ริษยารักข้ามภพ บทนำ (ต่อ)








ตอนเดิม



ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน พอเห็นหน้าเจ้าของเสียงชัด ต่างก็พากันถือขันน้ำค้าง ตะลึงจ้องมอง

ผู้หญิงตรงหน้างดงามราวกับเทพธิดา มากกว่าจะเป็นมนุษย์เดินดินด้วยกัน ยังอยู่ในวัยสาวและคงรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกตน ร่างโปร่งระหงสวมเสื้อปั้ด นุ่งผ้าซิ่น แต่งกายเช่นเดียวกันกับหญิงคนอื่น ต่างกันที่ตัวเสื้อของเธอปักระบายชายเสื้อกับแขนเสื้อ ด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายงามวิจิตร ซึ่งของผู้หญิงคนอื่นเป็นเพียงเสื้อสีอ่อนหรือสีขาว ไม่มีลวดลายใด ๆ 

พวงชมพูเห็นผ้าซิ่นที่เธอนุ่งอยู่ ก็ทำตาโต เพราะจำได้แม่นว่ามันคือผ้าซิ่นไหมคำ หรือที่เรียกว่าซิ่นบัวคำ เป็นซิ่นของราชสำนักไทเขินอันลือชื่อเรื่องความงามและความโดดเด่นของลวดลายบนตัวผ้า ประกอบกับราคาที่แพงระยับ เพราะใช้เส้นไหมทำจากทองคำแท้หรือเงิน มารีดให้เป็นเส้นแบนยาว นำมาตีเกลียวกับเส้นใยที่ส่วนมากเป็นฝ้าย ปักเป็นลายบัวคำด้านบนของตัวซิ่น ส่วนด้านล่างสุดของซิ่นติดด้วยแถบไหมจากจีน หรือกำมะหยี่สีเขียว กล่าวกันว่าสนนราคาผ้าซิ่นบางผืนเหยียบหลักล้านเลยทีเดียว

แต่นพคุณนั้นมัวตะลึงมองใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของหญิงสาวที่ยืนเด่น ไม่ได้สนใจเครื่องแต่งกายของเธอสักเท่าไหร่ เขาเผลออุทานออกมาว่า

“นี่มันคนหรือนางฟ้ากันแน่วะเนี่ย”

ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียน ดูโดดเด่น เมื่อรวบผมเกล้ามวยไว้กลางศีรษะ สอดแซมมวยผมด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวดอกใหญ่ ดวงตาดำขลับใต้คิ้วโก่งราวพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้น ช่างหวานซึ้งยวนใจ พอสบตากัน หัวใจของหนุ่มชาวกรุงก็กระตุก เหมือนมันทำงานผิดจังหวะ และแทบจะหยุดเต้นเอาดื้อ ๆ
ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อคลี่ยิ้มออก เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ก่อนเอ่ยอีกว่า

“พี่บัวตองไปยกน้ำชาและอมเมี่ยงมาสู่แขกที” สิ้นน้ำเสียงอันไพเราะราวระฆังเงินของเธอ หญิงที่พูดคุยกันแต่แรกกับทั้งคู่ก็รับคำ แล้วค้อมตัวถอยออกไปจากห้อง

“ฉันชื่อคำหยาดฟ้าเป็นเจ้าของคุ้มค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากที่ไหนกันคะ” เจ้าของคุ้มสาวทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้าม แล้วเอ่ยถามแขก

“อ้อ...เอ้อ คือผม...ผมกับเพื่อนมาจากในเมือง...จะมาขอชมคุ้มของคุณครับ”

ต่อหน้าสาวสวยผู้มีสง่าราศีน่าเกรงขาม หนุ่มขี้เล่นและเคยฝีปากดีอย่างนพคุณ กลับเกิดพูดติดขัดขึ้นมากะทันหัน พวงชมพูค้อนเพื่อนชายอย่างนึกหมั่นไส้ ตอบแทนเสียเองว่า

“เราสองคนเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์อยู่ที่กรุงเทพค่ะ สนใจประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่ พอปิดเทอมเลยชวนกันมาเที่ยวที่นี่ ฉันชื่อพวงชมพูค่ะ ส่วนคนนี้คือ...” ครูสาวกระทุ้งข้อศอกเตือนคนนั่งข้าง นพคุณสะดุ้ง ยิ้มแหย แนะนำตัวเองว่า

“ผมชื่อนพคุณครับ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนนี้” บอกชื่อ พร้อมสถานภาพของตัวเองกับพวงชมพูเสร็จสรรพ เหมือนกลัวสาวงามตรงหน้าจะเข้าใจผิด เจ้าของคุ้มแสนสวยนิ่งมองนพคุณด้วยแววตาเปล่งประกายประหลาด วินาทีนั้นเองที่บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งหมด ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ และแล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็คลี่ออกให้กับชายหนุ่มรูปหล่ออีกครั้ง 

“ข้าเจ้าดีใจนักแล้วเจ้าพี่” ทั้งนพคุณและพวงชมพูต่างมองหน้าเจ้าของคุ้มอย่างงุนงง กับคำพูดแปลก ๆ ของเธอ

“ฉันหมายถึงยินดีที่ได้พบพวกคุณ ไทยสยามหรือไทใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ” พอเห็นอาการของทั้งคู่ เจ้าของคุ้มสาวจึงรีบอธิบายเพิ่ม ประกายประหลาดในแววตาเธอเลือนหายไปหมดแล้ว ดวงตาคู่งามกลับมาหวานหยดดังเดิม

“อ้อ...ดีใจมากเช่นกันครับที่ได้มาเยี่ยมชมคุ้มโบราณ แล้วยังได้พบกับเจ้าของคุ้มอีกด้วย”

นพคุณซึ่งเริ่มหายอึกอักแล้ว กลับมายิ้มหน้าเป็น ซึ่งก็ได้รับยิ้มหวานตอบกลับจากสาวสวย ก่อนเธอจะเริ่มต้นเล่าตำนานของคุ้มคำหยาดฟ้าให้ทั้งคู่ฟัง

“คุ้มคำหยาดฟ้าสร้างโดยปู่ทวดของฉัน ท่านชื่อเจ้าฟ้ากองคำฟั่นค่ะ ตัวคุ้มมีอายุราวเจ็ดสิบปี...”

คงเป็นเพราะน้ำเสียงอันไพเราะก้องกังวานของเธอ จึงทำให้หนุ่มชาวกรุงต้องนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังพูด สัมผัสบางอย่างในน้ำเสียงหวานใส เหมือนเคยได้ยินมาก่อน พลันนั้นเขาก็เกิดอาการมึนงงขึ้นมากะทันหัน

“เจ้าพี่อยู่ที่ใด...อย่าทิ้งน้องไป” 

เราคงหูแว่ว...ชายหนุ่มสลัดศีรษะไล่ความมึนงง แปลกใจที่รู้สึกคล้ายจริงกับเสียงเพรียกหานั้นมาก คิดว่าตัวเองอาจเคลิ้มไปกับบรรยากาศของคุ้มโบราณ เหมือนเวลาดูหนังดูละครย้อนยุค แล้วเกิดเคลิ้มว่าเข้าไปอยู่ในภาพบนจอนั้นจริง ๆ แต่สักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม เสียงเล่าหวานใสยังคงดังกังวานต่อไป

“ท่านเป็นเจ้าหลวงของเมืองเวียงแถน เมืองไทเขินที่สำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นไทใหญ่ อาคารหลังใหญ่ตรงกลางเรียกว่าเรือนหลวง สร้างเลียนแบบหอหลวงของเมืองเวียงแถน เมื่อตอนอังกฤษเข้ายึดครองพม่า พวกนั้นต้องการยึดครองเมืองไทใหญ่ทั้งปวงด้วย ปู่ทวดของฉันร่วมมือกับพม่า ช่วยกันปลดแอกพม่าจากอังกฤษ นึกไม่ถึงว่ารัฐบาลทหารพม่าเอง ก็ต้องการล้มล้างระบอบเจ้าฟ้าของเราด้วยเช่นกัน พวกเราโดนโจมตีทั้งจากฝรั่งและพวกพม่า เราแพ้...ปู่ทวดจึงพาครอบครัวลี้ภัยมาอยู่กับเจ้าหลวงนครเชียงใหม่ เจ้าพ่อเกิดที่นี่ เราจึงได้สัญชาติไทย ตัวฉันเป็นรุ่นที่สี่ ตอนนี้เจ้าพ่อเจ้าแม่สิ้นหมดแล้ว เหลือฉันดูแลที่นี่เพียงคนเดียวค่ะ” หญิงสาวเล่ายืดยาวให้ฟังถึงอดีต ด้วยท่าทีสงบ



(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่