JJNY : 4in1 เนเธอร์แลนด์ผงะ พบติดโอไมครอน13ราย│กุ้งแช่แข็งไทยถูกจับ ไอซ์เหลวปน│“หมู”แพงข้ามปี│‘ทวี’นำทีมปช. ลงรามคำแหง

ทางการเนเธอร์แลนด์ผงะ พบผู้ติดเชื้อ โอไมครอน รวดเดียว 13 ราย สั่งไล่ตามหากลุ่มเสี่ยงอีก 5 พันคน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3062958
 
 
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ระบุว่า สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (อาร์ไอวีเอ็ม) ของประเทศเนเธอร์แลนด์ แถลงผลการการจำแนกพันธุกรรมเพื่อยืนยันผลการติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ “โอไมครอน” จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 61 รายที่เดินทางกลับจากประเทศในแถบแอฟริกาตอนใต้เมื่อต้นสัปดาห์นี้ พบว่า ในจำนวน 61 รายมีผู้ติดเชื้อโอไมครอนอยู่มากถึง 13 ราย
 
ผลการยืนยันดังกล่าวทำให้เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ 10 ที่พบผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้นอกภาคพื้นแอฟริกา และนับเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน มากที่สุดนอกแอฟริกา
 
ผู้ติดเชื้อ 61 รายได้จากการคัดกรองผู้โดยสาร 624 ราย ซึ่งเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสคีโฟลในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ก่อนหน้าที่ทางการเนเธอร์แลนด์จะประกาศห้ามคนจากบรรดาประเทศตอนใต้ทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศ และทั้ง 61 คน รวมทั้ง ผู้ติดเชื้อโอไมคอรน 13 รายยังคงอยู่ในระบบกักตัวเพื่อดูอาการในโรงแรมใกล้กับท่าอากาศยาน
 
ทั้งนี้ ทางการเนเธอร์แลนด์ ยังพยายามหาทางติดต่อ ผู้โดยสารของเที่ยวบินต่างๆ ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงหลายเที่ยวบิน นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน รวมจำนวนราว 5,000 คน เพื่อให้เดินทางมาตรวจหาเชื้อโอไมครอน ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ขึ้นในประเทศ


 
กุ้งแช่แข็งจาก "ไทย" ถูกฮ่องกงจับได้! "ไอซ์เหลว" 43 ล้านบาท ปะปนมาด้วย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6755722
 
กุ้งแช่แข็งจาก “ไทย” – วันที่ 27 พ.ย. เว็บไซต์ รัฐบาลฮ่องกง แจ้งว่า ศุลกากรฮ่องกงยึดเมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) ชนิดเหลว น้ำหนักราว 12 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าตลาดราว 10 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 43 ล้านบาท) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง เมื่อวันที่ 26 พ.ย.
 
เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบสินค้าที่ขนส่งมาทางอากาศ ซึ่งสำแดงว่าเป็น “กุ้งแช่แข็ง” จากประเทศไทย แต่พบเมทแอมเฟตามีนเหลวที่บรรจุในซองน้ำแข็ง ซึ่งปะปนมากับกุ้งแช่แข็งในกล่องโฟม 6 ใบ
 
เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยในวันเดียวกันได้ 3 คน อายุ 23-47 ปี ที่ท่าอากาศยานและย่านเฉวียนวาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวน
 

 
คนไทยอ่วม “หมู” แพงข้ามปี ต้นทุนพุ่ง-โรคระบาดทุบซ้ำ
https://www.prachachat.net/local-economy/news-810478

วงการปศุสัตว์ระส่ำ ผู้เลี้ยงหมูอ่วมเจอโรคระบาดตายยกฟาร์ม หวั่นแจ็กพอต “ASF” อหิวาต์แอฟริกันในสุกร แม่พันธุ์ 1.2 ล้านตัวลดวูบ 40% กระทบอุตสาหกรรมการเลี้ยงทั้งระบบสูญแล้ว 2 แสนล้าน แถมต้นทุน “วัตถุดิบอาหารสัตว์-ยา-เวชภัณฑ์” พุ่ง ชี้คนไทยต้องบริโภคหมูแพงข้ามปี ราคาจ่อ กก.ละ 200 บาท
 
แหล่งข่าวจากวงการปศุสัตว์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้วงการปศุสัตว์ไทยกำลังเผชิญวิกฤตทั้งปัญหาโรคระบาดทำให้หมูลดลง 40% ผู้เลี้ยงหมูต่างวิตกกังวลว่าสาเหตุของการตายมาจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ขณะที่การเลี้ยงไก่ปีนี้ตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H5N8 ในฟาร์มไก่เนื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน และฟาร์มไก่ไข่บางส่วนที่ฉีดวัคซีนไม่ดีพอ รวมถึงโรคลัมปิสกินในโคเนื้อที่เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งในแถบภาคกลาง
 
หมูราคาพุ่ง กก.ละ 200 บาท
 
“ปีนี้หนักทั้งหมู และไก่ แต่หมูหนักสุดหายไปจากระบบ 40% หรือ 1.2 ล้านแม่ ทำให้ราคาเนื้อหมูจึงอาจทะลุ 200 บาท/กก. เนื่องจากเกษตรกรรายย่อย 2 แสนรายหายไปหมดแล้ว เหลือแต่รายใหญ่ โชคดีที่โรค ASF ไม่ติดคน ส่วนไก่น่าเป็นห่วงเรื่องไข้หวัดนก เพราะเป็นโรคที่ติดต่อสู่คนได้ แต่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องบอกยังควบคุมโรคได้อยู่ ไม่รุนแรง เพราะเกรงจะกระทบต่อการส่งออก”
 
นายพิพัฒน์ เนื้อนิ่ม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรราชบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผู้เลี้ยงสุกรได้รับผลกระทบหนัก กรมปศุสัตว์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประกาศให้ชัดเจนว่า เป็นโรคระบาด ABCD หรือ ASF เพราะโรคระบาดแพร่เข้ามาในไทยแล้ว ทำให้อุตสาหกรรมเสียหายกว่า 2 แสนล้านบาท

โอด “อาหารสัตว์-ยา” แพง
 
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต้นทุน วัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาสูงขึ้น เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การเลี้ยงที่ต้องลงทุนทำระบบไบโอราคาสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนคนเลี้ยงหมูเฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาท/กก. แต่ขายได้ 75-85 บาท/กก.
 
กระทุ้งรัฐเร่งแก้
 
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ ต้องเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหา 1.เยียวยากับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่ประสบปัญหา พบการระบาดของโรคก็ต้องทำลาย ฝังกลบ และจ่ายเงินชดเชย 2.มีวิธีแก้ไขที่ถูกต้องชัดเจน โดยให้เกษตรจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอชี้แจงทำความเข้าใจให้กับผู้เลี้ยง 3.กรมการค้าภายใน กรมปศุสัตว์ ต้องร่วมมือแก้ไขปัญหา ให้ปริมาณหมูกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลโดยเร็ว 4.สนับสนุนให้มีการศึกษา ทดลองการใช้วัคซีน
“ถ้าไทยยังไม่แก้ไขปัญหา โอกาสราคาหมูจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น”

ผู้เลี้ยงหายจากระบบ 70%
 
ด้านนายพัฒนพงศ์ การุณยศิริ เจ้าของบริษัท การุณ ฟาร์ม จำกัด ผู้เลี้ยงสุกร จ.สิงห์บุรี เปิดเผยว่า ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากโรคระบาด ASF ซึ่งร้ายแรง ไม่มีวัคซีน ไม่มียารักษา ส่งผลให้แม่หมูที่เลี้ยงอยู่ 2,000 แม่ ตายหมดแล้ว ที่กรมปศุสัตว์ไม่ยอมรับว่าไทยมีโรค ASF ส่งผลกระทบทำให้ผู้เลี้ยงสุกรเสียหายหลายหมื่นล้านบาท และคนไทยอาจต้องบริโภคหมูกิโลกรัมละ 300 บาท เนื่องจากหมูตายเกือบหมดประเทศ เหลือเพียงผู้เลี้ยงรายใหญ่ ผู้เลี้ยงทั้งระบบน่าจะหายไป 70% แล้ว
 
นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานสหกรณ์ปศุสัตว์และสัตว์น้ำฉะเชิงเทรา จำกัด เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่า สหกรณ์มีสมาชิกผู้เลี้ยงหมูรวม 130 ฟาร์ม มีแม่หมู 6,000 แม่ ปัจจุบันโดนโรคระบาดเหลืออยู่ไม่ถึง 10 ฟาร์ม มีแม่หมูรวมกันไม่ถึง 1,000 ตัว
 
เช่นเดียวกับ นายยุทธนา นวมนิ่ม เจ้าของฟาร์มสมยศ ต.หนองกระทุ่ม อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยจังหวัดราชบุรี ที่ระบุว่าปัจจุบันฟาร์มได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ASF อย่างมาก ตนเองเลี้ยงหมูอยู่ 200 ตัว แบ่งเป็นแม่หมู 50 ตัว หมูขุน 150 ตัว เลี้ยงหมูมากว่า 20 ปี ตอนนี้เหลือแม่หมูอยู่ 6 ตัว เสียหายกว่าล้านบาทแล้ว
 
ปศุสัตว์ลุยแก้โรค
 
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรมปศุสัตว์ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลไม่ได้นิ่งนอนใจ มีทั้งแผนการเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำในสัตว์เลี้ยง ฟาร์มเลี้ยงมาโดยตลอด
 
โดยปีนี้เราสามารถควบคุมการระบาดโรคลัมปิสกินในวัว คาดว่าจะหยุดการระบาดได้ในปีนี้แน่นอน

ขณะเดียวกันกาฬโรคในม้า ไม่พบการระบาดมากว่า 1 ปีแล้ว จะสามารถคืนสถานะได้ในปี 2566
 
ส่วนประเด็นหมูแพงต้องยอมรับว่า 1.ปีนี้ราคาอาหารสัตว์สูงมากเป็นประวัติการณ์ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและไก่ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น 20-30% ซึ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์คิดเป็นต้นทุนหลัก 60-70% ของการเลี้ยงสัตว์ และยังมีผลต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่อุปทานปลายทางคือราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งการบริโภคภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจผู้เลี้ยง และกรมก็มีการช่วยเหลือให้นำข้าวเปลือก หรือข้าวแดงราคาถูกมาบด ประยุกต์ทำอาหารเลี้ยงสัตว์ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตราที่เหมาะสม

ในขณะเดียวกันทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการควบคุมราคาอยู่ และโครงการต่าง ๆ เพื่อดูแลราคาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 2.ในนามปศุสัตว์สิ่งหนึ่งที่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลนั้นคือต้องเร่งรัดยกระดับมาตรฐานฟาร์ม ซึ่งตามที่คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรได้มีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 เห็นชอบกำหนดให้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มสุกรฉบับทบทวนเป็นมาตรฐานบังคับ
 
ขณะนี้นั้นอยู่ระหว่างรวบรวมสรุป ซึ่งมีฟาร์มเข้าร่วม 4,531 ฟาร์ม ที่จะเข้าเกณฑ์มาตรฐานบังคับ นับเป็นร้อยละ 61.9 จากจำนวนฟาร์มสุกรทั้งหมดที่จะต้องเข้าสู่มาตรฐานบังคับรวม 7,314 ฟาร์ม หลังจากนั้นจึงแจ้งเวียนหนังสือต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยคาดว่าจะมีผลบังคับเร็วสุดคือกลางปีหน้า 2565
 
“ขณะนี้มีฟาร์มหมูขอบข่ายบังคับเข้าร่วมเพียงแค่ร้อยละ 40% ถือว่ายังน้อยกว่าเป้า กรมเองก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง เรื่องมาตรฐานสำคัญมาก ๆ อย่างฟาร์มหมูปัจจุบันมีทั้งโรคเพิร์ส หรือพีอาร์อาร์เอส (PRRS) ซึ่งมีมาหลายปีแล้ว เราก็มีมาตรการเต็มที่ และเพื่อป้องกันโรคอหิวาห์หมู หรือ ASF ให้รัดกุมที่สุดเช่นกัน”
 
ข้อสุดท้าย กรมปศุสัตว์ต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวด ในการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยมีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกัน โดยเฉพาะการลักลอบนำสัตว์เข้ามาในไทย และห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ในฟาร์มที่เกิดการระบาดของโรคออกนอกพื้นที่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่