาคอีสานประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจาก 4 ปัจจัยหลักคือ
1) หมูเถื่อนราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดหายไปประมาณ 75%
2) บริษัทปศุสัตว์รายใหญ่ได้ขยายการเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
3) การเปิดร้านช็อปหมูลงมาเกือบทุกอำเภอ บางอำเภอมีช็อปของทั้ง 3 บริษัทมาเปิดขายหมูแข่งขันกันเองและยังแข่งกับเขียงหมูรายย่อย โดยช็อปเหล่านี้ขายหมูชำแหละในราคาใกล้เคียงกับราคาหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศ
4) ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูอยู่ที่ 80-90 บาท/กก. แต่กลับขายหมูเป็นได้ 58-60 กว่าบาท/กก. ก็ยังหาคนซื้อยากและมีแนวโน้มราคาหมูเป็นจะปรับลดลงอีก ส่วนราคาเขียงหรือร้านขายปลีกหมูชำแหละตามสูตรปกติคูณ 2 เนื้อแดงประมาณ 150-160 บาท/กก. แต่ตอนนี้ขายสู้หมูเถื่อนและหมูช็อปที่ขายกันประมาณ 110 บาท/กก.ไม่ได้
“ที่ฟาร์มผมมีหมูแม่พันธุ์ 300 แม่ หมูขุน 2,000 ตัว เข้าโรงเชือดส่งหมูขายให้กับเขียงในพื้นที่ อ.โพนทราย กับ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งปกติผมเชือดเองและขายส่งในพื้นที่ก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้หลายเขียงลดการซื้อลงหรือหยุดซื้อหมูชำแหละไปเลย โดยเขียงบางรายซื้อหมูกล่องลักลอบนำเข้ามาในราคาถูกเพียง 80 บาท/กก.มาขาย โดยหมูกล่องเถื่อนเหล่านี้มีการสวมใบเคลื่อนย้ายหมูถูกต้องด้วย เราไม่สามารถกดราคาหมูขายถูกเท่ากับหมูเถื่อนและหมูช็อปได้ ซึ่งผมก็เข้าใจเศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของทุกอย่างแพง ชาวบ้านต้องประหยัดซื้อหมูที่ราคาถูกกว่า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปอีก 3-4 เดือน คนเลี้ยงหมูคงอยู่กันไม่ได้” นายเดือนเด่นกล่าว
ดังนั้นจึงอยากขอให้รัฐบาลช่วยในเรื่องของ
1) กรมปศุสัตว์ต้องควบคุมจำนวนพ่อแม่พันธุ์หมู หากขยายการเลี้ยงเพื่อการส่งออกสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่เพิ่มปริมาณการเลี้ยงหมูแล้วมาขายตลาดภายในประเทศในปริมาณมากจนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยไม่มีที่จะยืน
กับ 2) ขอให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาตรวจสอบควบคุมราคาขายหมูชำแหละในร้านช็อปหมู
ก่อนหน้านี้ นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรเขต 7 และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวถึงราคาหมูชำแหละตอนนี้ขึ้นกับจำนวนหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามา หากมีหมูเถื่อนเข้ามามากราคาก็จะถูกกดไว้ ประกอบกับปริมาณหมูในระบบของคนเลี้ยง ตอนนี้มีหมูแม่พันธุ์ยื่นอุ้มท้องเกินกว่า 1 ล้านตัว ซึ่งจะคลอดช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2566 จะทำให้ปริมาณหมูภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีก