ริษยารักข้ามภพ บทที่ 1 (ต่อ)




ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนตค่ะ

ตอนเดิม



(วันนี้เอามาวางให้จบบทดีกว่านะคะ วันพรุ่งนี้จะได้ต่อบทใหม่เลย)

ในอดีตกาลล่วงมานานแล้ว เจ้าชายพรหมภูมินทร์เป็นชายหนุ่มผู้ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แม้นมั่นคงในสิ่งใดก็มักถือเอาเป็นสัจจะเสมอ ทรงชอบเสวยอาหารพื้นเมือง นิยมฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าแบบชาวไทเขิน ไม่ยอมแต่งอย่างฝรั่ง

หรือแม้แต่เรื่องของความรักที่ทรงมั่นในรักเดียวจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะหวนกลับมาเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้เจ้านางคำหยาดฟ้าเองก็ซาบซึ้งดีมานาน 

อดีตราชธิดาเมืองเวียงแถนยังจำวันแรกที่รู้จักกันได้ดี วันนั้นเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทเขิน หรือวันสงกรานต์ของทางล้านนา ผู้คนในเมืองล้วนรื่นเริงยินดี

วันสังขารล่อง ชาวเมืองทำพิธีแห่ตัวสงกรานต์ไปทิ้งยังแม่น้ำเพื่อไล่สงกรานต์ ถือเป็นการขับไล่โชคร้ายหรือสิ่งไม่ดีออกไป ถัดมาคือวันเนา ผู้คนต่างพากันขนทรายเข้าวัดเพื่อใช้ก่อเป็นเจดีย์ทรายในวันรุ่งขึ้น ส่วนภายในคุ้มจัดให้มีพิธีคารวะเจ้าหลวงเมืองเวียงแถน ซึ่งมีพระยศเป็นเจ้าฟ้าหอคำ อันหมายถึงเจ้าหลวงของเมืองใหญ่ที่มีเมืองบริวารหลายเมือง เช่น เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง เจ้าฟ้าเมืองเชียงรุ่ง ส่วนเจ้าหลวงกองคำฟั่นทรงเฉลิมพระยศเป็นเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถน

พระองค์ประทับอยู่บนแท่นแก้วผ่านฟ้าเหนือกว่าบรรดาเจ้าเมืองอื่น ที่ต่างหมอบคลานกันเข้ามาวางขันเงินใส่ดอกไม้ธูปเทียนตรงหน้าแท่นประทับเพื่อ “สูมา” หรือไหว้เจ้าฟ้าทีละเมือง หลังทรงอำนวยพรตอบ ช่างฟ้อนก็จะออกมาฟ้อนหางนกยูงให้แขกบ้านแขกเมืองชมเป็นอันเสร็จพิธี วันสุดท้ายเรียกว่าวันพญาวัน ชาวบ้านทั่วไปทำบุญและก่อเจดีย์ทรายกันที่วัด ส่วนเจ้านายของเมืองเวียงแถนทำบุญที่พระอารามหลวงประจำเมือง

ในวันเนานี้เอง เจ้าหลวงไชยรังสีแห่งเมืองห้วยยางลาย หนึ่งในเมืองบริวารซึ่งตั้งอยู่เหนือขึ้นไปเกือบติดมณฑลยูนนานของจีน ได้พาเจ้าชายพรหมภูมินทร์พร้อมกับเจ้านางม่านมณี ราชธิดาองค์เดียวของท่านมา ‘สูมา’ เจ้าฟ้าด้วย 

เจ้าชายองค์น้อยวัยสิบชันษาท่าทางเคร่งขรึมเกินอายุ ขณะนั้นเจ้านางคำหยาดฟ้ากับเจ้านางม่านมณีมีชันษาเจ็ดปีเท่ากัน จึงนับถือเจ้าชายพรหมภูมินทร์เป็นเจ้าพี่

เจ้าหลวงไชยรังสีเล่าถวายเจ้าฟ้าถึงโอรสกำพร้าของเจ้าหลวงอินทะ กษัตริย์ของเมืองหนำ ซึ่งอยู่ถัดไปจากเมืองห้วยยางลายว่า หลังจากที่เมืองหนำถูกพม่าตีแตก และเจ้าหลวงสิ้นพระชนม์ลง พระนางสุคันธมาลาผู้เป็นพระมารดา ก็ได้พาเจ้าชายพรหมภูมินทร์มาขอพึ่งบุญด้วย เพราะพระองค์กับเจ้าหลวงอินทะเป็นสหายรักกัน

ในเวลาที่เจ้านายน้อยทั้งสองพบกันนั้น บ่ายมากแล้ว เจ้าชายพรหมภูมินทร์บังเอิญมาพบกับพระธิดาเจ้าฟ้าเล่นปั้นดินอยู่ตามลำพังด้านหลังหอหลวง เพราะเกิดรำคาญผู้คนมากหน้าข้างบนตึกขึ้นมา องค์ชายกำพร้าคิดว่าน้องสาวตัวน้อยคงเหงา จึงอาสาอยู่เป็นเพื่อน ลงมือปั้นคนและวัวควายให้เจ้านางเล่นหลายตัว 

“ปั้นให้เต็มเมืองเลย มีคนเยอะ ๆ จะได้เอาไว้ป้องกันบ้านเมืองเราจากพวกม่าน*”

ขณะปั้นดินก็เผลอกอบดินเหนียวขยำ ทุบมันแรง ๆ ระบายความโกรธแค้นออกมา ประกายกร้าวฉายชัดอยู่ในหน่วยเนตรทั้งคู่ พระธิดาคำหยาดฟ้าแม้ยังไร้เดียงสา ไม่ค่อยเข้าใจความนัก กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงความเศร้าและแรงแค้นของเจ้าพี่ต่างเมือง ใคร่ปลอบเขาจึงแตะแขนเบา ๆ แล้วส่งยิ้มให้ คนมากวัยกว่าก็ยิ้มตอบ

ไม่รู้ทำไมเมื่อได้เล่นกับเจ้าพี่ภูมินทร์ พระธิดาเจ้าฟ้าจึงรู้สึกเพลิดเพลินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดในหอหลวงปั้นดินเหนียวเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้รวดเร็วเท่า อีกทั้งเจ้าพี่คนเก่งยังเล่านิทานประกอบตุ๊กตาดินเหนียวได้สนุกน่าฟัง เจ้านายน้อยทั้งสองต่างต้องชะตากัน 

“เจ้าพี่มาอยู่นี่เอง ข้าเจ้าตามหาเสียทั่วหอหลวง” การเล่นสนุกต้องหยุดชะงักลง เมื่อเจ้านางม่านมณีซึ่งเที่ยวตามหาเจ้าพี่ของตน วิ่งเข้ามาสมทบทันทีที่หาเจอ

“โอ้...อ้ายขอโทษด้วย นึกว่าเจ้าน้องดูฟ้อนหางนกยูงอยู่กับเจ้าลุงเสียอีก” เจ้าชายรีบลุกขึ้นขออภัย พร้อมออกตัวกับองค์หญิงผู้มาใหม่

“ดูนี่สิ อ้ายปั้นวัวควายให้ม่านมณีเอาไปเล่นที่ห้วยยางลายด้วย เจ้าอยากได้หรือไม่” 

รีบเสนอของกำนัลฝีมือตัวเองที่วางอยู่เกลื่อนพื้น ซึ่งทีแรกเจ้านางผู้น้องทำท่ากระเง้ากระงอด แต่ครั้นได้ยินว่าจะได้ของเล่นน่าสนุก จึงยิ้มกว้าง พยักหน้ารับทันที

“ปั้นมาเยอะ ๆ น้องอยากได้ทั้งหมดนี่เลย” บอกพลางชี้ไปที่กองดินเหนียวตรงหน้า เจ้านางคำหยาดฟ้าเหล่มองอย่างไม่พอพระทัย เจ้านางม่านมณีเข้ามาขัดจังหวะการเล่น แถมยังทำท่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเจ้าพี่ภูมินทร์ 

“นี่มันดินของข้าเจ้า...เจ้าม่านจะเอาไปไม่ได้” ร้องห้ามแล้วรีบโกยเอากองดินเหนียวมาไว้ใกล้ตัวอย่างให้รู้ว่าหวง จึงถูกอีกฝ่ายค้อนขวับ ก่อนหันไปอ้อนเจ้าพี่ตัวเอง

“ขี้เหนียวแท้ ข้าเจ้าไม่เอาของเจ้านางก็ได้ เดี๋ยวพอกลับไปบ้านเรา เจ้าพี่ค่อยหาดินมาปั้นให้น้องเล่นนะจ้าว”

“ได้สิ ดินแบบนี้บ้านเราก็มี พอกลับไปถึงบ้าน อ้ายจะรีบปั้นให้น้องเล่นทันที”

คนตัวสูงกว่ารีบรับคำโดยเร็ว แสดงให้เห็นว่ารักใคร่น้องสาวตัวน้อยของตนนัก ท่าทางของเจ้าพี่ภูมินทร์ช่างขัดพระทัยเจ้านางคนจ้องเขม็งอย่างอธิบายไม่ถูก และนับแต่วันนั้นมา เวลาพบกันในวันปีใหม่ทุกปี เจ้านางคำหยาดฟ้าก็จะรู้สึกหมั่นไส้ทุกครั้ง เมื่อเห็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงเมืองห้วยยางลาย ออดอ้อนเอาอกเอาใจกันเช่นนี้ 

จวบจนเจ้านายน้อยทั้งสามเจริญวัยขึ้น เจ้าชายพรหมภูมินทร์กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม นัยน์คมภายใต้ขนงเข้มทั้งคู่ ดูเคร่งขรึมจริงจัง ริมโอษฐ์ค่อนข้างหนาเป็นรอยหยักลึก ทรงมีฉวีสองสีและมีพาหากว้าง วรกายล่ำสันสง่างามสมเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์

เจ้านางคำหยาดฟ้านั้นก็งามนัก อย่างที่เจ้าเมืองต่าง ๆ มักเอ่ยชมกับเจ้าฟ้าอยู่เสมอ เธอมีเส้นเกศาดำขลับราวกับสีขนนกกาน้ำ วงพักตร์เรียวรูปไข่ นัยน์หวานซึ้ง รับกับขนงโก่งเรียวดุจพระจันทร์เสี้ยว โอษฐ์บางราวกลีบดอกไม้สีแดงระเรื่อ และมีฉวีขาวนวลเนียน ส่วนเจ้านางม่านมณีนั้น แม้ทรงสิริโฉมมากอยู่ แต่ก็เป็นความสวยแบบจืดชืด ฉวีขาวออกเหลือง นัยน์กลมโตมักมีแววอิดโรย ไม่ค่อยแข็งแรงและอ่อนเพลียง่าย 

วันปีใหม่เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง หลังเสร็จพิธีสูมาเจ้าฟ้า เจ้าชายพรหมภูมินทร์ก็ถือขันเงินใส่ดอกพุดซ้อนสีขาวเต็มขัน ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลมากำนัลแก่สาวงาม ผู้กำลังยืนส่งแขกบ้านแขกเมืองอยู่หน้าโถงใหญ่ของหอหลวง 

“อ้ายเอาดอกเก็ดถะหวามาฝาก มันบานอยู่ข้างน้ำบ่อหลวง ดอกใหญ่สวย ๆ ทั้งนั้น”

โฉมสะคราญยินดียิ่ง ทรงชำเลืองมองพักตร์หล่อเหลาอย่างขวยเขิน แววอ่อนโยนในหน่วยเนตรคม ทำให้สองปรางของสาวเจ้าร้อนวูบวาบ รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาในทรวง

...เขาเด็ดดอกไม้มากำนัลเอาใจเยี่ยงนี้ ฤาเจ้าพี่จะหวั่นไหวในความงามเป็นหนึ่งไม่มีสองนี้แล้ว...

“ใคร่เหน็บมวยผมด้วยดอกไม้นี้นัก ท่านช่วยเหน็บมันให้กับน้องได้หรือไม่”

อ้อนขอแล้วเอียงมวยโมลีรออย่างมีจริต ซึ่งก็ได้รับการสนองตอบจากหนุ่มรูปงาม เขาเลือกเอาดอกใหญ่สวยดอกหนึ่งขึ้นมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันได้เสียบดอกไม้ให้ ตามคำขอร้อง พลันก็มีเสียงเรียกดังขัดจังหวะมาจากทางด้านหลัง 

“เจ้าพี่ภูมินทร์เจ้าข้า” หัตถ์ใหญ่ชะงักค้าง ครั้นหันไปตามเสียงเรียกก็พบเจ้านางม่านมณีกำลังก้าวโซเซเข้ามาหา ด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว 

“น้องเวียนหัวตาลาย เจ้าพ่อให้เจ้าพี่พาน้องกลับห้วยยางลายไปก่อน เรารีบไปกันเถอะ น้องยืนอยู่จะไม่ไหวแล้ว”

.เจ้าชายหนุ่มละดอกไม้ไว้ในขันเงินตามเดิมแทบจะในทันที ก่อนยื่นส่งให้เจ้านางคำหยาดฟ้าทั้งขัน แล้วหันไปใส่พระทัย ประคองเจ้านางม่านมณีแทน

พระธิดาเจ้าฟ้ายืนมองท่าทีประคับประคองกันของคนทั้งคู่ด้วยความน้อยพระทัย ริ้วโทสะแล่นขึ้นมาจนใคร่ทุ่มขันดอกไม้ที่ถืออยู่ทิ้ง และก่อนจะพากันจากไป เจ้าชายรูปงามยังอุตส่าห์หันมาบอกลาว่า 

“อ้ายปิ๊กบ้านก่อนเน้อ เจ้าน้อง ปีหน้าค่อยเจอกันใหม่”
.......................................................................................
ข้าเจ้า : ดิฉัน ใช้เป็นคำสรรพนามเรียกตัวเองของผู้หญิงภาคเหนือตอนบนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ม่าน : พม่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่