สาปเสน่หา ตอนที่ 4 by ล. วิลิศมาหรา

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 4

มายาพิศวาส


         ล่วงเข้ากลางดึกคืนนั้นในหอหลวงของเมืองเวียงแถน ราตรีนี้เป็นคืนข้างแรม ทั่วอาณาบริเวณคุ้มดูมืดทะมึน หอหลวงใหญ่โตตั้งตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีเทาเข้มน่าเกรงขาม มองเห็นตัวอาคารเรืองสลัวอยู่ท่ามกลางแสงประทีปที่จุดเรียงรายตามทางเดิน

         หลังเสร็จจากข้อหารือเร่งด่วนเรื่องวางแผนรับมือกับศัตรูที่จ่อมารุกรานเมืองอยู่รอบด้านระหว่างเจ้าฟ้าและเหล่าขุนนางแล้ว เจ้าชายพรหมภูมินทร์เสด็จลงมาจากชั้นสองของหอหลวงซึ่งเป็นห้องว่าราชการของเจ้าฟ้า ทรงดำเนินมาตามทางเดินเพื่อกลับไปยังตำหนัก

         อาคารทางซ้ายมือของหอหลวงซึ่งเป็นพระตำหนักที่ประทับของเจ้าชายพรหมภูมินทร์นั้น เป็นอาคารสองชั้นที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นตำหนักของบรรดาพระชายา พระโอรสและพระธิดาของเจ้าฟ้ากองคำฟั่นทุกพระองค์ อาคารนี้มีบันไดหินอ่อนเจ็ดขั้นขึ้นไปยังประตูด้านหน้า ภายในตัวอาคารเป็นเฉลียงกว้างสามเมตร มีห้องเรียงรายติดต่อกันทั้งสองฟากเฉลียง ชั้นล่างเป็นที่ประทับของชายาทั้งสามพระองค์พร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดา ชั้นบนเป็นเฉลียงเหมือนชั้นล่าง เป็นที่ประทับของพระธิดาองค์ใหญ่และครอบครัวของเจ้าหลวงไชยรังษี ซึ่งห้องแรกสุดของชั้นบนเป็นห้องของเจ้านางคำหยาดฟ้าที่มีทวารเปิดออกไปสู่ระเบียงด้านนอกห้องบรรทมได้ ถัดมาจึงเป็นห้องพักของเจ้านางม่านมณี ส่วนห้องของเจ้าชายพรหมภูมินทร์และเจ้าหลวงไชยรังษีนั้นอยู่ลึกเข้าไปด้านในตัวอาคาร  

           สายลมเย็น ๆ ยามค่ำคืนโชยพัดเอากลิ่นดอกจำปี ดอกกระดังงา ลอยมากระทบนาสิกหอมชื่นใจยิ่งนัก หอหลวงปลูกไม้หอมไว้รอบคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นต้นจำปี จำปา ต้นดอกแก้ว ดอกสบันงาหรือกระดังงา ไม้ดอกหลากชนิดให้กลิ่นหอมตลบอบอวลในตอนกลางคืน และนิยมปลูกต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกสวยอีกทั้งให้ร่มเงาในตอนกลางวันอย่างต้นหางนกยูง ต้นตะแบก ราชพฤกษ์และต้นพญาเสือโคร่ง เรียงรายไว้ตามทางเดินระหว่างตัวอาคารของหอหลวงกับอาคารลูก พอถึงหน้าแล้งบรรดาต้นไม้ก็แข่งกันอวดดอกสลับสี ทั้งเหลือง ม่วง ชมพู และสีแดงสดใสสวยงามละลานตา ในยามนั้นหอหลวงที่มียอดมณฑปสีทองเหลืองอร่ามเจ็ดชั้นตัดกับสีขาวของตัวตึกซึ่งตั้งเด่นอยู่บนเนิน แวดล้อมด้วยสีสันของพรรณไม้หลากสีจึงสวยงามอลังการราวทิพย์วิมานในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าก็มิปาน  

         เจ้าชายหนุ่มเสด็จขึ้นบันใดมาและกำลังจะเลี้ยวไปยังห้องประทับ พลันทอดพระเนตรเห็นแสงไฟจากโคมประทีปส่องลอดผ่านช่องทวารห้องของเจ้านางคำหยาดฟ้าที่ยังเปิดแง้มอยู่ออกมา  

...เหมือนมีอะไรมาดลดวงจิต เจ้าชายรูปงามชะงักพระบาทที่กำลังดำเนิน...

ทรงยืนรีรออยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวตรงไปยังห้องของพระธิดาเจ้าฟ้า หวังสอบถามด้วยความห่วงใยที่ดึกแล้วยังไม่เข้านอน และอยากกล่าวขอบพระทัยในความเมตตาช่วยฝนโอสถรักษาอาการประชวรให้แก่เจ้านางม่านมณีเมื่อตอนกลางวัน  

           ที่นอกทวารห้อง บุรุษรูปงามทอดพระเนตรเข้าไปยังด้านใน ภาพที่ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์ทำให้ถึงตกตะลึง...ทรงยืนจ้องราวต้องมนต์สะกด เพราะทรงเห็นวรกายอรชรโปร่งระหงของเจ้านางคำหยาดฟ้าประทับอยู่บนเก้าอี้ข้างพระแท่นบรรทม หันข้างให้ช่องทวาร กำลังก้มลงมองของสิ่งหนึ่งที่ถืออยู่ในหัตถ์เรียว

    โฉมพิลาสแน่งน้อยซ่อนอยู่ในฉลองพระองค์คล้ายผ้าแถบรัดอกสีทองดันพระถันเป็นเนินเต็มอิ่ม ผ้าคลุมอังสะบางเบาถักทอจากดิ้นไหมเงินทองล้ำค่าคลุมยาวจดพระเพลา แต่มิอาจปิดบังเนินถันอวบอิ่มขาวสล้างนั้นได้เลย ภูษายาวกรอมพระบาทสีดำขลิบทองส่งให้ฉวีขาวนวลผุดผาดพิลาสล้ำ ชุดทรงเผยให้เห็นบั้นพระองค์คอดและโสณีกลมกลึง เกศาดำขลับที่เคยเกล้ามวยบัดนี้ปล่อยสยายลงคลุมพระขนอง

           เมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องอยู่ พระนางจึงเงยพักตร์งดงามขึ้นมองตอบ ทรงช้อนพระเนตรพราวระยับแลสบเนตรคมที่กำลังตะลึงจ้องอย่างลืมองค์ สายพระเนตรหวานชวนฝันเปล่งประกายยินดียามสบประสานกัน

“เจ้าพี่พรหมภูมินทร์” น้ำเสียงระรื่นโสตพึมพำเรียกพระนาม กลิ่นหอมจากกายสาวและแววเว้าวอนในเนตรนางยามขยับจริยาลุกขึ้นนวยนาดเข้ามาใกล้ล้วนชวนให้อารมณ์ชายตื่นเพริด

...ใคร่ได้โอบรัดเอาร่างงามนี้เข้าสู่อ้อมอุระจริงหนอ ...

พลันเจ้าชายพรหมภูมินทร์รู้สึกพระองค์ ทรงนึกละอายที่เผลอไผลในโฉมพิลาสจนเกิดอุธัจขึ้นในอุระ รีบหันกลับจะเสด็จจากไป

“เดี๋ยวก่อนเจ้าพี่ อย่าพึ่งไป น้องมีอะไรจะให้ดู” เมื่อถูกสาวเจ้าเรียกรั้งเอาไว้จึงจำต้องหันกลับมาใหม่

“นั่นอะไรหรือเจ้าน้อง” ตรัสถามออกไป ครั้นเห็นสิ่งที่อยู่ในหัตถ์นางชัดจึงทรงพบว่าเป็นดอกไม้แห้งสีน้ำตาลคล้ำเพราะถูกตากแห้งมานาน

“ดอกเก็ดถะหวาที่เจ้าพี่มอบให้น้องวันขึ้นปีใหม่ปีที่แล้ว ดอกที่น้องขอให้ท่านปักผมให้วันนั้นไงจ้าว” ได้ฟังองค์หญิงเลอโฉมทูลแล้วต้องอึ้งไปครู่หนึ่ง อดเห็นใจเจ้านางไม่ได้จึงตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน

“น้องยังเก็บมันไว้อยู่อีกหรือ” พระนางพยักพักตร์รับจริยาขวยเขินน่าเอ็นดู ทรงช้อนพระเนตรหวานซึ้งมองพักตร์หล่อเข้ม ริมโอษฐ์สีชมพูอ่อนแย้มสรวลหวานฉ่ำก่อนทูลว่า

“วันนั้นเจ้าพี่รีบกลับบ้านไม่ทันปักผมให้น้อง แต่น้องยังเก็บรักษามันไว้รอให้เจ้าพี่มีเวลาหวนกลับมาปักมันให้น้องใหม่ ได้โปรดเถอะจ้าว ช่วยปักดอกไม้นี้ให้น้องที”

    แววละห้อยในดวงเนตรที่สารภาพถึงความรู้สึกในหทัยนางจนหมดสิ้นทำให้ชายชาตินักรบพระทัยอ่อน ทรงเอื้อมเอาหัตถ์น้อยนั้นมากุมไว้อย่างลืมองค์อีกครา แต่ครั้นดึงสติกลับมาได้จึงตรัสบอกสิริโฉมโสภาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ดอกไม้นี้หาได้คู่ควรกับเจ้าน้องไม่ เจ้าเป็นถึงราชธิดาอันถือกำเนิดแต่พระมหาเทวี คู่ควรกับเจ้ารัชทายาทเมืองใดเมืองหนึ่ง หาใช่เจ้าชายตกยากที่ไม่มีแม้แต่บ้านเมืองของตัวเองอย่างอ้ายดอกเจ้านาง”

จับหัตถ์พระนางที่กำดอกไม้นั้นให้หับลง แต่เจ้าหญิงคนงามกลับเป็นฝ่ายพลิกหัตถ์มากุมหัตถ์เจ้าชายเอาไว้เสียเองแล้วเว้าวอนว่า

“น้องหาได้สนใจเกียรติยศแลตำแหน่งอันใดไม่ น้องยินดีแม้ได้เป็นชายารองของเจ้านางม่านมณี”

“อย่าได้พูดเช่นนั้นเจ้าน้อง” พอสดับดำรัสดื้อดึง องค์ชายพลัดถิ่นถึงแก่ตกพระทัยละล่ำละลักห้ามปรามแทบลิ้นพันกัน

“สิ่งนี้อย่าพูดให้ใครได้ยินเป็นอันขาด เพราะมันจะทำลายพระเกียรติยศของทั้งเจ้านางแลเจ้าฟ้า อ้ายนี้หนีมาพึ่งพระบารมีปกเกล้า มีติดตัวมาเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวและม้าศึกอีกหนึ่งตัว ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยการถวายอารักขาพระองค์ท่านและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มิคิดกระทำการใดที่เป็นการหยามพระเกียรติเป็นอันขาด ตัดใจจากอ้ายเสียเถิด เราไม่เหมาะสมคู่ควรกันเจ้านางเองก็รู้ นี่ก็ดึกมากแล้วอ้ายขอตัวไปพักผ่อนก่อน เจ้าน้องก็พักนอนหลับเสียเถิด นอนดึกนักจะไม่สบายเอา”

ทรงตัดบท ก่อนรีบหันหลังกลับเสด็จห่างจากไปในทันที ปล่อยให้เจ้าหญิงทอดพระเนตรตามเบื้องปฤษฎางค์ด้วยความร้าวรานพระทัย


           หลังจากราตรีนั้นผันผ่าน เจ้าชายพรหมภูมินทร์พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังสองต่อสองกับเจ้านางคนสวย แม้นจำเป็นต้องเจรจากันตามลำพังยังรีบจบการสนทนาเสียโดยเร็ว

“เจ้าพี่รังเกียจข้าเจ้าถึงเพียงนี้ แม้เห็นหน้าก็ทำเมิน”

           เจ้านางผู้พ่ายรักคร่ำครวญกับกิ่งแก้วบ่าวหญิงคู่พระทัย รู้สึกเจ็บช้ำกับกิริยาหมางเมินของชายในดวงใจเหลือจะกล่าว นางกำนัลก็อับจนปัญญามิรู้จะสรรหาถ้อยคำประการใดมาปลอบโยน ทำได้เพียงบีบนวดถวายนายสาวไปตามประสา

“อยากรู้นักว่าเจ้าพี่พรหมภูมินทร์ไม่มีใจให้ข้าเลยแม้สักน้อยจริงหรือ ในเมื่อข้านี้หาได้มีสิ่งใดด้อยไปกว่าเจ้านางม่านมณี” ตรัสพลางกัดริมโอษฐ์แน่น ระงับถ้อยคำต่อจากนั้นที่ใคร่บริภาษศัตรูหัวใจออกมาแรง ๆ

“เจ้านางจะพิสูจน์น้ำใจเจ้าพรหมภูมินทร์ฤา” กิ่งแก้วทายพระทัยนายสาว ประกายเนตรเจ้าหญิงเมืองเวียงแถนแวววาวขึ้น เอ่ยปากบอกนางบ่าวอย่างมั่นพระทัย

“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าพี่จะไม่มีใจรักสตรีเยี่ยงข้า เพียงแต่พระองค์กริ่งเกรงคำครหานินทาที่จักตามมา เพราะเจ้าพี่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นแค่แม่ทัพ มิใช่อยู่ในตำแหน่งเจ้าหลวง ข้าจะพิสูจน์ให้พระองค์เห็นเองว่าทรงคู่ควรกับราชธิดาเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนเพียงใด” ทุกถ้อยคำบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง กิ่งแก้วแม้ใคร่ทัดทานแต่จำต้องสงบถ้อยคำ บ่าวหญิงอดห่วงนายสาวไม่ได้แต่ไฉนเลยจะกล้าเอ่ยคำห้ามปรามออกมา  


           ห่างจากตัวเวียงของเมืองเวียงแถนออกไปทางทิศใต้เกือบสิบกิโลเมตรมีโป่งน้ำพุร้อน ที่นั่นมีบ่อน้ำร้อนอยู่หลายบ่อ แต่ละบ่อกว้างเท่าห้อง ๆ หนึ่ง มีบ่อหนึ่งองค์เจ้าฟ้าได้ดัดแปลงสร้างเป็นแอ่งเล่นน้ำอุ่นไว้สำหรับให้เจ้านาย ข้าราชบริพารตลอดจนพสกนิกรของพระองค์ได้ใช้ประโยชน์

           บ่อนี้เวลาน้ำเดือดแต่ละครั้ง ฟองอากาศจะกระเด็นสูงขึ้นไปเป็นเมตรแล้วตกลงไปในร่องที่ทำรองไว้ น้ำร้อนในร่องนี้จะไหลไปผสมกับน้ำเย็นที่ไหลมาตามร่องอีกร่องหนึ่งซึ่งต่อมาจากธารน้ำตกใกล้ ๆ ห่างจากโป่งน้ำร้อนไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร แล้วตกลงลงในแอ่งกว้างและลึกเกือบท่วมหัวคนสามารถแหวกว่ายเล่นได้ ทำให้น้ำในแอ่งมีอุณหภูมิอุ่นพอเหมาะแก่การลงเล่นน้ำ ก่อนจะไหลล้นแอ่งลดหลั่นไปเป็นชั้น ๆ คล้ายน้ำตก รอบแอ่งมีโขดหินน้อยใหญ่เรียงราย

        ถัดไปไม่ไกลนักเป็นป่ามีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ เจ้าฟ้าจึงโปรดให้ทำรั้วไม้ไผ่กั้นไว้รอบแอ่งเพื่อแบ่งอาณาเขตระหว่างคนกับสัตว์ที่อาจพลัดหลงเข้ามา อากาศบนดอยขาบอันเป็นที่ตั้งของหอหลวงเมืองเวียงแถนมักหนาวเย็นยาวนานเกือบตลอดปี สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเจ้านายเมืองนี้ยิ่งนัก

           หลายวันแล้วที่เจ้านางม่านมณีนอนประชวรอยู่แต่ในตำหนัก วันนี้ทรงแข็งแรงขึ้นพอมีแรงนั่งรถมาเที่ยวชมวิวทิวทัศน์กับพระคู่หมั้นและเหล่าโอรสน้อย ๆ ของเจ้าฟ้าที่เจ้าชายพรหมภูมินทร์พามาด้วย  

           เมื่อมาถึงแอ่งน้ำอุ่น เจ้าชายจัดให้หญิงคนรักพักอยู่บนโขดหินห่างจากขอบแอ่งพอประมาณ แล้วพาเจ้าจุมมณี เจ้าสิงหาและเจ้ายอดขุน โอรสของเจ้าแม่อุข่าที่อยู่ในวัยกำลังซนลงสรงสนานในแอ่ง

           เจ้าหญิงผู้มีวรกายอ่อนแอทอดพระเนตรพระคู่หมั้นสรงสนานกับโอรสองค์น้อยเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน พักตร์ละมุนแย้มสรวลเป็นระยะต่อภาพน่าเอ็นดูเบื้องหน้า สักครู่จึงรู้สึกเหมือนมีคนมาประทับข้าง ๆ  พอหันมาก็พบพระธิดาคำหยาดฟ้าพร้อมด้วยกิ่งแก้วบ่าวหญิงของพระนางประทับอยู่เยื้องไปด้านหลัง มีปิ่นโตใส่อาหารและตะกร้าผลไม้ใบหนึ่งวางข้างกาย    

“เจ้าพี่เล่นเป็นเด็ก ๆ เลย ดูสิ”

    เจ้านางเมืองเวียงแถนแย้มยิ้มทักทายพระคู่หมั้นของเจ้าชายพรหมภูมินทร์ พลางชี้ชวนให้ดูเหล่าเจ้าชายในแอ่งน้ำอุ่นที่กำลังวักน้ำสาดใส่กันชุลมุน เจ้านางม่านมณีมองตามด้วยแววเนตรเปี่ยมสุข ได้ยินหญิงข้าง ๆ บอกต่อไปว่า

“ข้าเจ้ารู้จากเจ้าอาว่าพากันมาเล่นน้ำที่นี่ เกรงพวกท่านจะหิวก็เลยเอาอาหารกับผลไม้ตามมาให้”     
                      
“ขอบพระทัยที่เอื้อเฟื้อ ข้าเจ้าก็ได้เตรียมมาบ้างเหมือนกัน แต่คงไม่น่ากินเหมือนของเจ้านาง ข้าน้อยทำอาหารไม่ค่อยเก่งและยังไม่ค่อยแข็งแรงดี”

ประณมหัตถ์ไหว้ขอบคุณตามมารยาท พระนางยังมิค่อยสนิทใจกับราชธิดาเจ้าฟ้า เนื่องเพราะต่างเคยวางท่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยยังทรงพระเยาว์

“ไม่เป็นไรหรอกข้าเจ้ายินดีทำให้ เจ้านางเองไม่ค่อยสบายก็อย่าหยิบจับอันใดจนวุ่นวายเลย จงเร่งรักษาตัวให้หายโดยไวเถิด ทุกคนจะได้สบายใจเสียที” แย้มสรวลน้อย ๆ ที่ส่งมาให้พร้อมดำรัสที่ฟังดูเหมือนปรารถนาดี แต่กลับทำให้เจ้านางม่านมณีพระพักตร์เสีย

“ข้าเจ้าเกือบหายดีแล้ว หมอสมิธมาดูอาการเมื่อวานบอกว่าร่างกายข้าตอบสนองต่อยาและการรักษาได้ผลดี อีกไม่นานข้าคงได้ทำหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนให้แก่เจ้าพี่พรหมภูมินทร์เสียที เจ้านางวางใจเถิด”

ด้วยเพราะแจ้งมานานแล้วว่าพระธิดาเมืองเวียงแถนมีความอิจฉา ใคร่ครองพระทัยเจ้าชายพรหมภูมินทร์แทนพระนาง น้ำเสียงของเจ้านางม่านมณีจึงติดประชดให้อีกฝ่ายช้ำพระทัย

(มีต่อด้านล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่