เดิมจิตนั้นไม่ปรากฎ
จิตปรากฎเพราะอวิชชาปรากฎ
การเกิด การอุบัติ การได้อายตนะก้อเนื่องมาแต่กรรม
สัตว์นี้มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด
วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา
กรรม นั้นมาจากผัสสะ เมื่อเสวยเวทนาย่อมกระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นจะถูกบันทึกในจิตสัญญา เพื่อรอแสงผลอันเป็นวิบากเมื่อถึงพร้อม
ซึ่งเหตุปัจจัย วิบากแห่งกรรมจะแสดงผลผ่านอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นคือผัสสะทั้งหก ให้ได้รับวิบากอันเป็นเวทนาคือ ทุกข์ สุข เฉยๆ
ปรุงแต่งเป็น โทมมนัส โสมมนัส แล้วกระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปเป็น วัฎฎะสังสารวัฎ มิมีสิ้นสุด ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
เจตนาคือกรรม เจตนา ๓ โลภะ โทสะ โมหะ , เจตนา ๖ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
ปรุงแต่ง กระทำทางกาย วาจา ใจ เป็น กุศล อกุศล อัพยากฤต เสวยวิบากภพภูมิในปัจจุบันขณะเป็น สุขคติ ( บุญ ,กุศล ) , ทุกข์คติ ( อบุญ ,อกุศล )
ฌาน ( รูปฌาน อรูปฌาน )
เจตนากระทำกรรมอันใดไว้มาก นี้คืออาจิณกรรม
เจตนากระทำกรรมอันหนักได้แก่ อนัตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าถึงขั้นห้อเลือด กระทำสังฆเภท
การส่งผลของกรรม
เมื่อได้รับผัสสะทางอายตนะทั้งหก อันมีเวทนาเป็นทุกข์ สุข เฉยๆ , สุข เกิดจากกุศลกรรมในอดีตส่งผล , ทุกข์ เกิดจากอกุศลกรรมในอดีตส่งผล
การเวียนว่ายในภพภูมิทั้ง ๓๑
จุติจิต คือจิตดวงสุดท้ายในภพภูมิปัจจุบัน ก่อนจะเกิดจุติจิต จะเกิดคตินิมิต คือเป็นนิมิตถึงภพภูมิต่อไปที่จะไปปฎิสนธิจิต
คตินิมิตนั้นมาจากจิตสัญญา ที่สั่งสมกรรมทั้งหลายไว้ให้มาปรากฎ อนัตริยกรรมจะส่งผลก่อน นิยตมิจฉาทิฎฐิส่งผลตามตาม แล้วจึงเป็นอาจิณกรรม
ต่อมาเป็นกรรมอันประปรายแล้วแต่เหตุปัจจัยใดส่งผล เมื่อเกิดคตินิมิต ในจุติจิต จุติจิตนั้นจะ เคลื่อน เป็นปฎิสนธิจิตโดยไม่มีเวลาคั่น ไปยังภพภูมิใหม่
ตามที่คตินิตแสดง ทุกข์คติภูมิ ( อบาย ) สุขคติภูมิ ( มนุษย์ เทวดา พรหม ) อุบัติ เกิด ได้อายตนะ เพื่อเสวยวิบากแห่งกรรมที่ตนก่อขึ้นต่อไป
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือเหตุแห่งการเกิด อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ดับสนิทแล้ว เหตุแห่งการเกิดดับแล้ว เมื่อถึงจิตดวงสุดท้ายในภพภูมิปัจจุบัน
จิตสุดท้ายของพระอรหันต์นั้นเรียกว่า จริมจิต
จริมจิต จิตดวงสุดท้ายแห่งสังสารวัฎอันยาวนาน
เมื่ออวิชชาไม่ปรากฎ
จิตก้อไม่ปรากฎ
กรรม วิบาก และภพภูมิ
จิตปรากฎเพราะอวิชชาปรากฎ
การเกิด การอุบัติ การได้อายตนะก้อเนื่องมาแต่กรรม
สัตว์นี้มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด
วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา
กรรม นั้นมาจากผัสสะ เมื่อเสวยเวทนาย่อมกระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นจะถูกบันทึกในจิตสัญญา เพื่อรอแสงผลอันเป็นวิบากเมื่อถึงพร้อม
ซึ่งเหตุปัจจัย วิบากแห่งกรรมจะแสดงผลผ่านอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นคือผัสสะทั้งหก ให้ได้รับวิบากอันเป็นเวทนาคือ ทุกข์ สุข เฉยๆ
ปรุงแต่งเป็น โทมมนัส โสมมนัส แล้วกระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปเป็น วัฎฎะสังสารวัฎ มิมีสิ้นสุด ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
เจตนาคือกรรม เจตนา ๓ โลภะ โทสะ โมหะ , เจตนา ๖ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
ปรุงแต่ง กระทำทางกาย วาจา ใจ เป็น กุศล อกุศล อัพยากฤต เสวยวิบากภพภูมิในปัจจุบันขณะเป็น สุขคติ ( บุญ ,กุศล ) , ทุกข์คติ ( อบุญ ,อกุศล )
ฌาน ( รูปฌาน อรูปฌาน )
เจตนากระทำกรรมอันใดไว้มาก นี้คืออาจิณกรรม
เจตนากระทำกรรมอันหนักได้แก่ อนัตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าถึงขั้นห้อเลือด กระทำสังฆเภท
การส่งผลของกรรม
เมื่อได้รับผัสสะทางอายตนะทั้งหก อันมีเวทนาเป็นทุกข์ สุข เฉยๆ , สุข เกิดจากกุศลกรรมในอดีตส่งผล , ทุกข์ เกิดจากอกุศลกรรมในอดีตส่งผล
การเวียนว่ายในภพภูมิทั้ง ๓๑
จุติจิต คือจิตดวงสุดท้ายในภพภูมิปัจจุบัน ก่อนจะเกิดจุติจิต จะเกิดคตินิมิต คือเป็นนิมิตถึงภพภูมิต่อไปที่จะไปปฎิสนธิจิต
คตินิมิตนั้นมาจากจิตสัญญา ที่สั่งสมกรรมทั้งหลายไว้ให้มาปรากฎ อนัตริยกรรมจะส่งผลก่อน นิยตมิจฉาทิฎฐิส่งผลตามตาม แล้วจึงเป็นอาจิณกรรม
ต่อมาเป็นกรรมอันประปรายแล้วแต่เหตุปัจจัยใดส่งผล เมื่อเกิดคตินิมิต ในจุติจิต จุติจิตนั้นจะ เคลื่อน เป็นปฎิสนธิจิตโดยไม่มีเวลาคั่น ไปยังภพภูมิใหม่
ตามที่คตินิตแสดง ทุกข์คติภูมิ ( อบาย ) สุขคติภูมิ ( มนุษย์ เทวดา พรหม ) อุบัติ เกิด ได้อายตนะ เพื่อเสวยวิบากแห่งกรรมที่ตนก่อขึ้นต่อไป
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือเหตุแห่งการเกิด อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ดับสนิทแล้ว เหตุแห่งการเกิดดับแล้ว เมื่อถึงจิตดวงสุดท้ายในภพภูมิปัจจุบัน
จิตสุดท้ายของพระอรหันต์นั้นเรียกว่า จริมจิต
จริมจิต จิตดวงสุดท้ายแห่งสังสารวัฎอันยาวนาน
เมื่ออวิชชาไม่ปรากฎ
จิตก้อไม่ปรากฎ