ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เนต
ตอนเดิม
ตอนที่ 8
เจ้าชายมหาคำคืนตามเข้ามาในห้องบรรทมของพระมารดาด้วยท่าทางซึมเซา ขณะนั้นเจ้าแม่อุษาประไพกำลังเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งไม้ขาสิงห์ มีบ่าวหญิงคนหนึ่งบีบนวดให้ง่วนอยู่ นางผินพักตร์มามองโอรสด้วยท่าทีมึนตึง
“ไงล่ะ เดินหน้าแห้งเข้ามาเชียว ไหนเจ้าบอกมั่นใจในความเป็นโอรสองค์โตนักหนาว่าพวกเสนาอำมาตย์ส่วนใหญ่เป็นพวกเจ้า แต่เมื่อกี้ข้าได้ยินเต็มสองหู พ่อเจ้ากำลังจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้แก่น้องชายคนที่สองของเจ้า”
เพราะขุ่นเคืองกับเหตุการณ์ก่อนหน้า จึงประชดโอรสด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแฝงแววเย้ยหยัน เจ้าชายมหาคำคืนทรุดลงนั่งเคียงข้างพระมารดา ก่อนทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม พักตร์สำอางหมองเศร้าลง
“เจ้าแม่อย่าซ้ำเติมลูกให้มากนักเลย เท่านี้ลูกก็เสียใจจนบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงน้ำใจเจ้าพ่อช่างร้ายนัก ท่านไม่เคยเห็นลูกอยู่ในสายตาเลยจริง ๆ”
แม้ขุ่นข้องอยู่ในอารมณ์ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโอรสเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ตนเองก็อดสงสารไม่ได้ หากเพราะความแค้นมันแน่นอุระไปหมด ทว่าไม่สามารถทำอะไรสวามีได้ ความขุ่นข้องทั้งหมดจึงเอามาลงที่โอรสของตนเสียอย่างนั้น ค้อนลูกขวับ ก่อนเหยียดมุมโอษฐ์เป็นทำนองดูหมิ่นดูแคลนพระโอรส กระนั้นน้ำเสียงก็อ่อนลง
“อุตส่าห์ประจบเอาใจ ถวายงานตรวจบัญชีไม้บัญชีข้าวให้กับพ่อของเจ้าทุกวันไม่เคยขาด ช่วยหาเงินคำจนเต็มท้องพระคลังไปหมด ช่างเสียเวลาจริง ๆ ฮึ...แต่ทำไงได้ เจ้ามันเป็นลูกข้า พ่อเจ้าลำเอียงมานานแล้ว”
ตวัดเนตรฉุนเฉียวมองไปทางที่ประทับของมหาเทวีศรีตองออน ซึ่งอยู่บนชั้นสองของหอหลวง พลางครุ่นคิดอย่างเคืองแค้น...ดูเอาเถิด แม้แต่ที่ประทับก็จัดให้นางอยู่เหนือกว่า ขณะที่ตนเองยังต้องพักอยู่ชั้นล่างของอาคารรอง ใต้ห้องของเจ้านางคำหยาดฟ้าอีกทีหนึ่งด้วยซ้ำ...
“เจ้าเป็นโอรสองค์โตที่เกิดแต่เจ้านางแห่งเมืองจองลอง มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่านางจันทร์หอม หญิงแม่ค้าขายยาสูบอย่างเทียบกันไม่ติด แต่เจ้าฟ้ากลับให้ความสำคัญกับโอรสของข้า เป็นรองโอรสคนที่สองของจันทร์หอม เจ้าพี่ช่างหยามหน้าข้านัก คราวก่อนก็ทำร้ายจิตใจข้า เรื่องแต่งตั้งมหาเทวี ทั้งที่ข้ามีโอรส แต่ท่านกลับเอาการอภิเษกกับเจ้านางเมืองเชียงรุ่ง ที่แต่งก่อนหน้าข้าเพียงเล็กน้อยมาเป็นข้ออ้าง แต่งตั้งนางขึ้นเป็นมเหสีแทนข้า”
แววดุดันฉายวาบอยู่ในเนตรยาวรีตวัดปลายเฉียงขึ้นของเจ้าแม่อุษาประไพ ขณะเอ่ยถึงสตรีทั้งสองคนอย่างชิงชัง ชายารองของเจ้าฟ้าเป็นสตรีที่สวยดุ ด้วยมีพระพักตร์ยาวเรียว และดวงเนตรรียาว เฉียงปลาย โหนกปรางสูง ขนงบางเรียวโก่งโค้ง ปลายนาสิกเชิดรั้นอย่างคนถือดี ริมโอษฐ์บางเฉียบ เรือนร่างแบบบางและฉวีขาวจัดจนดูขาวโพลนราวสีหิมะ
เจ้าชายมหาคำคืนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงสง่า พักตร์ละม้ายพระมารดาอย่างยิ่ง ทรงมีเนตรยาวรีใต้ขนงเป็นเส้นเรียวเล็กเช่นเดียวกัน และข้างในนั้นก็ราวมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา นาสิกโด่งแหลมและมีริมโอษฐ์บางคล้ายอิสตรี จัดว่าเป็นเจ้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว เสียแต่เป็นคนเจ้าอารมณ์และยิ้มยากไปสักหน่อย
“แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกันดี”
ตั้งท่าหารือกับพระมารดาอย่างกลัดกลุ้ม นึกน้อยพระทัยผู้เป็นบิดา แต่ไหนแต่ไรมาแม้ตนจะพยายามประจบประแจงสักเพียงใด แต่ก็มักถูกละเลยมองข้ามเสมอ ก่อนหน้านั้นก็ถูกพี่นางคนโตแย่งชิงความสำคัญไป ซึ่งตนยังพอรับได้ เพราะต่อให้นางเก่งปานใดก็เป็นหญิง ยังไงเสียย่อมติดกฎมณเฑียรบาล ไม่สามารถฉกฉวยบัลลังก์ทองของเมืองเวียงแถนไปจากตนได้ มาเมื่อครู่นี้เองที่ถึงกับแค้นแทบกระอักโลหิต กับคำประกาศก้องของบิดาที่ว่า จะยกบัลลังก์ทองให้กับน้องชายคนที่สองของตน ตัดหน้าโอรสองค์โตแบบตนไปอย่างไม่ใยดี
เจ้าแม่อุษาประไพไม่ตอบโอรสในทันที ทรงเหลือบมองหญิงรับใช้แล้วสั่งว่า
“แกออกไปก่อน คำแปง” นางกำนัลชื่อคำแปงละมือจากการบีบนวดถวาย ค่อย ๆ คลานเข่าผ่านหน้าเจ้านายทั้งสองไป ขณะกำลังจะออกจากห้องไปอยู่แล้ว เจ้าชายมหาคำคืนซึ่งกำลังหงุดหงิดเกิดบันดาลโทสะ เห็นว่าคำแปงมัวโอ้เอ้ชักช้าจึงถีบโครมเข้าที่สะโพกนางบ่าวเต็มแรง
“ทำไมไม่รีบไปวะ มัวอ้อยอิ่งอยู่ได้” ร่างบอบบางของนางบ่าวปลิวตามแรงถีบของบุรุษลงไปกองอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ศีรษะโขกกับขอบประตูบวมปูดออกมาทันที พอตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ก็รีบลนลานวิ่งออกไปจากห้องโดยเร็ว
ผู้เป็นมารดานิ่วพักตร์ เอ็ดโอรสว่า
“ไปลงที่บ่าวอีกแล้ว เดี๋ยวมันก็เอาไปฟ้องหนานสัจจาอีกหรอก คราวก่อนก็ทำเอานางคำหน้อยนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปทีหนึ่งแล้ว เจ้าพ่อคาดโทษเจ้าไว้อยู่นะ”
โอรสผู้มีโทสะแรงกล้ายักอังสะทำท่าไม่ยี่หระ...แค่ถีบขี้ข้าไฉนต้องมาตำหนิกัน
“เจ้าแม่อย่าไปสนใจพวกมันเลย ไอ้อีพวกนี้มันทนมือทนตีนดีจะตาย โดนแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก มาว่าเรื่องของเราต่อดีกว่า ลูกนี้ร้อนใจนัก หนานแสนเมืองทำไมไม่ส่งข่าวให้เราระแคะระคายบ้างเลย”
หันมาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ขนงขมวดยุ่งอย่างขุ่นเคือง
“ใครก็คิดไม่ถึงทั้งนั้นแหละ หนานแสนเมืองเองก็คงเหมือนกัน เรามัวแต่คอยกีดกันเจ้านางคำหยาดฟ้าอยู่ทางนี้ ที่ไหนได้ ทางโน้นเจ้าฟ้าคุ้มกลายเป็นม้ามืดแซงทุกคนขึ้นหน้าไปเสียนี่” ตอบโอรสด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดไม่แพ้กัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงปลอบลูกว่า
“แต่เรายังโชคดีที่ไอ้ลูกแม่ค้ามันใฝ่ต่ำ แม่ว่า เราหาทางยุให้มันแต่งงานกับนางหญิงต่างเมืองคนนั้น จนเจ้าพ่อเกลียดขี้หน้ามันดีกว่า แล้วค่อยยุให้ขับมันออกจากราชวงศ์ แม่รู้จักพ่อเจ้าดี รับรองว่าหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ท่านไม่มีวันยอมให้อภัยแก่คนที่นำความเสื่อมเสียมาให้กับราชวงศ์แน่”
บอกถึงอุบายที่คิดไว้ ซึ่งคงพอจะแก้ไขสถานการณ์ได้บ้าง โอรสของนางฟังแล้วค่อยหายจากอาการเคร่งเครียด ขนงขมวดมุ่นคลายออก มีท่าทีเห็นด้วยกับพระมารดา
“เจ้าแม่ของลูกเฉียบแหลมนัก เอางั้นก็ได้ เรื่องนี้ลูกพอมีวิธี”
เอ่ยชมความคิดจะเล่นงานผู้ที่เป็นขวากหนามขึ้นสู่บัลลังก์ของผู้เป็นมารดา...ก็ในเมื่อสิ่งที่ควรจะได้กำลังจะถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา มามัวงอมืองอเท้าอยู่ได้อย่างไรกัน...สองแม่ลูกพอนึกแผนการช่วงชิงเอาสิ่งซึ่งคิดว่าเป็นของ ๆ ตนออก อารมณ์ของทั้งสองจึงแจ่มใสขึ้นมากกว่าเดิม
(มีต่อ)
ริษยารักข้ามภพ บทที่ 8
เจ้าชายมหาคำคืนตามเข้ามาในห้องบรรทมของพระมารดาด้วยท่าทางซึมเซา ขณะนั้นเจ้าแม่อุษาประไพกำลังเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งไม้ขาสิงห์ มีบ่าวหญิงคนหนึ่งบีบนวดให้ง่วนอยู่ นางผินพักตร์มามองโอรสด้วยท่าทีมึนตึง
“ไงล่ะ เดินหน้าแห้งเข้ามาเชียว ไหนเจ้าบอกมั่นใจในความเป็นโอรสองค์โตนักหนาว่าพวกเสนาอำมาตย์ส่วนใหญ่เป็นพวกเจ้า แต่เมื่อกี้ข้าได้ยินเต็มสองหู พ่อเจ้ากำลังจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้แก่น้องชายคนที่สองของเจ้า”
เพราะขุ่นเคืองกับเหตุการณ์ก่อนหน้า จึงประชดโอรสด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแฝงแววเย้ยหยัน เจ้าชายมหาคำคืนทรุดลงนั่งเคียงข้างพระมารดา ก่อนทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม พักตร์สำอางหมองเศร้าลง
“เจ้าแม่อย่าซ้ำเติมลูกให้มากนักเลย เท่านี้ลูกก็เสียใจจนบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงน้ำใจเจ้าพ่อช่างร้ายนัก ท่านไม่เคยเห็นลูกอยู่ในสายตาเลยจริง ๆ”
แม้ขุ่นข้องอยู่ในอารมณ์ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโอรสเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ตนเองก็อดสงสารไม่ได้ หากเพราะความแค้นมันแน่นอุระไปหมด ทว่าไม่สามารถทำอะไรสวามีได้ ความขุ่นข้องทั้งหมดจึงเอามาลงที่โอรสของตนเสียอย่างนั้น ค้อนลูกขวับ ก่อนเหยียดมุมโอษฐ์เป็นทำนองดูหมิ่นดูแคลนพระโอรส กระนั้นน้ำเสียงก็อ่อนลง
“อุตส่าห์ประจบเอาใจ ถวายงานตรวจบัญชีไม้บัญชีข้าวให้กับพ่อของเจ้าทุกวันไม่เคยขาด ช่วยหาเงินคำจนเต็มท้องพระคลังไปหมด ช่างเสียเวลาจริง ๆ ฮึ...แต่ทำไงได้ เจ้ามันเป็นลูกข้า พ่อเจ้าลำเอียงมานานแล้ว”
ตวัดเนตรฉุนเฉียวมองไปทางที่ประทับของมหาเทวีศรีตองออน ซึ่งอยู่บนชั้นสองของหอหลวง พลางครุ่นคิดอย่างเคืองแค้น...ดูเอาเถิด แม้แต่ที่ประทับก็จัดให้นางอยู่เหนือกว่า ขณะที่ตนเองยังต้องพักอยู่ชั้นล่างของอาคารรอง ใต้ห้องของเจ้านางคำหยาดฟ้าอีกทีหนึ่งด้วยซ้ำ...
“เจ้าเป็นโอรสองค์โตที่เกิดแต่เจ้านางแห่งเมืองจองลอง มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่านางจันทร์หอม หญิงแม่ค้าขายยาสูบอย่างเทียบกันไม่ติด แต่เจ้าฟ้ากลับให้ความสำคัญกับโอรสของข้า เป็นรองโอรสคนที่สองของจันทร์หอม เจ้าพี่ช่างหยามหน้าข้านัก คราวก่อนก็ทำร้ายจิตใจข้า เรื่องแต่งตั้งมหาเทวี ทั้งที่ข้ามีโอรส แต่ท่านกลับเอาการอภิเษกกับเจ้านางเมืองเชียงรุ่ง ที่แต่งก่อนหน้าข้าเพียงเล็กน้อยมาเป็นข้ออ้าง แต่งตั้งนางขึ้นเป็นมเหสีแทนข้า”
แววดุดันฉายวาบอยู่ในเนตรยาวรีตวัดปลายเฉียงขึ้นของเจ้าแม่อุษาประไพ ขณะเอ่ยถึงสตรีทั้งสองคนอย่างชิงชัง ชายารองของเจ้าฟ้าเป็นสตรีที่สวยดุ ด้วยมีพระพักตร์ยาวเรียว และดวงเนตรรียาว เฉียงปลาย โหนกปรางสูง ขนงบางเรียวโก่งโค้ง ปลายนาสิกเชิดรั้นอย่างคนถือดี ริมโอษฐ์บางเฉียบ เรือนร่างแบบบางและฉวีขาวจัดจนดูขาวโพลนราวสีหิมะ
เจ้าชายมหาคำคืนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงสง่า พักตร์ละม้ายพระมารดาอย่างยิ่ง ทรงมีเนตรยาวรีใต้ขนงเป็นเส้นเรียวเล็กเช่นเดียวกัน และข้างในนั้นก็ราวมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา นาสิกโด่งแหลมและมีริมโอษฐ์บางคล้ายอิสตรี จัดว่าเป็นเจ้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว เสียแต่เป็นคนเจ้าอารมณ์และยิ้มยากไปสักหน่อย
“แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกันดี”
ตั้งท่าหารือกับพระมารดาอย่างกลัดกลุ้ม นึกน้อยพระทัยผู้เป็นบิดา แต่ไหนแต่ไรมาแม้ตนจะพยายามประจบประแจงสักเพียงใด แต่ก็มักถูกละเลยมองข้ามเสมอ ก่อนหน้านั้นก็ถูกพี่นางคนโตแย่งชิงความสำคัญไป ซึ่งตนยังพอรับได้ เพราะต่อให้นางเก่งปานใดก็เป็นหญิง ยังไงเสียย่อมติดกฎมณเฑียรบาล ไม่สามารถฉกฉวยบัลลังก์ทองของเมืองเวียงแถนไปจากตนได้ มาเมื่อครู่นี้เองที่ถึงกับแค้นแทบกระอักโลหิต กับคำประกาศก้องของบิดาที่ว่า จะยกบัลลังก์ทองให้กับน้องชายคนที่สองของตน ตัดหน้าโอรสองค์โตแบบตนไปอย่างไม่ใยดี
เจ้าแม่อุษาประไพไม่ตอบโอรสในทันที ทรงเหลือบมองหญิงรับใช้แล้วสั่งว่า
“แกออกไปก่อน คำแปง” นางกำนัลชื่อคำแปงละมือจากการบีบนวดถวาย ค่อย ๆ คลานเข่าผ่านหน้าเจ้านายทั้งสองไป ขณะกำลังจะออกจากห้องไปอยู่แล้ว เจ้าชายมหาคำคืนซึ่งกำลังหงุดหงิดเกิดบันดาลโทสะ เห็นว่าคำแปงมัวโอ้เอ้ชักช้าจึงถีบโครมเข้าที่สะโพกนางบ่าวเต็มแรง
“ทำไมไม่รีบไปวะ มัวอ้อยอิ่งอยู่ได้” ร่างบอบบางของนางบ่าวปลิวตามแรงถีบของบุรุษลงไปกองอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ศีรษะโขกกับขอบประตูบวมปูดออกมาทันที พอตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ก็รีบลนลานวิ่งออกไปจากห้องโดยเร็ว
ผู้เป็นมารดานิ่วพักตร์ เอ็ดโอรสว่า
“ไปลงที่บ่าวอีกแล้ว เดี๋ยวมันก็เอาไปฟ้องหนานสัจจาอีกหรอก คราวก่อนก็ทำเอานางคำหน้อยนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปทีหนึ่งแล้ว เจ้าพ่อคาดโทษเจ้าไว้อยู่นะ”
โอรสผู้มีโทสะแรงกล้ายักอังสะทำท่าไม่ยี่หระ...แค่ถีบขี้ข้าไฉนต้องมาตำหนิกัน
“เจ้าแม่อย่าไปสนใจพวกมันเลย ไอ้อีพวกนี้มันทนมือทนตีนดีจะตาย โดนแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก มาว่าเรื่องของเราต่อดีกว่า ลูกนี้ร้อนใจนัก หนานแสนเมืองทำไมไม่ส่งข่าวให้เราระแคะระคายบ้างเลย”
หันมาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ขนงขมวดยุ่งอย่างขุ่นเคือง
“ใครก็คิดไม่ถึงทั้งนั้นแหละ หนานแสนเมืองเองก็คงเหมือนกัน เรามัวแต่คอยกีดกันเจ้านางคำหยาดฟ้าอยู่ทางนี้ ที่ไหนได้ ทางโน้นเจ้าฟ้าคุ้มกลายเป็นม้ามืดแซงทุกคนขึ้นหน้าไปเสียนี่” ตอบโอรสด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียดไม่แพ้กัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงปลอบลูกว่า
“แต่เรายังโชคดีที่ไอ้ลูกแม่ค้ามันใฝ่ต่ำ แม่ว่า เราหาทางยุให้มันแต่งงานกับนางหญิงต่างเมืองคนนั้น จนเจ้าพ่อเกลียดขี้หน้ามันดีกว่า แล้วค่อยยุให้ขับมันออกจากราชวงศ์ แม่รู้จักพ่อเจ้าดี รับรองว่าหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ท่านไม่มีวันยอมให้อภัยแก่คนที่นำความเสื่อมเสียมาให้กับราชวงศ์แน่”
บอกถึงอุบายที่คิดไว้ ซึ่งคงพอจะแก้ไขสถานการณ์ได้บ้าง โอรสของนางฟังแล้วค่อยหายจากอาการเคร่งเครียด ขนงขมวดมุ่นคลายออก มีท่าทีเห็นด้วยกับพระมารดา
“เจ้าแม่ของลูกเฉียบแหลมนัก เอางั้นก็ได้ เรื่องนี้ลูกพอมีวิธี”
เอ่ยชมความคิดจะเล่นงานผู้ที่เป็นขวากหนามขึ้นสู่บัลลังก์ของผู้เป็นมารดา...ก็ในเมื่อสิ่งที่ควรจะได้กำลังจะถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา มามัวงอมืองอเท้าอยู่ได้อย่างไรกัน...สองแม่ลูกพอนึกแผนการช่วงชิงเอาสิ่งซึ่งคิดว่าเป็นของ ๆ ตนออก อารมณ์ของทั้งสองจึงแจ่มใสขึ้นมากกว่าเดิม
(มีต่อ)