สาปเสน่หา ตอนที่ 5 by ล. วิลิศมาหรา

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 5

รักข้ามขอบฟ้า


...พี่ปลูกต้นรัก ไว้ในกระถาง
เอาไว้หื้อนาง  เมื่อยามดอกขึ้น
เอาน้ำหั๋วใจ๋  ใส่งามบ่ตื้น
ใส่ปุ๋ยพรวนดิน  ค่ำเจ๊า
หวังกิ่งก้านใบ  งามไวแต้เล้า
บ่หื้อหม่นเส้า  แห้งวาย
ต้นไม้ต้นนี้  พี่บ่ถามขาย
จักไว้หื้อนาย ได้ดมผ่อเล่น...แลนายเหย...



           หลังเหตุการณ์ที่บ่อน้ำพุร้อนวันนั้นแล้ว เจ้าชายพรหมภูมินทร์ดูเหมือนสนิทสนมกับพระธิดาคำหยาดฟ้ามากขึ้น พระองค์มิได้หลบพระพักตร์ราชธิดาโฉมงามอีก แต่มักนิยมเสด็จมาเยี่ยมชมเจ้าหญิงผู้ปราดเปรื่องทรงงานด้านปรุงยาสมุนไพรขึ้นใช้ในหอหลวงอยู่เนืองๆ ลางทีพระองค์ยังร่วมอ่านหนังสือวิชาการต่าง ๆ และหัดตรัสภาษาฝรั่งในห้องทรงพระอักษรของพระนางอีกด้วย จนตอนนี้เจ้าชายนักรบดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นนักปราชญ์ไปด้วยอีกทางหนึ่ง

           หนุ่มสาวทั้งสองเริ่มไปขี่ม้าเล่นรอบเมืองด้วยกัน บางครั้งก็ขับรถไปเที่ยวในตลาดตามลำพังสองต่อสองโดยมิได้พาเจ้านางม่านมณีไปด้วย เพลานี้พระธิดาเจ้าฟ้ากองคำฟั่นมีความสุขยิ่งนัก

           ครั้งหนึ่งดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ดอยขาบต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นสีเหลืองนวลอมส้มงามประหลาดไปทั่วทั้งดอย บนท้องฟ้าหมู่วิหคโผบินกลับรังเป็นหมู่ ๆ  ลมภูเขาพัดเอาความหนาวเย็นมากระทบผิวหนังจนชา ณ ภูผานอกเมืองแห่งนี้ สองหนุ่มสาวประทับบนหลังอาชาผินพระพักตร์ไปทางเมืองเวียงแถนที่เห็นยอดมณฑปสีทองของหอหลวงอยู่ลิบ ๆ

“เมืองเวียงแถนช่างงามนัก” ร่างงามสง่าบนหลังอาชาสีหมอกคู่พระทัยชื่นชมทัศนียภาพเบื้องหน้าที่งดงามราวภาพฝันจนต้องรำพึงออกมา เจ้าหญิงคนเก่งทรงชุดขี่ม้าเยี่ยงหญิงตะวันตก ทะมัดทะแมงบนหลังอาชาสีนิลผงกเศียรรับอย่างเห็นด้วย

“ข้าเจ้ารักทุกสิ่งที่นี่แลสามารถทำทุกสิ่งเพื่อที่นี่ได้เช่นกัน” พระธิดาเมืองเวียงแถนตรัสตอบ น้ำเสียงหวานใสยามนี้หนักแน่นจริงจัง

“ตัวอ้ายถึงมิใช่เป็นเชื้อสายเมืองเวียงแถน แต่ขอยึดเอาที่นี่เป็นเรือนตายไม่หนีไปไหนอีกแล้ว จะขออุทิศชีวิตนี้เพื่อปกป้องเมืองเวียงแถน เจ้าฟ้าและเจ้านางตลอดไป”

ดำรัสที่ออกมาดั่งให้คำมั่นกับพระองค์เอง สองสายตาประสานสบกัน เจ้าชายหนุ่มจ้องพักตร์งามของเจ้านางสาวนิ่งนานเหมือนมิอาจละสายตาจากพักตร์นวลนั้นได้ เนตรหวานคู่นั้นก็มิได้หลบสายตาคมของบุรุษรูปงามแม้สักวินาทีหนึ่ง

           สายลมพัดเอาเส้นเกศาอ่อนสลวยปลิวไสวมาปิดดวงพักตร์ หัตถ์แข็งแรงจึงยื่นมาปัดมันให้พ้นปรางนวล โฉมสะคราญเอียงปรางต้องดรรชนีชายแล้วพริ้มเนตรลงอย่างรัญจวนใจ เจ้าชายหนุ่มทอดถอนพระทัย ดึงหัตถ์กลับคืนก่อนตรัสชวนเจ้าหญิงแสนสวยขี่ม้ากลับสู่หอหลวง

           เย็นย่ำเกือบถึงสนธยา ณ ลานกว้างหน้าหอหลวง เจ้านางม่านมณีพร้อมด้วยคำแปงบ่าวหญิงที่เจ้าฟ้ามอบให้มาปรนนิบัติ ทรงยืนคอยพระคู่หมั้นกับพระธิดาเจ้าฟ้ากลับจากขี่ม้าเล่นนอกเมืองด้วยท่าทีกระวนกระวาย ดวงเนตรกลมโตจ้องไปยังทางเข้าหอหลวงแทบมิกระพริบ จวบจนสองพระองค์ทรงอาชาเยื้องย่างเข้ามายังหน้าลาน เจ้าชายมีท่าทีอึดอัดเมื่อพบคู่หมั้นมายืนรอ หนุ่มสาวทั้งคู่ลงจากหลังม้าแล้วมีรับสั่งให้บ่าวรับใช้นำม้าไปเข้าคอก ก่อนชวนกันดำเนินมาหาเจ้านางม่านมณี

“ขี่ม้าเล่นสนุกไหมจ้าว” เจ้านางคู่หมั้นตรัสทักเพียงเจ้าพี่พรหมภูมินทร์ บังคับน้ำเสียงให้นุ่มนวลต่างจากข้างในซึ่งแสนขัดเคือง ทรงชายเนตรไปทางเจ้าหญิงคนงามที่ดำเนินเคียงกันมากับคู่หมั้นของพระองค์อย่างระแวง

“วันนี้ขี่ม้าสนุกมาก นอกหอหลวงผู้คนกำลังตื่นเต้นจัดทำ1บอกไฟแข่งกันในเทศกาลแข่งบอกไฟที่จะถึง อ้ายได้ตระเวนดูบอกไฟหลายที่ ปีนี้ท่าทางจะคึกคักเพราะแต่ละป๊อกบ้านสามัคคีช่วยกันทำ บอกไฟกระบอกใหญ่ ๆ ทั้งนั้น”

เจ้าชายตรัสเล่าให้คนรักฟังอย่างเบิกบานพระราชหฤทัย แววเนตรสดใสดูมีชีวิตชีวา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ดวงฤทัยของพระคู่หมั้นสั่นไหวด้วยความหวั่นเกรง

“ฟังแล้วอยากเห็นเสียจริง อิจฉาเจ้าคำหยาดฟ้าที่ได้ไปเที่ยวเล่นกับเจ้าพี่อยู่เนือง ๆ วันหลังเจ้าพี่พาน้องไปด้วยได้ไหมจ้าว” ทรงอ้อนขอเหมือนทุกครั้ง พลางเหลือบเนตรมองซ้ำไปทางพระธิดาเจ้าฟ้าซึ่งยืนเคียงชายคนรักของตน ครั้นเห็นพระนางคู่แข่งเลิกขนงโก่งเรียวขึ้นสูงและมีรอยสรวลน้อย ๆ มุมโอษฐ์อย่างมีชัยอยู่ในที พักตร์ละมุนก็ยิ่งง้ำงอลง

“อ้ายเป็นห่วงเจ้า อย่าพึ่งออกไปข้างนอกเลยจะป่วยไข้เอาอีก รอให้น้องแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า เรื่องคราวก่อนอ้ายยังนึกหวาดเสียวไม่หาย”

           เจ้าชายพรหมภูมินทร์ปฏิเสธพลางอธิบายเหตุผลที่ยากโต้แย้ง ครั้นพอได้ฟังสีพระพักตร์เจ้านางม่านมณีก็เจื่อนลง ทรงสะบัดพักตร์ใส่อย่างขัดใจแล้วหันหลังให้

“เจ้าพี่หมดรักน้องแล้ว แสร้งอ้างอาการป่วยไข้ของน้องแท้จริงทรงรำคาญมากกว่า ต่อไปนี้จะไม่ขอร้องรบกวนอันใดเจ้าพี่อีก เชิญทำอะไร ๆ ตามพระทัยเถิด”

สักครู่ก็ต้องตกพระทัยเมื่อวรกายแบบบางถูกยกลอยสูงขึ้น พระร่างถูกกรแข็งแรงช้อนอุ้มเข้ามาอยู่ในอ้อมพาหา หนุสากคายขยี้นลาฏเล่นอย่างเอ็นดู

“เจ้างอนอ้ายอีกแล้วนะ เพราะรักดอกจึงห่วงกลัวเจ้าเจ็บไข้ไม่สบาย ที่นี่ลมแรงเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้” พักตร์หล่อเหลาแนบชิดปรางนวล ตรัสกระซิบริมกรรณ

“กลับเข้าตำหนักแล้วอ้ายจักลงโทษเจ้าที่ทำให้เป็นห่วง เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที อ้ายบอกแล้วมีอ้ายอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ มิต้องกลัวอันใด”
ทรงหันมาตรัสลาพระธิดาเจ้าฟ้าก่อนโอบอุ้มเจ้าหญิงคู่หมั้นดำเนินจากไปพร้อมนางกำนัลคำแปง ท่ามกลางสายพระเนตรมองตามของอีกหนึ่งเจ้าหญิงที่กัดโอษฐ์ข่มความริษยาชิงชัง

...สำออยนักนะนางหญิงต่างเมือง อีกไม่นานเราจะได้เห็นดีกัน...


           ความสนิทสนมกันระหว่างพระธิดาเมืองเวียงแถนกับเจ้าชายพลัดถิ่นที่เพิ่มขึ้นนี้ มิได้หลุดพ้นจากสายพระเนตรของเจ้าฟ้ากองคำฟั่นและเจ้าหลวงไชยรังษี ในยามหนึ่งสองผู้เฒ่าจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายพรหมภูมินทร์และเจ้านางม่านมณี สองคู่หมั้นหมายมาหารือ

    “เจ้าลุงแลเจ้าพ่อเห็นพ้องต้องกันว่า ออกฝนพ้นพรรษาแล้วจะจัดงานแต่งให้เจ้าทั้งสองตามประเพณีเสียทีในเดือนยี่ที่จะถึงนี้ เพราะเจ้าทั้งคู่หมั้นหมายกันมานานแล้ว ม่านมณีแม้ยังไม่ค่อยแข็งแรงแต่ก็ดูมีแฮง หน้าตาแจ่มใสขึ้นมาก เจ้าทั้งสองจะว่ายังไง”

     เจ้าฟ้ากองคำฟั่นเป็นผู้เริ่มตรัสขึ้นก่อนโดยมีเจ้าไชยรังษีประทับทอดพระเนตรอยู่ข้าง ๆ อย่างเอ็นดู คู่รักต่างแย้มยิ้มอย่างดีพระทัย พากันก้มลงกราบแทบพระบาทเจ้าหลวงทั้งสอง

“เจ้าลุงมีเมตตาเป็นบุญหัวของเราเหลือเกิน” เจ้าชายพรหมภูมินทร์พนมหัตถ์ไหว้ ขณะตรัสออกมาด้วยความปิติยินดียิ่ง

“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันตกลง กำหนดเวลางานแต่งเจ้าคือเดือนยี่ นับจากนี้อีกห้าเดือน เจ้าทั้งสองจงเตรียมตัวแลระมัดระวังอย่าให้ป่วยไข้ เรื่องพิธีการต่าง ๆ ลุงจะมอบหมายให้เจ้านางคำหยาดฟ้าเป็นผู้ดูแล โดยลุงรับเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้แก่เจ้าเอง รวมทั้งสินสอดแลของแต่งด้วย เพราะเจ้านางม่านมณีนั้นก็มิใช่ใครอื่นเป็นลูกของน้องสาวลุงที่สิ้นไปจึงนับเป็นหลานลุงโดยแท้” เจ้าฟ้าตรัสอย่างปรานี

“ขอบพระทัยเจ้าพี่ในการนี้ ท่านมีบุญคุณกับพวกเราใหญ่หลวงนัก ทั้งให้ที่พักพิงอาศัยซ้ำยังจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวข้าน้อย ไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดีจึงจะสมกับความเมตตาของท่าน”

    เจ้าหลวงไชยรังษีเองก็พนมหัตถ์ขึ้นไหว้เจ้าฟ้าด้วยสำนึกซาบซึ้งในน้ำพระทัย

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกเจ้าหลวง พวกเรามิใช่อื่นไกลล้วนเป็นพี่น้องกัน หากพี่น้องไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยเราเล่า” คนทั้งหมดต่างแสดงความยินดีกับงานมงคลที่กำลังจะจัดให้มีขึ้น ยกเว้นเพียงบางคนที่บังเอิญดำเนินเข้ามาได้ยินพอดี

    “ขอแสดงความยินดีกับเจ้าพี่แลเจ้านางม่านมณีด้วยนะจ้าว” รอยสรวลที่ส่งให้คู่รักทั้งสองของเจ้านางคำหยาดฟ้าแม้นอ่อนหวานดุจเดิม แต่ร่องรอยความอาดูรในดวงเนตรคู่นั้นมิสามารถแอบซ่อนเอาไว้ได้เลย

           ลมหนาวเริ่มพัดหอบเอาความหนาวเย็นมาสู่ผู้คน ผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองเวียงแถนโพกศีรษะด้วยผ้าหนา ๆ เสื้อผ้าที่มีหากบางเกินไปก็เอาผ้าขนหนูมาห่มคลุม บ้างก็ก่อกองไฟเพื่อผิงให้ความอบอุ่น ครั้นพอแดดออกก็พากันจับกลุ่มผิงแดดตามข่วงหรือลานบ้าน เด็ก ๆ วิ่งเล่นรอบข่วงบ้านแก้มแดงเหมือนลูกตำลึงสุก เด็กบางคนผิวแห้งแตกลอกเป็นเส้นลายดำ ๆ เหมือนแผนที่ทั้งบนแก้ม ตามขาและเท้าทั้งสองข้าง

            คราวนั้น เจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนได้รับจดหมายจากผู้กำกับราชการตัวแทนของประเทศอังกฤษจากเมืองมัณฑะเลย์ แจ้งมาว่า ขณะนี้พม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษแล้ว เหล่าเมืองไทเขินไทใหญ่ทั้งปวงที่เคยขึ้นกับพม่าก็ต้องเปลี่ยนมาขึ้นต่ออังกฤษ ส่วยบรรณการให้งดส่งและต้องยอมรับอำนาจการปกครองของอังกฤษ หากไม่คิดสู้รบกันให้บาดเจ็บล้มตายก็สมควรที่จะได้เจรจาทำสัญญาต่อกันเพื่อความชัดเจน

“เราควรถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด เพื่อชาวบ้านจะได้เก็บเกี่ยวพืชผลจนแล้วเสร็จ ก่อนตกลงทำสัญญาใด ๆ กับมัน” เจ้าไชยรังษีแสดงความคิดเห็น

    “ถ้าเราเจรจากับมันมิเท่าเรายอมแพ้มันแล้วหรือ” หนานอินเฟือนแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสองคนของเมืองเวียงแถนกลับไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาของขุนทหารผู้กล้า  ย่อมมิยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ

    “ทหารเมืองเวียงแถนได้รับการฝึกฝนและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี เพื่อปกป้องบ้านเมืองแล้ว พวกเราเหล่าทหารกล้าขอสู้ตายและพร้อมพลีชีพทุกคน”

    หนานแสนเมืองแม่ทัพใหญ่อีกคนหนึ่งรวมทั้งขุนทหารทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียว ล้วนมีท่าทีคัดค้านการเจรจาเต็มที่
“ขอท่านทั้งหลายจงใจเย็นฟังเราประเดี๋ยวหนึ่งก่อนเถิด” เจ้าชายพรหมภูมินทร์ทรงเห็นมิเป็นการ จักควรสำแดงความอีกด้านให้ประจักษ์ จึงลุกยืนขึ้นเพื่ออธิบาย ซึ่งเหล่าขุนศึกและเสนาบดีต่างหันมาตั้งใจฟัง

    “จากเคยได้รบพุ่งกันมาที่ห้วยยางลายข้ามีบทเรียนมาเล่าสู่พวกท่านฟัง การศึกกับพม่านั้นฝ่ายเราพอรับมือได้อยู่ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาหลายครั้ง ถึงกระนั้นก็ตึงมือเต็มที พวกม่านกับเราส่วนใหญ่ก็รบพุ่งกันด้วยหอกดาบ หลาวเหลนและหน้าไม้ มาครั้งล่าสุดพวกมันมีปืนไฟ ของเราก็มีบ้างแต่เหล่าทหารมิชำนาญนัก ซ้ำปืนไฟที่พวกมันใช้ยังมีอานุภาพรุนแรงกว่าของเรา ซึ่งคาดว่าพวกมันได้มาจากเมืองฝรั่งอังกฤษ ศึกครั้งล่าสุดนี้เราจึงแพ้ยับเยิน”

            “เพราะฉะนั้นการศึกที่เราต้องสู้กับฝรั่งโดยตรงและมีพวกม่านสนับสนุนครั้งนี้ พวกมันย่อมมีปืนไฟอานุภาพร้ายแรงเช่นที่ว่า ทหารของเมืองห้วยยางลายล้วนกล้าแกร่งไม่กลัวตาย มีฝีมือไม่น้อยกว่าทหารของเมืองเวียงแถนยังต้องล้มลงดุจใบไม้ร่วง อันตัวเราสูญเสียหมดสิ้นทั้งแม่และญาติพี่น้อง เหลือมาเท่านี้ แต่นั่นยังไม่เท่ากับมีผู้คนชาวเมืองอีกมากมายถูกเข่นฆ่า ถูกข่มเหงรังแกเพราะเมืองแตก”

“ดังนั้นเพื่อปกป้องราษฎร หากคิดจะสู้รบกันเราต้องชนะสถานเดียว และหากคิดเอาชนะ นอกจากกำลังคนแล้ว เราจักต้องมีปืนไฟที่วิเศษเช่นมัน ไม่เช่นนั้นเมืองเวียงแถนจะต้องชะตาเดียวกับเมืองเราอย่างแน่นอน”

    สีพระพักตร์และน้ำเสียงเคร่งเครียดยามเล่าถึงบ้านเมืองเดิมซึ่งพินาศลงสิ้นด้วยไฟสงครามทำให้แม่ทัพทั้งคู่และขุนทหารนิ่งคิด เมื่อจนด้วยเหตุผลต่างก็สงบคำลง

“เช่นนี้เราจึงจำต้องลองเจรจากับพวกมันดูก่อน ต่อรองให้ดี หากไม่เสียเปรียบเกินไปข้าอาจยอมรับได้เพื่อเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ แต่หากเห็นไม่เข้าทีการศึกคงหนีไม่พ้น” เจ้าฟ้ากองคำฟั่นสรุปความ


             ก่อนเข้าหน้าหนาวเต็มฤดู ผู้กำกับราชการตัวแทนของฝ่ายอังกฤษก็ได้ส่งหนังสือฉบับที่สองมาแจ้งให้เจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนทราบว่า จะเดินทางมาพบปะหารือกันเรื่อง “ซานัด” (Sanad สำเนียงพม่าหมายถึงสัญญาว่าจะต้องขึ้นอยู่ในปกครองของอังกฤษ และยอมให้อังกฤษมีสิทธิและอำนาจตามข้อที่บ่งไว้ในสัญญา) เจ้าฟ้าแสดงความหนักพระทัยต่อการนี้ยิ่งนัก ทรงเรียกประชุมคณะที่ปรึกษาและเสนาอำมาตย์เป็นการเร่งด่วนอีกครั้ง

“เราเสียเปรียบเขาทุกอย่าง แถมเวลาพูดคุยทำสัญญาต่อกันต้องใช้ล่ามของม่าน แต่เราไม่รู้ทั้งภาษาม่านและภาษาฝรั่งยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีก”

(มีต่อด้านล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่