พระพุทธเจ้าขจัดอวิชชาได้อย่างไร

ในวันวิสาขบูชา วันเพ็ญขึ้น๑๕ค่ำเดือน๖
พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ใช้โพธิปักขิยธรรมทั้ง37ประการ
พิจารณาใคร่ครวญธรรม โดยใช้ปัญญินทรีย์
ในจตุตถฌาน ทำให้จิตมีพลังสามารถบรรลุญาณดังนี้

ปฐมยาม ทรงบรรลุ บุพเพนิวาสานุสสติญาณคือพระญาณที่ทำให้ระลึกอดีตชาติของพระองค์ได้

(...ทำให้ทรงทราบวาระจิต ขณะจุติจิต เมื่อยังมีสังขารปรุงแต่ง จะปฏิสนธิจิต ในภพชาติใหม่ของพระองค์เป็นพรหม เทวดา มนุษย์ หรือสัตว์ตามอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต หรือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต ตามชนกกรรมที่ปรุงแต่งนั้น...)

มัฌชิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ คือพระญาณที่ทำใหรู้จุติ(ตาย เคลื่อนที่) และปฏิสนธิ(เกิด)ของสัตว์ทั้งหลาย

(...ทำให้ทรงทราบวาระจิต ของสัตว์ทั้งหลายขณะจุติจิต เมื่อยังมีสังขารปรุงแต่งจะปฏิสนธิจิต ในภพชาติใหม่เป็นพรหม เทวดา มนุษย์ หรือสัตว์ตามอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต หรือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ตามชนกกรรมที่ปรุงแต่งนั้น...)

(...เมื่อนำมาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
หลักธรรมที่อธิบายถึง
การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น
ว่าเพราะสังขารเป็นปัจจัยที่ปรุงแต่งให้เกิดภพชาติใหม่ ของพระองค์และสัตว์ทั้งหลาย
มีปัจจัยจากอวิชชา การยึดมั่นในอัตตา ตัวตน
ทำให้เกิดสังขาร ...)
และเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นขององค์ธรรมสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย    สังขาร จึงมี
เพราะ สังขาร เป็นปัจจัย    วิญญาณ จึงมี
เพราะ วิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
เพราะ นามรูป เป็นปัจจัย     สฬายตนะ จึงมี
เพราะ สฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
เพราะ ผัสสะ เป็นปัจจัย       เวทนา จึงมี
เพราะ เวทนา เป็นปัจจัย      ตัณหา จึงมี
เพราะ ตัณหา เป็นปัจจัย      อุปาทานจึงมี
เพราะ อุปาทาน เป็นปัจจัย  ภพ จึงมี
เพราะ ภพ เป็นปัจจัย           ชาติ จึงมี
เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย         ชรามรณะ
โสกะ(ความโศก ความแห้งใจ) ปริเทวะ,( ความคร่ำครวญ พิไร รำพัน)ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส(ความคับแค้นใจ) ก็มีพร้อม
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี

ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
และเมื่อพิจารณาย้อนกลับ
จากปลายมาหาต้น
จากผลไปหาเหตุปัจจัย
เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย
ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย
ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
อุปาทานมีเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ผัสสะมีเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
สฬายตนะมีเพราะนารูปเป็นปัจจัย
นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย
และ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา

(...เมื่อทราบว่าภพชาติใหม่มีชนกกรรม ให้ผลตามอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต หรือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากที่ปรุงแต่งนั้น
ก่อให้ปฏิสนธิ เพราะยังมีอวิชชา การยึดมั่นในอัตตาอยู่
การกำจัดอวิชชา จึงไม่ทำให้เกิดชาติภพใหม่อีกต่อไป...)

ในปัจฉิมยาม จึงทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ คือพระญาณ ที่ทำให้พระองค์ทรงสามารถทำลายกิเลสาสวะ กำจัดอวิชชาให้สิ้นไป
(โดยใช้วิปัสสนาปัญญา
ขจัดการยึดมั่นในอัตตา ตัวตน คงมีเพียงรูปและนาม ที่เกิดตามสังขารเป็นปัจจัยปรุงแต่งเท่านั้น เป็นอนัตตาตามไตรลักษณ์
1.สรรพสังขารา อนิจจัง
2.สรรพสังขาราทุกขัง
3.สรรพธรรมา อนัตตา)

เมื่อพระองค์ตรัสรู้ กำจัด อวิชชาต้นเหตุแห่งการเกิดได้
ก็บรรลุนิพพาน(สอุปาทิเสสนิพพาน)

คือตรัสรู้อริยะสัจ๔
ความจริงอันประเสริฐ๔ประการ
๑.ทุกข์ คือความทนได้ยาก
ได้แก่ ชาติ(การเกิด) ชรา มรณะ  โสกะ(ความแห้งใจ) ปริเทวะ(ความพร่ำ พิไรรำพัน) อุปยาสะ(ความทนได้ยาก)
การประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น
รวมว่าอุปาทาน ขันธ์๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นทุกข์
๒.สมุทัย เหตุแห่งทุกข์
-กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม
-ภวตัณหา ความทะยานอยากมีอยากเป็น
-วิภวตัณหา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
๓.นิโรธ  ทางดับทุกข์ คือนิพพาน
๔.มรรค หรือ มรรคานิโรธคามินีปฏิปทา หนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ มีองค์๘
ตามที่กล่าวมา

นพ.สุทธิศักดิ์ วุฒิพันธ์เรืองชัย
แก้ไข22กค.2564
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่