‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’

(โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสติ;
โย ธมฺมํ ปสฺสติ,โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ)

.....
      ก็ปัญจุปาทานขันธ์เหล่าใด อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา
อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม
กล่าวโดยย่อแล้ว ขันธ์ 5 ที่ยังมีความยึดถือเป็นทุกข์.

ธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยซึ่งกันและกันแล้วเกิดขึ้นซึ่งเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาตินั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว
คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นกระบวนการเกิดขึ้นพร้อมทางฝ่ายจิตวิญญาณล้วน ฯ 

.... อันใคร ๆ ก็ตามซึ่งเป็นผู้รู้ควรกล่าว ว่า “ภวตัณหา(ความมีความเป็น ว่า ‘นั่นของเรา นั่นเป็นตัวเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา’)  
ย่อมปรากฏ  เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย”  ดังนี้. 
เพราะมีอวิชชาเป็นอาหารของภวตัณหาเป็นต้น ฯลฯ

และแสดงด้วยว่า “อวิชชา ย่อมปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย” ดังนี้. 
เพราะมีนิวรณ์ทั้งหลาย 5 เป็นอาหารของอวิชชาเป็นต้น  ฯลฯ
- ทสก.อํ.๒๔/๑๒๔/๖๒. 

.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่