หมู่บ้านสารขัณฑ์ Sarakan Town: แผ่นดินสูบ

          “เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นในเช้ามืดของวันหนึ่ง” เสียงของยูวดี เด็กสาววัยเก้าขวบเกริ่นนำเรื่อง

          เช้าวันเสาร์ ช่วงเวลาก่อนหกโมงเช้า ยูวดี เด็กผู้หญิง ผมยาว ในชุดนอน ตกใจสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องตะโกนอย่างน่าสะพรึงกลัวที่ดังลั่นมาจากนอกบ้าน เธอตกใจรีบวิ่งออกมา ก็เห็น ไอรินทร์ เด็กชายตัวสูง รูปร่างผอมแห้ง ท่าทางอ้อนแอ้นคล้ายผู้หญิง ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่บ้านของทั้งคู่อยู่ติดกันและแถมยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันด้วย ในเวลาต่อมาเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ประภาส ชาณัฐ ชนธิดา วิชา ขวัญใจ พีรพล ยิบซี โทน คริสตัลและปูริดล ก็ค่อย ๆ ทยอยออกมาที่ถนน จากที่บางคนยังดูงัวเงียเหมือนยังไม่ตื่นนอน แต่เมื่อได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นนั้น สีหน้าของเด็ก ๆ ก็เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน ประภาส ชาณัฐ วิชาดูเต็มไปด้วยความหวาดกลัว, ชนธิดามัวแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เพราะความกลัว ส่วนพีรพล ยิบซี ยืนสงบนิ่งเฉย ๆ ไร้ความรู้สึกใด ๆ, โทนและคริสตัล ต่างมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาที่ริมฝีปาก, ปูริดล เด็กชายที่เป็นโรค Down syndrome ที่นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวลายรูปเรือใบ กับรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนขวัญใจ เด็กน้อยผิวสีแทนกลับมีท่าทางที่ตื่นเต้น ในมือถือไมค์โครโฟนเก่า ๆ ตัวหนึ่ง ทำท่าเหมือนกำลังรายงานข่าวหน้ากล้องโทรทัศน์ที่ไม่มีอยู่จริง

          “คุณผู้ชมคะ ภาพที่เราเห็นอยู่นี้ มันไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกรั้วของหมู่บ้านหายสาบสูญไปหมด เหลือแต่หลุมสีดำทะมึน ที่กว้างและยาวไกลแบบสุดสายตา ไม่มีเสียงของคนหรือท่าทีของสิ่งมีชิวิตใด ๆ เลยคะ ราวกับว่าประเทศไทยทั้งประเทศได้สูญหายไปแล้วจากแผนที่โลก จะเหลือก็เพียงแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่รอดอยู่เท่านั้น หมู่บ้านนี้ชื่อว่า หมู่บ้านสารขัณฑ์คะ” ขวัญใจรายงานข่าวเสียงหนักแน่น เต็มไปด้วยอีโม
          “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ประภาส เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผอมกร่อง ตัวเล็ก กำลังตื่นตระหนก ถามออกมาลอย ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ
          “ใครรู้ ช่วยบอกเราที นี่มันอะไร ทำไมทุกอย่างหายไปหมด” ชาณัฐ เด็กชายอีกคน ที่ตัวสูงใหญ่เกินอายุ เพื่อนสนิทของประภาส หันซ้ายหันขวาถามเสียงเลิ่กลั่ก
          “ทำไมแผ่นดินถึงหายไปหมด แล้วพ่อแม่หายไปไหน ทำไมไม่เหลือใครอยู่อีกเลย” ชนธิดาพูด เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ใส่ชุดจีบพับเรียบร้อย มือจับผมแกละสองจุกที่มัดไว้อย่างเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ทั้งสามคน ประภาส ชาณัฐและชนธิดา มักจะเล่นพ่อแม่ลูกกันเสมอ ๆ แต่คำถามของเธอก็เหมือนของประภาสและชาณัฐ ที่ไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้
          “เฮ้ ๆ ๆ ช่วยด้วยครับ/ค่า” เสียงของเด็ก ๆ ที่พยายามตะโกนออกไปนอกหมู่บ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือ พลางเดินไปเกาะที่ขอบรั้วหมู่บ้าน แต่พอเห็นว่าภายนอกหมู่บ้านกลายเป็นหลุมดำ อันเวิ้งว่าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ก็เกิดความกลัว รีบถอยกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว
          “มองไปสุดลูกหูลูกตา ก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง แถมข้างล่างก็เป็นหลุมดำอีก จะทำยังไงดีเนี่ย!” ยูวดีระบายความหดหู่ใจ พลางปาก้อนหินออกไปนอกหมู่บ้าน ชั่วครู่ก้อนหินก็ตกลงไปในหลุมดำ ทุกคนยืนมองตาม จนผ่านไปนานหลายสิบวินาทีกว่าที่จะมีเสียงหินกระทบก้นเหวข้างล่างดังขึ้นมา เด็กทุกคนยืนอึ้ง กลืนน้ำลายเฮือก ๆ ตกใจกับความลึกแบบไม่สิ้นสุดของนอกหมู่บ้าน และทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วขึ้นมาทางด้านหลัง
          “1 นาที 46 วินาที กว่าที่เสียงหินกระทบพื้นข้างล่างจะกลับมาหาเรา” เด็ก ๆ หันไปมองทางด้านหลัง พลางเปิดทางให้กับวิชา เด็กเนิร์ดผอมกร่อง ใส่แว่นหนาเตอะที่เดินออกมาทางข้างหน้าฝูงชน
          “ตอนนี้เรามีสองอย่างที่ต้องคิด หนึ่งคือ เวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่าที่หินจะตกลงไปจนถึงก้นของหลุม และสอง คือ เวลาที่เสียงของหินกระทบใช้ในการสะท้อนกลับมาหาเรา” วิชาพูด เด็กทุกคนหันไปมองเป็นทางเดียว วิชาเริ่มอธิบายต่อ
          “เรารู้ว่า ค่าเฉลี่ยของความเร็ว เท่ากับ ระยะทางหารด้วยเวลา สมการก็คือ d = 1/2gt2/11 และเรารู้ว่าความเร็วในการเดินทางของเสียงนั้นคือ 343 เมตรต่อวินาที ฉะนั้น...d = 343 xt2... และต่อมา...” วิชาพูดพลางใช้ชอล์กขีด เขียนตัวเลขลงบนถนน ครู่เดียวตารางยึกยัก ๆ ดูวุ่นวาย ร่ายยาวถึงกฎของฟิสิกส์ที่ฟังดูน่าเบื่อ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านฟังแล้วก็หาว เริ่มไม่สนใจสิ่งที่วิชากำลังคำนวณอยู่ สุดท้ายทุกคนเดินจากไป ปล่อยให้วิชานั่งคำนวณอยู่คนเดียวต่อไป
          “แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” ไอรินทร์ถามขึ้นมา เด็ก ๆ ต่างก็หันไปมองหน้ากันและกัน มีแต่เสียงซุบซิบ จอแจ แต่ไม่มีคำตอบอะไรหลุดออกมา ทันใดนั้นเอง...
          “พวกเราต้องตั้งระบบการปกครองขึ้นมาก่อน เพื่อให้ทุกคนในหมู่บ้านปฏิบัติตาม เพื่อความสงบสุขและเรียบร้อย” โทนพูดขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองหน้าคริสตัล
————————————————————————————————————

          ภายในห้องประชุมที่บ้านของโทน เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยม วัย 10 ขวบ กับผมสั้นรองทรงสูง แต่งตัวใส่สูท เหมือนนักธุรกิจ เดินวนอยู่ที่กลางห้อง คริสตัล สาวน้อยวัย 10 ขวบ กับแว่นกรอบสี่เหลี่ยมสีดำ ผมยาวสีดำของคริสตัลถูกรวบมัดแบบครึ่งหัว ที่เหลือรวบไว้ด้านหลังแบบเรียบร้อย เธอเปรียบเสมือนเงาของโทน มีโทนที่ไหน มีคริสตัลที่นั่น
          “บ้านเมืองระส่ำระสาย ไร้ขื่อแปแบบนี้ เราต้องร่วมมือกันตั้งระบบการปกครองขึ้นมาดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ เราควรเรียกว่าอะไรดีนะ โทนถาม คริสตัลคิดครู่หนึ่งก่อนตอบออกมาว่า
          “ทำนาซี” คริสตัลพูด พลางชี้นิ้วขึ้นฟ้า
          “ไม่เอา ไม่ทำนาแล้ว” โทนตอบ
          “เผ็ดจัดการ” คริสตัลพูด พลางซี๊ดปาก ทำท่าเหมือนกินของเผ็ด
          “ไม่เอา เผ็ดไปกินลำบาก” โทนตอบ คริสตัลฟังแล้วก็เหี่ยว ก่อนจะโพล่งคำใหม่ออกมา
          “ประชาโดนธีบบ่ะตาย” คริสตัลพูดพลางทำท่ากระทีบเหมือนนักเลงหัวไม้
          “อืม ใช้ได้ ๆ แต่ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องผีเลย มีตายอ่ะ” โทนตอบ
          “อืม...งั้นประชา...ธิป...ปา....ตาย....ไอย, ประชาธิปไตย!” คริสตัลคิดพลางลากเสียงเอื้อนยาว พลางมองหน้าโทนว่า โอเคไหม
          “โอ้ว ใช่เลย ประชาธิปไตย!” โทนดีดนิ้วดังเปร๊าะ
          “เรื่องวาทกรรมขอให้บอก!” คริสตัลยิ้มดีใจ
          “งั้นถ้าจะมีประชาธิปไตย เราต้องทำอะไรล่ะ?” โทนถามลอย ๆ คริสตัลทำหน้าคิดครู่หนึ่งก่อนจะยกมือ ชี้นิ้วไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนคิดอะไรออกมาสักอย่างนึง


ขอบคุณนะครับที่ลองอ่านเรื่องสั้น หมู่บ้านสารขัณฑ์ ส่วนของเกริ่นนำยังมีตอนที่ 2  เป็นตอนจบนะครับ เรื่องราวของเด็ก ๆ หมู่บ้านสารขัณฑ์จะเป็นอย่างไร สามารถไปติดตามอ่านต่อได้ใน หรือว่าง ๆ เดี๋ยวจะมาโพสต่อนะครับ ขอบคุณครับ ^^
Dek-D
Readawrite
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่