ริษยารักข้ามภพ บทที่ 1ุ6




ตอนเดิม



ตอนที่ 16
งานถวายเพลิงพระศพเจ้าแม่อุษาประไพผ่านไปครบหนึ่งร้อยวัน ระหว่างนี้บรรยากาศในหอหลวงดูเงียบเหงาลง เพราะไม่มีเสียงเจรจาดังเจื้อยแจ้วอย่างที่พวกบ่าวรับใช้มักนินทานางลับหลังว่า’พูดดังไปสามบ้านแปดบ้าน’ ให้ได้ยินอีก

โอรสของนางเก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในห้อง ไม่ค่อยยอมออกมาสนทนาวิสาสะกับผู้ใด แม้แต่กับเจ้านางขนิษฐาทั้งสองคนที่กลับมาร่วมพิธีทำบุญร้อยวันให้พระมารดา เจ้าฟ้าหอคำเองก็ดูเศร้าซึมลงไปมาก ทรงเปรยว่าเนื่องจากตนเป็นพุทธมามกะ ระยะหลังมานี้โทษฆ่าคนตายของเวียงแถน สูงสุดก็เพียงจับขังคุกเท่านั้น แต่พระชายารองกลับต้องมาสิ้นลมลงในคุก ทั้งยังมิได้พิจารณาความผิดของนางเลยด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องการก่อกบฏของเจ้าอานันทะของนางก็เป็นคนละเรื่องกัน สอบความแล้วนางมิได้มีอันใดเกี่ยวข้องด้วยเลย และที่สำคัญ ‘คนก็ตายไปแล้ว’

พระมหาเทวีปลอบสวามีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สุดวิสัย ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน เห็นทีคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องบุญกรรมของแต่ละบุคคล คงได้แค่ปลงอนิจัง ชายาผู้นั้นตายไปด้วยพิษงู มิได้ตายจากการถูกลงทัณฑ์โดยพระองค์

ซึ่งแม้เจ้าฟ้าจะมีดำริเห็นพระทัยหญิงผู้ตายเช่นนั้น แต่พระธิดาองค์ใหญ่กับเจ้าชายพรหมภูมินทร์กลับคิดเห็นไปอีกทาง ทั้งคู่คิดว่าพระชายารองนั่นแหละคือตัวการสำคัญของการก่อกบฏ และเมื่อนางสิ้นไป ต่างก็พากันคลายความกังวลลง เพราะนับจากนี้ไป จะเหลือเพียงเจ้าชายใหญ่ผู้ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรอีก

วันนี้เจ้าชีวิตเวียงแถนมีรับสั่งให้โอรสและธิดาผู้กำพร้ามารดา ซึ่งก็คือเจ้าชายมหาคำคืน เจ้านางทิพวันนาซึ่งอภิเษกไปอยู่ต่างเมือง และเจ้านางบัวซอนผู้เพิ่งกลับจากโรงเรียนประจำที่ตองกี ตามเสด็จไปบำเพ็ญกุศลให้กับพระมารดาที่อารามหลวงของเมือง นอกจากนี้ยังมีพระมหาเทวี พระชายาคนที่สาม คนที่สี่ กับเหล่าโอรสและพระธิดาทั้งปวงตามเสด็จด้วย โดยมีเจ้าชายพรหมภูมินทร์คอยถวายการอารักขา เจ้าฟ้าทรงทำบุญถวายสังฆทานเสร็จแล้วจึงถวายภัตตาหารเพลพระ 

ระหว่างนั้นเจ้านางคำหยาดฟ้าปลีกตัวเข้ามากราบพระในวิหารหลวงแต่เพียงผู้เดียว ทรงพริ้มเนตรตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปด้วยอาการสงบนิ่งเป็นเวลานาน

“เจ้านางอธิษฐานถึงสิ่งใดอยู่รึ ดูท่าทางจะขอพรพระท่านหลายข้ออยู่ อ้ายเห็นหลับตาอธิษฐานอยู่เป็นนาน”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่หยอกเย้าตนนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายเดียวในดวงใจ รู้ว่าเขาตามเข้ามาด้วยก็แสนยินดี ค่อย ๆ ลืมเนตรขึ้นมอง เห็นร่างงามสง่าเข้ามานั่งใกล้ ๆ พร้อมส่งยิ้มบนโอษฐ์หยักลึกมาให้ เพียงเท่านั้นพระหทัยของเจ้านางสาวก็เริ่มเต้นถี่ เพลินจ้องพระพักตร์คมคายด้วยความหลงใหล ก่อนยิ้มหวานตอบ

“ขอให้สมรักกับท่านเสียทีน่ะซีเจ้าข้า” เผลอตอบความในพระทัยออกมา ครั้นเห็นอาการชะงักไปของเจ้าชายหนุ่มก็หัวร่อเสียงใส กลบเกลื่อนท่าทีก่อนหน้า

“น้องอธิษฐานว่าขอให้บ้านเมืองเรามีแต่ความสงบร่มเย็น ไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ อีก เมื่อกี้น้องพูดเล่นดอก”

บุรุษรูปงามรู้ตัวดี พระธิดาเจ้าฟ้าเมืองนี้มีความเสน่หาต่อตน ทุกครั้งที่เธอเผยความนัยออกมา ตนเองจึงเกิดอาการเกร็ง กลัวจะเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมตอบ ซึ่งจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นอีก ครั้นเห็นท่าทีหัวร่อขบขัน บอกว่าล้อตนเล่น จึงค่อยหายจากอาการเกร็ง

“อ้ายเองก็รู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แต่ก็ตกใจกับเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับเจ้าแม่อุษาประไพ อ้อ...อ้ายยังไม่ได้ขอบคุณเจ้านางเลย ที่ช่วยชีวิตม่านมณีไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว กลับจากเมืองจองลองมาก็มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องกบฏและงานพระศพ”

วันนี้สวามีของเจ้านางม่านมณีมีท่าทางสดชื่นแจ่มใสกว่าทุกวัน เพราะเรื่องร้าย ๆ ได้ถูกคลี่คลายลงไปจนหมดแล้ว รอยยิ้มจึงประดับบนพระพักตร์ที่มักเคร่งขรึมเป็นประจำ อยู่ตลอดเวลาที่สนทนากัน ทรงจับข้อมือข้างที่มีแผลเป็นจากคมมีดบาดของเจ้านางคนเก่งขึ้นดู ลูบไล้รอยแผลแผ่วเบา แล้วเอ่ยถามแสดงความสงสาร

“เจ้าน้องคงเจ็บแย่...เจ้าต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องของอ้ายกับเจ้าม่านมาตั้งหลายครั้ง อ้ายต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”

ทอดเสียงอ่อนนุ่มนวล จับพระทัยคนฟัง จนอดเคลิ้มตามไม่ได้ รู้สึกปลื้มในความห่วงใยที่เขามีต่อ ไม่เสียแรงเฝ้าหลงรักมาช้านาน

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าข้า เรื่องช่วยชีวิตคนครั้งนั้น แม้มิใช่ข้า ถึงเป็นใครที่รู้วิธีช่วยคนก็คงทำแบบเดียวกัน” 

ขณะที่กล่าว พระพักตร์ของคนพูดช่างอ่อนโยน น้ำเสียงก็ไพเราะอ่อนหวาน ผิดจากคืนเดือนมืดในคุกคืนนั้นราวกับเป็นคนละคน ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ท่าทางอันน่าเสน่หานี้ จะซุกซ่อนความน่าสะพรึงกลัวไว้อย่างแนบเนียน

“พูดถึงเจ้าแม่อุษาประไพ เหตุใดนางจึงกล้าลงมือวางยาพิษม่านมณีด้วยตัวเองซึ่ง ๆ หน้า ดูไปแล้วนางเป็นคนฉลาด แต่คราวนี้สิ่งที่ทำลงไปคล้ายดั่งคนสิ้นคิด” 

เมื่อได้มาอยู่กับคนในเหตุการณ์ จึงชวนสนทนาด้วยเรื่องอันน่าสงสัยในเหตุร้าย ตามวิสัยของผู้กรำศึกมาอย่างโชกโชนและเจนเล่ห์มนุษย์ คนฟังแสร้งทำทีเป็นพยักพักตร์รับ ควบคุมกิริยาให้สงบนิ่งเรียบเฉย ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย 

“เป็นเช่นนั้นจ้าว นางไปหาซื้อสมุนไพรกำเนิดดีงูมาจากเมืองแก้วด้วยตัวเอง เห็นว่าซักไซ้ขนาดและวิธีปรุงยาอย่างละเอียด อ้างว่าที่ตำหนักมีหนูตัวใหญ่เข้ามากัดภูษาคำขาด นางโมโหเลยซื้อยาไปกำจัดหนูด้วยตนเอง แถมให้เงินทองปิดปากคนขายตั้งมากมาย เดชะบุญเมืองแก้วมันนึกสงสัย จึงนำความมาเล่าให้น้องฟัง จนสามารถแก้พิษในน้ำยาให้ชายาเจ้าพี่ได้ทันเวลา ส่วนใครจะรู้เห็นกับนางเรื่องนี้อีกบ้าง ข้าไม่อาจทราบได้”

เสียงหวานใสเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ทำให้เจ้าชายนักรบเข้าใจเรื่องได้โดยตลอด ดังนั้นแม้ยังคลางแคลงพระทัยในเหตุการณ์อยู่ แต่ก็ไม่ได้พุ่งความสงสัยมายังโฉมพิลาสข้างกายตน คิดเสียว่าในเมื่อพระชายารองกระทำการชั่วช้า กล้าวางแผนฆ่าคนหวังป้ายความผิดให้ผู้อื่น เมื่อต้องมาตายในคุกเช่นนี้ เห็นทีคงเป็นเพราะกรรมชั่วที่นางกระทำย้อนมาสนองนางนั่นเอง ตนจึงขออโหสิกรรมให้

“เช่นนั้นคงเป็นเพราะกรรมตามสนองนางแล้ว อ้ายก็ขออโหสิให้ก็แล้วกัน”

บอกอโหสิกรรมด้วยพระทัยอันเปี่ยมปรานี พักตร์งามซึ้งของคนนั่งเคียงข้างปรากฏรอยยิ้มขึ้นบาง ๆ พลางหันไปทางองค์พระปฏิมา แล้วประณมหัตถ์ไหว้กล่าวขออโหสิกรรมตามอย่างเขา

“หากมีสิ่งใดติดค้างต่อกัน ข้าก็ขออโหสิกรรมต่อท่านด้วย และขอให้ท่านอโหสิให้ข้าเช่นกัน ขอให้ดวงวิญญาณของท่านขึ้นไปสถิตบนแดนฟ้าเทอญ” 

คำกล่าวไว้อาลัยและขออโหสิกรรม ราวจะให้ล่องลอยไปตามสายลม กระทั่งไปถึงยังดวงวิญญาณของพระชายาอุษาประไพ

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่