JJNY : “ทนายตั้ม”ไม่คิดหนีไปตปท.│‘ก้าวไกล’ชี้สัญญาณยุบสภา│จี้กวาดล้างลักลอบนำเข้าหมู│พบหลักฐาน รัสเซียใช้อาวุธต้องห้าม

“ทนายตั้ม” ยันไม่คิดหนีไปอยู่ตปท. จ่อส่งลูกเรียนเมืองนอกเพื่อความปลอดภัย
https://www.nationtv.tv/news/378871001
 
 
“ทนายตั้ม” โต้ข่าวลือ ยันไม่คิดหนี พาครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ ขออยู่สู้กับความอยุติธรรมในสังคม ย้ำไม่หิวแสงแต่หิวข้าว
 
กลายเป็นประเด็นดราม่าต่อเนื่องจากการณี “ทนายตั้ม” หรือ นายษิทรา  เบี้ยบังเกิด ออกมาเปิดเผยว่ามีเหยื่ออายุ 18 ปี ถูกนักการเมืองอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ถูกลวนลามและทำอนาจาร ส่งผลให้ต่อมีมีผู้เสียหายเข้าไปแจ้งความเอาผิด นักการเมืองรายดังกล่าวอีกหลายราย

ขณะที่มีกระแสข่าวว่ามีเหยื่อบางราย ต้องการยอมความและถอนตัวออกจากคดีเพราะเข้าโครงการ “เจอจ่ายจบ”  ประกอบกับที่เจ้าตัวได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า “ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำลงเรื่องเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆมาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆมากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม
 
ทำให้มีข่าวลือว่าตามมาอีกว่า “ทนายตั้ม” จะพาครอบครัวหนีไปต่างประเทศ  ล่าสุด (25 เม.ย.65) “ทนายตั้ม” ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้งระบุว่า
 
“ตัวผมเองปลอดภัยดีและไม่ได้คิดจะย้ายไปไหนนะครับ แต่เพื่ออนาคตที่ดีของลูกผมและจะปลอดภัยกว่า เลยจะส่งลูกๆไปเรียนเมืองนอกในเร็ววันนี้ ตอนนี้ก็แพลนมาดูสถานที่เรียนกันครับ ฝากเป็นกำลังใจให้เด็กๆด้วยนะครับผม ส่วนตัวผมเองปักหลักอยู่นี่ ไม่หนีไปไหน ยังอยู่สู้กับความอยุติธรรมในสังคมจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ผมไม่ได้หิวแสงนะครับ แต่หิวข้าว🤣 และประกอบอาชีพเป็นทนายเนติบัณฑิตที่สู้เพื่อประชาชนต่อไปครับ”
 
https://www.facebook.com/sittra/posts/7263084980428485
   


‘ก้าวไกล’ ชี้พปชร.ไม่ส่งซ่อมแทน ‘ปารีณา’ สัญญาณเตือนยุบสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3307616

‘ก้าวไกล’ จัดประชุมใหญ่ 30 เม.ย. ปรับทัพรับเลือกตั้งใหญ่ ชี้ พปชร. ไม่ส่งซ่อมแทน ‘ปารีณา’ คือสัญญาณยุบสภาก่อนซักฟอก
 
เมื่อวันที่ 25 เมษายน นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 เมษายนนี้ พรรคก.ก.จะจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตั้งแต่เวลา 10.00-15.00 น. นอกจากเป็นการประชุมตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดแล้ว พรรคจะใช้โอกาสนี้ปรับทัพเพื่อรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงด้วย เชื่อว่า 4 ปี ที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ประชาชนสุดทน ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้วิชา-ารใดเป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้ง ตนเชื่อว่า ไม่มีทางชนะความรู้สึกที่หมดศรัทธาไปแล้วอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เรายังจับสัญญาณความอ่อนแรงของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลได้ว่า กำลังไปต่อไม่ไหวแล้ว ทั้งศึกภายในที่แตกร้าวมาโดยตลอด และยิ่งชัดขึ้นเมื่อไม่มีการส่งตัวแทนลงเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดราชบุรี แทนที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ทั้งที่เป็นพื้นที่เดิมของพรรคพปชร. เอง นี่จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ทางการเมืองว่า รัฐบาลกำลังเตรียมยุบสภาก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ
 
นายณัฐชา กล่าวว่า ไม่ว่าการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในเวลาไหน พรรคก.ก. มีความพร้อมตลอดเวลา จะเห็นว่าช่วงนี้ พรรคเดินสายจัดอบรมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือพื้นที่ภาคใต้ ตนได้เป็นหนึ่งในผู้อบรมด้วยตัวเอง ยิ่งมั่นใจว่า พรรคก.ก.จะสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส. เขตในภาคใต้ได้ โดยเฉพาะจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนพื้นที่ ยิ่งชัดว่าประวัติศาสตร์ทางการเมืองเรื่องการเลือกเสาไฟฟ้าของพี่น้องชาวใต้ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
 
“แม้จะมีสัญญาณยุบสภาใกล้เข้ามา แต่การเมืองมีความเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์และผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ดังนั้น ต่อให้ไม่มีการยุบสภาและรัฐบาลเลือกไปวัดดวงเอากับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรค ก.ก. ก็ได้เตรียมข้อมูลเด็ดเอาไว้ รับรองว่า เป็นหมัดน็อครัฐบาลชุดนี้ได้แน่ พี่น้องประชาชนจึงไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ยาวจนหมดสมัย เพราะเราพร้อมชกตลอดเวลาไม่ว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไร” นายณัฐชา กล่าว
 

 
จี้รัฐกวาดล้าง “ขบวนการลักลอบนำเข้าหมู”
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_328220/

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ จี้ รัฐเร่งกวาดล้าง “ขบวนการลักลอบนำเข้าหมู” บ่อนทำลายเกษตรกร-ผู้บริโภค-เศรษฐกิจชาติ
 
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในปัจจุบันว่า จากปัญหา ASF โรคระบาดในสุกรที่พบในประเทศไทยเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังคงพบปัญหานี้บางพื้นที่ ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงต่างระมัดระวังและบริหารความเสี่ยงด้วยการหยุดเข้าเลี้ยงสุกรไปก่อน
 
ส่วนในรายที่ยังคงเลี้ยงสุกรอยู่ต้องปรับวิธีการเลี้ยงและการจัดการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 300 บาทต่อตัว ซึ่งเกษตรกรยินดีแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดในฝูงสัตว์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม กลับพบว่ายังคงมี “ขบวนการลักลอบ” นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนผิดกฎหมายจากหลายประเทศ อาทิ เยอรมัน บราซิล แคนาดา อิตาลี เกาหลี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา

โดยสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่น อาทิ เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเล นำมากระจายขายปะปนกับหมูไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดแถวนครปฐมและราชบุรี ซึ่งถือเป็นการบ่อนทำลายเกษตรกรไทย ผู้บริโภค และเศรษฐกิจชาติ”วงการเลี้ยงหมูพยายามป้องกันโรค ASF และพยายามผลักดันให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกลับมาเลี้ยงหมูรอบใหม่ให้เร็วที่สุด
 
ซึ่งทั้งเกษตรกร ภาคเอกชน และทุกคนในแวดวงผู้เลี้ยงได้ช่วยกันในทุกด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกรกลับเข้าสู่ระบบอย่างมั่นใจและรวดเร็ว แต่กลับมี “ไอ้โม่ง” ที่ทำมาหาทำกินบนความทุกข์ของคนเลี้ยงหมูและคนไทย ขบวนการนี้ใช้วิกฤติเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง
 
โดยไม่สนใจว่าเนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้านั้น มีโรคหมูที่เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อระบบการเลี้ยงหมูของไทย และยังปนเปื้อนสารอันตรายอย่างเช่นสารเร่งเนื้อแดงซึ่งเป็นสารต้องห้าม และผิดกฎหมายไทย ตามพ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ และยังก่อผลกระทบร้ายแรงต่อผู้บริโภค ที่สำคัญรัฐต้องสูญเสียรายได้จากสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีตามระบบ เกษตรกรจึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ เร่งสกัดกั้นและกวาดล้างขบวนการนี้ให้สิ้นซาก ถ้ายังปล่อยให้หมูเถื่อนลอยนวล คนเลี้ยงหมูก็ตายสนิท คนไทยก็ตายผ่อนส่ง เศรษฐกิจไทยย่ำแย่แน่นอน” นายสิทธิพันธ์ กล่าว
 
สำหรับสถานการณ์ราคาสุกร นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ราคาสุกรยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 94-98 บาทต่อกิโลกรัม โดยการปรับราคาขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตและการบริโภคในแต่ละภูมิภาคเป็นตัวกำหนด ตามกลไกตลาดที่แท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรทั่วประเทศต่างร่วมกันบริหารจัดการผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และคงระดับราคาไว้ไม่เกิน 100 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
 
แม้ว่าจะมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากการปรับปรุงระบบการเลี้ยงและการป้องกันโรค ต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด ค่าไฟ ค่าพลังงานโดยเฉพาะค่าน้ำมันที่รัฐบาลจะเลิกตรึงราคา 30 บาทต่อลิตร ในวันที่ 1 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ และยังมีภาระค่าใช้จ่ายค่าน้ำใช้ ที่เกษตรกรหลายพื้นที่ต้องซื้อน้ำใช้แล้วจากผลกระทบของภัยแล้ง รวมถึงอากาศร้อนและแปรปรวนส่งผลต่ออัตราสูญเสียในฟาร์มเลี้ยงที่สูงขึ้น ทำให้ผู้เลี้ยงมีต้นทุนสูงถึงกว่า 98 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว การปล่อยให้กลไกตลาดทำงานจึงถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเกษตรกร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่