ลิรีไร้ท์สาปเสน่หา โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ทั้งชื่อเรื่องและตัวละครค่ะ เพื่อให้มีความเป็นนิยายมากขึ้น ชื่อเรื่องใหม่คือ สาปรักจอมนางบัลลังก์เลือดค่ะ
สาปรักจอมนางบัลลังก์เลือด
ตอนที่ 1
จุดนัดพบ
...กรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2530...
เจ้านางคำหยาดฟ้าหญิงสาวแสนสวยผู้สูงศักดิ์จากแคว้นสิบสองปันนา เธอผู้มีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา บัดนี้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนในห้องนอนของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุง มือสองข้างวางบนเท้าแขนเก้าอี้ ไหล่และคอตั้งตรง ใบหน้างามยามนี้สงบนิ่ง ดวงตาวาวโรจน์ดุจตานางสิงห์จ้องตะครุบเหยื่อคู่นั้นอ่อนแสงลงแล้ว ยามเมื่อจับจ้องไปยังร่างของกิ่งแก้วบ่าวหญิงผู้ภักดี ซึ่งค่อย ๆ คลี่ผ้าแพรเพลาะห่มคลุมร่างจนถึงหน้าอกให้แก่ชายหนุ่มผู้เคยเป็นยอดดวงใจของนายสาว ข้ารับใช้คนสนิทยกสองมือของเขาขึ้นวางประสานกันไว้เหนือยอดอก เสร็จแล้วจึงหันมาหานายหญิงเพื่อรอคำสั่ง
“กลับไปเก็บของที่ห้อง เราจะออกจากเมืองนี้ภายในยี่สิบนาที”
ทันทีที่เจ้านางสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ งูเห่าสีดำมะเมื่อมตัวใหญ่ก็เลื้อยปราดกลับเข้าไปอยู่ในตะกร้าหวายข้างตัวเธอตามเดิมราวมันรู้ภาษาคน หญิงสาวก้มลงปิดฝาตะกร้าหวายให้แน่นสนิทก่อนหิ้วมันขึ้นมาถือไว้ในมือ พร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บ่าวคู่ใจลุกขึ้นตาม
ก่อนเดินออกจากห้องนั้นไป เจ้านางคำหยาดฟ้าหันมามองร่างไร้วิญญาณของชายคนรักอีกครั้งหนึ่ง แววอาดูรในดวงตาคู่งามของเจ้าหญิงไทเขินทำให้กิ่งแก้วสะท้านในอก สงสารนายสาวจับใจ แต่เพียงครู่เดียวมันก็เลือนหายกลับมาเปล่งประกายเจิดจ้าตามเดิม ไม่นานสองนายบ่าวก็หิ้วตะกร้าหวายออกจากคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงตรงขึ้นรถแล้วขับจากไป
ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ที่ประตูผู้โดยสารขาออก หนานอินเฟือนบ่าวชายอีกคนของเจ้านางมีท่าทางดีใจเมื่อเห็นสองสาวปรากฏตัวขึ้น เขาปรี่เข้ามารับกระเป๋าเดินทางจากกิ่งแก้ว เจ้านางคนสวยยิ้มน้อย ๆ ให้บ่าวชาย บอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
“กลับไปคุ้มคำหยาดฟ้า เฮาต้องรอใหม่อีกอย่างน้อยยี่สิบปี”
...เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2557...
ในเช้าวันหนึ่งของต้นเดือนเมษายน รถสองแถวสีแดงสัญลักษณ์ของรถที่วิ่งรับผู้โดยสารรอบเวียงเชียงใหม่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านไทลื้อ-ไทเขินแห่งหนึ่งในอำเภอดอยสะเก็ด หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงชื่อดอยก้อม ซึ่งอยู่ห่างออกไปนอกตัวเมืองเชียงใหม่ไกลจนเกือบติดอาณาเขตของจังหวัดเชียงราย ที่นี่เป็นชุมชนของคนเชื้อสายไทลื้อและไทเขินซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์
1ไทใหญ่
ไทลื้อ-ไทเขินเป็นกลุ่มชนที่มีภาษาและศิลปวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยวน ซึ่งเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ของจังหวัดในล้านนาไทย คนเชื้อสายไทเหล่านี้อาศัยอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิละ“เทโค”หรือเทครัวมา และที่ทยอยอพยพหนีภัยสงครามมาจากแคว้นสิบสองปันนานับตั้งแต่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี พ.ศ. 2484-2488 จนกระทั่งถึงอาณาจักรใหญ่ที่เคยปกครองหัวเมืองไทใหญ่ทั้งปวงอย่างพม่าและจีน เข้าสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
รถโดยสารคันนี้วิ่งเข้ามาจอดหน้าซุ้มประตูคุ้มทำด้วยแผ่นไม้หนาใหญ่สองบานซึ่งกำลังเปิดอ้าอยู่ ภายในขอบรั้วสูงใหญ่มีอาคารก่ออิฐทาสีขาวสองชั้นหลังมหึมาตั้งตระหง่านห่างจากซุ้มประตูพอสมควร อาคารหลังนี้ชั้นบนสร้างด้วยไม้ หลังคามีมณฑปทาสีทองหลดลั่นกันเป็นชั้น ๆ นับได้เจ็ดชั้น และมีอาคารลูกหลังย่อมกว่าอีกสองหลังสร้างประกบซ้ายขวา รอบคุ้มก่อกำแพงอิฐถือปูนเป็นแนวยาวล้อมรอบอาณาบริเวณกว้างไกลนับสิบไร่ บนตัวกำแพงข้างซุ้มประตูทางด้านซ้ายมีป้ายไม้ทาสีแดงชาด แกะสลักเป็นตัวอักษรฉาบด้วยสีทองขนาดใหญ่อ่านว่า“คุ้มคำหยาดฟ้า” ติดอยู่
คนขับรถจอดดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขับพาผู้โดยสารผ่านซุ้มประตูเข้าไปจอดหน้าอาคารหลังใหญ่สุดตรงกลาง ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งลงจากรถที่พวกเขาเช่าเหมาลำมาจากในเวียง พวกเขาคืออาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาชื่อดังในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกตัวเองว่า“คนไต”แถบจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน
หนุ่มหล่อคมคายรูปร่างสูงใหญ่มีมัดกล้าม แววตาซุกซนขี้เล่นภายใต้คิ้วหนาเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและมีริมฝีปากค่อนข้างหนาเป็นรอยหยักตรงริมฝีปากบนที่มักคลี่ยิ้มออกอย่างอารมณ์ดี เขาปล่อยผมหยักศกยาวระต้นคอ สวมกางเกงและเสื้อยีนส์คลุมทับเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าตัวใน แบะอกโชว์ข้อความสีขาวบนหน้าอกเสื้อหราว่า“โสด จีบได้” เขาชื่อ นพคุณ อรุณโรจน์
ส่วนหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ตัวเล็กแค่ครึ่งอกของชายหนุ่มข้าง ๆ เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถักเปียเดียว เผยใบหน้านวลผ่องกับแก้มป่องอมเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูตามธรรมชาติ ดวงตากลมโตสุกใสคู่นั้นแฝงแววกระตือรือร้น แต่งกายทะมัดทะแมงด้วยชุดยีนส์ทั้งชุดกับสวมรองเท้าผ้าใบ เธอคนนี้ชื่อพวงชมพู สุขสมปอง
หนุ่มสาวทั้งสองสะพายเป้สนามไว้บนบ่าเหมือนเตรียมพร้อมสำหรับการพักแรม พอจ่ายค่าโดยสารเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินมาหยุดเมียงมองเข้าไปภายในตัวอาคารที่ประตูด้านหน้าเปิดอ้าอยู่
“ทำไมมันเงียบเชียบอย่างนี้ล่ะนพ ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวสักคน”
พวงชมพูหันซ้ายหันขวา สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ แต่ทั่วทั้งบริเวณคุ้มกลับเงียบสงบปราศจากผู้คน มีเพียงเธอกับเพื่อนชายเท่านั้นที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าประตูอาคาร ซึ่งมันดูผิดปกติมาก เพราะในแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่บอกเอาไว้ว่า คุ้มคำหยาดฟ้าแห่งนี้เป็นอาคารโบราณ สร้างเลียนแบบหอหลวงของเมืองเวียงแถนหลวง เมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นสิบสองปันนา ตัวอาคารในคุ้มมีสถาปัตยกรรมศิลปะแบบมัณฑะเลย์ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ อ้อ นั่น มีคนเดินมา เดี๋ยวฉันจะลองถามเขาดู” นพคุณบอกเพื่อนหญิงก่อนสาวเท้าเข้าไปหาสตรีนางหนึ่งที่กำลังออกจากอาคารหลังใหญ่เดินตรงมาหา แล้วเอ่ยปากสอบถาม
“เราปิดซ่อมแซมเรือนจ้าว เมื่ออาทิตย์ก่อนพายุมันพัดเอาหลังคากระเบื้องดินขอหลุดไปหลายแผ่น เราประกาศไว้ในเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พวกคุณคงไม่ได้เข้าไปอ่าน” หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจดท่าทางเรียบร้อย เกล้ามวยผมหลักโง (หลักวัว) ทัดดอกจำปีที่หูตอบคำถาม เธออยู่ในชุดเสื้อป้ายข้างหรือเสื้อปั้ดนุ่งซิ่นตีนเขียว ซึ่งเป็นชุดแต่งกายพื้นเมืองของหญิงชาวไทเขิน ขณะที่เธอผู้นั้นพูด พวงชมพูสังเกตเห็นเธอมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของนพคุณอย่างปิติยินดี
“แต่ในเมื่อพวกคุณมาแล้วก็ขอเชิญเข้าไปข้างในก่อนเถิดจ้าว มีส่วนอื่นของตัวเรือนที่ไม่ได้รับความเสียหายให้พวกคุณเยี่ยมชม” หญิงที่มาจากในอาคารผู้นั้นกวักมือเรียกหญิงสาวในชุดไทเขินอีกคนที่เดินผ่านหน้าให้เข้ามาหา
“จันทร์ตาไปเรียนเจ้าท่านว่าตะวันได้ขึ้นแล้ว ข้ากำลังจะพาแขกแก้วไปที่เฮือนรับรอง” หญิงมาใหม่ผู้นั้นเหลือบตามองสองหนุ่มสาวอย่างทึ่ง ก่อนรับคำแล้วรีบเดินจากไป หญิงคนแรกเชื้อเชิญให้ทั้งคู่เดินตามมายังอาคารอีกหลัง ซึ่งสร้างเยื้องไปทางด้านซ้ายของอาคารหลังใหญ่ตรงกลางเล็กน้อย
เฮือนหรือเรือนรับรองหลังนี้เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสองชั้นทาสีขาวทั้งหลัง ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของอาคารหลังใหญ่สุด เป็นหนึ่งในสองอาคารหลังย่อมที่สร้างขนาบซ้ายขวาอาคารหลังใหญ่ตรงกลาง หลังคาไม่มีมณฑป หน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสยาวจดพื้นทุกบาน เมื่อเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเตี้ย ๆ สี่ขั้นเข้าไปชั้นล่างก็พบห้องรับแขกขนาดใหญ่ ซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบยุโรป ด้านข้างมีประตูเปิดออกไปสู่เฉลียงหินอ่อนด้านนอก หญิงสาวชาวไทเขินเชิญให้ทั้งคู่นั่งรอบนเก้าอี้รับแขก
“โปรดรอสักครู่ ท่านเจ้าของที่นี่จะเป็นผู้พาคุณเยี่ยมชมคุ้มเองจ้าว” หญิงสาวแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงสองคนแรกนำน้ำต้นหรือคนโทพร้อมขันเงินใบเล็ก ๆ สองใบเข้ามาวางบนโต๊ะรับแขก หญิงคนเดิมเชิญแขกต่างถิ่นให้ดื่มน้ำจากในน้ำต้น
“เชิญดื่มน้ำก่อนจ้าว ที่นี่ไม่ดื่มน้ำจากตู้เย็น เราดื่มน้ำฝนที่รองเอาไว้” เธอรินน้ำจากน้ำต้นใส่ขันเงินยื่นส่งให้ สองหนุ่มสาวรับมาถือไว้แต่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นดื่ม เสียงทักทายหวานใสราวระฆังเงินของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าของเสียงชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้ายังอยู่ในวัยสาวและคงรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ร่างสูงระหงสวมเสื้อปั้ดและผ้าซิ่นเช่นเดียวกับหญิงคนอื่น ต่างกันที่ตัวเสื้อของเธอปักระบายชายเสื้อและแขนเสื้อด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายวิจิตร ซึ่งของผู้หญิงคนอื่นเป็นเพียงเสื้อสีอ่อนและสีขาว ไม่มีลวดลายใด ๆ
ผ้าซิ่นที่เธอนุ่งอยู่ทำเอาพวงชมพูจ้องมองตาค้าง เพราะจำได้แม่นว่าผ้าซิ่นแบบนี้มันคือผ้าซิ่นไหมคำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซิ่นบัวคำ ซึ่งเป็นซิ่นของราชสำนักไทเขินอันลือชื่อเรื่องความงามและความโดดเด่นของลวดลายบนตัวผ้า ประกอบกับราคาที่แพงระยับเพราะใช้เส้นไหมทำจากทองคำแท้หรือเงินมารีดเป็นเส้นแบนยาว แล้วเอามาตีเกลียวกับเส้นใยที่ส่วนมากเป็นฝ้าย เสร็จแล้วจึงนำมาทอต่อกับส่วนล่างของซิ่นที่เป็นผ้าไหมจีนหรือกำมะหยี่สีเขียว ด้านบนของตัวซิ่นมักปักลายบัวคำด้วยเส้นไหมหรือโลหะมีค่า ส่วนล่างสุดของซิ่นติดด้วยแถบไหมของจีน กล่าวกันว่าสนนราคาผ้าซิ่นแบบนี้ บางผืนราคาเหยียบหลักล้านเลยทีเดียว
ส่วนนพคุณนั้นตะลึงมองใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของหญิงที่ยืนเด่น โดยไม่ได้สนใจเครื่องแต่งกายของเธอสักนิด ชายหนุ่มเผลออุทานออกมาว่า
“นี่มันคนหรือนางฟ้ากันแน่วะเนี่ย” เธอผู้นี้มีเรือนร่างสูงโปร่งระหง ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูนวลเนียน ดูโดดเด่นเมื่อรวบผมเกล้ามวยไว้กลางศีรษะ สอดแซมมวยผมด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวดอกใหญ่ ดวงตาดำขลับมีประกายหวานซึ้ง ช่างยวนใจเมื่อประกอบเข้ากับขนตายาวงอนงามภายใต้คิ้วโก่งราวพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาหวานสวยคู่นั้น พอสบตากันทำเอาหัวใจชายหนุ่มชาวกรุงแทบหยุดเต้น ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อโดยไม่ต้องพึ่งพาลิปสติกคลี่ยิ้มมาให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“พี่กิ่งแก้วไปยกน้ำชาและอมเมี่ยงมาสู่แขกที” สิ้นน้ำเสียงไพเราะของเธอ หญิงที่พูดคุยกันแต่แรกกับทั้งคู่ก็รับคำแล้วค้อมตัวถอยออกไปจากห้อง
“ฉันชื่อคำหยาดฟ้าเป็นเจ้าของเรือน ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากที่ไหนกันคะ”
หญิงงามทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามสองหนุ่มสาวขณะเอ่ยถาม ต่อหน้าสาวสวยผู้มีสง่าราศีน่าเกรงขามเช่นนี้ ทำเอาหนุ่มขี้เล่นและเคยปากดีอย่างนพคุณเกิดอาการพูดอึกอักติดอ่างขึ้นมากะทันหัน พวงชมพูค้อนเพื่อนชายอย่างหมั่นไส้ ตอบแทนเสียเองว่า “เราสองคนเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์อยู่ที่กรุงเทพค่ะ สนใจประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อ ไทเขินและไทใหญ่ พอปิดเทอมเลยชวนกันมาศึกษาศิลปวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทที่อาศัยอยู่ที่นี่ ฉันชื่อพวงชมพูส่วนคนนี้คือ...” ครูสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนชาย นพคุณสะดุ้ง ยิ้มแหย ๆ ก่อนบอกว่า
“ผมชื่อนพคุณครับ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มยิ้มหน้าเป็น แล้วรีบบอกสถานภาพของตัวเอง พร้อมพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้าง ๆ เหมือนกลัวสาวงามตรงหน้าเข้าใจผิด
เจ้าของคุ้มแสนสวยนิ่งมองนพคุณด้วยแววตาเปล่งประกายยินดีประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ณ วินาทีนั้นบรรยากาศรอบกายของคนทั้งหมดดูเหมือนหยุดนิ่งเงียบสงัดลง และแล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็คลี่ออกให้ชายหนุ่มรูปหล่อ
“ข้าเจ้าดีใจนักแล้วเจ้าพี่” ทั้งนพคุณและพวงชมพูต่างพากันมองหน้าเจ้าของคุ้มอย่างงุนงงกับคำพูดนั้น
“ฉันหมายถึงยินดีที่ได้พบพวกคุณ ไทยสยามหรือไทใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ” หญิงสาวอธิบาย ประกายประหลาดในแววตาเธอเลือนหายไปแล้ว ดวงตางามซึ้งคู่นั้นกลับมาหวานหยดดังเดิม
(ต่อด้านล่าง)
สาปเสน่หา นิยายดราม่าแนวเหนือจริงอิงประวัติสาสตร์ ตอนที่ 1 by ล. วิลิศมาหรา
...กรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2530...
เจ้านางคำหยาดฟ้าหญิงสาวแสนสวยผู้สูงศักดิ์จากแคว้นสิบสองปันนา เธอผู้มีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา บัดนี้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนในห้องนอนของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุง มือสองข้างวางบนเท้าแขนเก้าอี้ ไหล่และคอตั้งตรง ใบหน้างามยามนี้สงบนิ่ง ดวงตาวาวโรจน์ดุจตานางสิงห์จ้องตะครุบเหยื่อคู่นั้นอ่อนแสงลงแล้ว ยามเมื่อจับจ้องไปยังร่างของกิ่งแก้วบ่าวหญิงผู้ภักดี ซึ่งค่อย ๆ คลี่ผ้าแพรเพลาะห่มคลุมร่างจนถึงหน้าอกให้แก่ชายหนุ่มผู้เคยเป็นยอดดวงใจของนายสาว ข้ารับใช้คนสนิทยกสองมือของเขาขึ้นวางประสานกันไว้เหนือยอดอก เสร็จแล้วจึงหันมาหานายหญิงเพื่อรอคำสั่ง
“กลับไปเก็บของที่ห้อง เราจะออกจากเมืองนี้ภายในยี่สิบนาที”
ทันทีที่เจ้านางสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ งูเห่าสีดำมะเมื่อมตัวใหญ่ก็เลื้อยปราดกลับเข้าไปอยู่ในตะกร้าหวายข้างตัวเธอตามเดิมราวมันรู้ภาษาคน หญิงสาวก้มลงปิดฝาตะกร้าหวายให้แน่นสนิทก่อนหิ้วมันขึ้นมาถือไว้ในมือ พร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บ่าวคู่ใจลุกขึ้นตาม
ก่อนเดินออกจากห้องนั้นไป เจ้านางคำหยาดฟ้าหันมามองร่างไร้วิญญาณของชายคนรักอีกครั้งหนึ่ง แววอาดูรในดวงตาคู่งามของเจ้าหญิงไทเขินทำให้กิ่งแก้วสะท้านในอก สงสารนายสาวจับใจ แต่เพียงครู่เดียวมันก็เลือนหายกลับมาเปล่งประกายเจิดจ้าตามเดิม ไม่นานสองนายบ่าวก็หิ้วตะกร้าหวายออกจากคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงตรงขึ้นรถแล้วขับจากไป
ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ที่ประตูผู้โดยสารขาออก หนานอินเฟือนบ่าวชายอีกคนของเจ้านางมีท่าทางดีใจเมื่อเห็นสองสาวปรากฏตัวขึ้น เขาปรี่เข้ามารับกระเป๋าเดินทางจากกิ่งแก้ว เจ้านางคนสวยยิ้มน้อย ๆ ให้บ่าวชาย บอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
“กลับไปคุ้มคำหยาดฟ้า เฮาต้องรอใหม่อีกอย่างน้อยยี่สิบปี”
...เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2557...
ในเช้าวันหนึ่งของต้นเดือนเมษายน รถสองแถวสีแดงสัญลักษณ์ของรถที่วิ่งรับผู้โดยสารรอบเวียงเชียงใหม่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านไทลื้อ-ไทเขินแห่งหนึ่งในอำเภอดอยสะเก็ด หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงชื่อดอยก้อม ซึ่งอยู่ห่างออกไปนอกตัวเมืองเชียงใหม่ไกลจนเกือบติดอาณาเขตของจังหวัดเชียงราย ที่นี่เป็นชุมชนของคนเชื้อสายไทลื้อและไทเขินซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์1ไทใหญ่
ไทลื้อ-ไทเขินเป็นกลุ่มชนที่มีภาษาและศิลปวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทยวน ซึ่งเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ของจังหวัดในล้านนาไทย คนเชื้อสายไทเหล่านี้อาศัยอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิละ“เทโค”หรือเทครัวมา และที่ทยอยอพยพหนีภัยสงครามมาจากแคว้นสิบสองปันนานับตั้งแต่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี พ.ศ. 2484-2488 จนกระทั่งถึงอาณาจักรใหญ่ที่เคยปกครองหัวเมืองไทใหญ่ทั้งปวงอย่างพม่าและจีน เข้าสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
รถโดยสารคันนี้วิ่งเข้ามาจอดหน้าซุ้มประตูคุ้มทำด้วยแผ่นไม้หนาใหญ่สองบานซึ่งกำลังเปิดอ้าอยู่ ภายในขอบรั้วสูงใหญ่มีอาคารก่ออิฐทาสีขาวสองชั้นหลังมหึมาตั้งตระหง่านห่างจากซุ้มประตูพอสมควร อาคารหลังนี้ชั้นบนสร้างด้วยไม้ หลังคามีมณฑปทาสีทองหลดลั่นกันเป็นชั้น ๆ นับได้เจ็ดชั้น และมีอาคารลูกหลังย่อมกว่าอีกสองหลังสร้างประกบซ้ายขวา รอบคุ้มก่อกำแพงอิฐถือปูนเป็นแนวยาวล้อมรอบอาณาบริเวณกว้างไกลนับสิบไร่ บนตัวกำแพงข้างซุ้มประตูทางด้านซ้ายมีป้ายไม้ทาสีแดงชาด แกะสลักเป็นตัวอักษรฉาบด้วยสีทองขนาดใหญ่อ่านว่า“คุ้มคำหยาดฟ้า” ติดอยู่
คนขับรถจอดดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขับพาผู้โดยสารผ่านซุ้มประตูเข้าไปจอดหน้าอาคารหลังใหญ่สุดตรงกลาง ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งลงจากรถที่พวกเขาเช่าเหมาลำมาจากในเวียง พวกเขาคืออาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาชื่อดังในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกตัวเองว่า“คนไต”แถบจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน
หนุ่มหล่อคมคายรูปร่างสูงใหญ่มีมัดกล้าม แววตาซุกซนขี้เล่นภายใต้คิ้วหนาเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและมีริมฝีปากค่อนข้างหนาเป็นรอยหยักตรงริมฝีปากบนที่มักคลี่ยิ้มออกอย่างอารมณ์ดี เขาปล่อยผมหยักศกยาวระต้นคอ สวมกางเกงและเสื้อยีนส์คลุมทับเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าตัวใน แบะอกโชว์ข้อความสีขาวบนหน้าอกเสื้อหราว่า“โสด จีบได้” เขาชื่อ นพคุณ อรุณโรจน์
ส่วนหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ตัวเล็กแค่ครึ่งอกของชายหนุ่มข้าง ๆ เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถักเปียเดียว เผยใบหน้านวลผ่องกับแก้มป่องอมเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูตามธรรมชาติ ดวงตากลมโตสุกใสคู่นั้นแฝงแววกระตือรือร้น แต่งกายทะมัดทะแมงด้วยชุดยีนส์ทั้งชุดกับสวมรองเท้าผ้าใบ เธอคนนี้ชื่อพวงชมพู สุขสมปอง
หนุ่มสาวทั้งสองสะพายเป้สนามไว้บนบ่าเหมือนเตรียมพร้อมสำหรับการพักแรม พอจ่ายค่าโดยสารเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินมาหยุดเมียงมองเข้าไปภายในตัวอาคารที่ประตูด้านหน้าเปิดอ้าอยู่
“ทำไมมันเงียบเชียบอย่างนี้ล่ะนพ ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวสักคน”
พวงชมพูหันซ้ายหันขวา สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ แต่ทั่วทั้งบริเวณคุ้มกลับเงียบสงบปราศจากผู้คน มีเพียงเธอกับเพื่อนชายเท่านั้นที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าประตูอาคาร ซึ่งมันดูผิดปกติมาก เพราะในแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่บอกเอาไว้ว่า คุ้มคำหยาดฟ้าแห่งนี้เป็นอาคารโบราณ สร้างเลียนแบบหอหลวงของเมืองเวียงแถนหลวง เมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นสิบสองปันนา ตัวอาคารในคุ้มมีสถาปัตยกรรมศิลปะแบบมัณฑะเลย์ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ อ้อ นั่น มีคนเดินมา เดี๋ยวฉันจะลองถามเขาดู” นพคุณบอกเพื่อนหญิงก่อนสาวเท้าเข้าไปหาสตรีนางหนึ่งที่กำลังออกจากอาคารหลังใหญ่เดินตรงมาหา แล้วเอ่ยปากสอบถาม
“เราปิดซ่อมแซมเรือนจ้าว เมื่ออาทิตย์ก่อนพายุมันพัดเอาหลังคากระเบื้องดินขอหลุดไปหลายแผ่น เราประกาศไว้ในเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พวกคุณคงไม่ได้เข้าไปอ่าน” หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจดท่าทางเรียบร้อย เกล้ามวยผมหลักโง (หลักวัว) ทัดดอกจำปีที่หูตอบคำถาม เธออยู่ในชุดเสื้อป้ายข้างหรือเสื้อปั้ดนุ่งซิ่นตีนเขียว ซึ่งเป็นชุดแต่งกายพื้นเมืองของหญิงชาวไทเขิน ขณะที่เธอผู้นั้นพูด พวงชมพูสังเกตเห็นเธอมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของนพคุณอย่างปิติยินดี
“แต่ในเมื่อพวกคุณมาแล้วก็ขอเชิญเข้าไปข้างในก่อนเถิดจ้าว มีส่วนอื่นของตัวเรือนที่ไม่ได้รับความเสียหายให้พวกคุณเยี่ยมชม” หญิงที่มาจากในอาคารผู้นั้นกวักมือเรียกหญิงสาวในชุดไทเขินอีกคนที่เดินผ่านหน้าให้เข้ามาหา
“จันทร์ตาไปเรียนเจ้าท่านว่าตะวันได้ขึ้นแล้ว ข้ากำลังจะพาแขกแก้วไปที่เฮือนรับรอง” หญิงมาใหม่ผู้นั้นเหลือบตามองสองหนุ่มสาวอย่างทึ่ง ก่อนรับคำแล้วรีบเดินจากไป หญิงคนแรกเชื้อเชิญให้ทั้งคู่เดินตามมายังอาคารอีกหลัง ซึ่งสร้างเยื้องไปทางด้านซ้ายของอาคารหลังใหญ่ตรงกลางเล็กน้อย
เฮือนหรือเรือนรับรองหลังนี้เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสองชั้นทาสีขาวทั้งหลัง ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของอาคารหลังใหญ่สุด เป็นหนึ่งในสองอาคารหลังย่อมที่สร้างขนาบซ้ายขวาอาคารหลังใหญ่ตรงกลาง หลังคาไม่มีมณฑป หน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสยาวจดพื้นทุกบาน เมื่อเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเตี้ย ๆ สี่ขั้นเข้าไปชั้นล่างก็พบห้องรับแขกขนาดใหญ่ ซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบยุโรป ด้านข้างมีประตูเปิดออกไปสู่เฉลียงหินอ่อนด้านนอก หญิงสาวชาวไทเขินเชิญให้ทั้งคู่นั่งรอบนเก้าอี้รับแขก
“โปรดรอสักครู่ ท่านเจ้าของที่นี่จะเป็นผู้พาคุณเยี่ยมชมคุ้มเองจ้าว” หญิงสาวแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงสองคนแรกนำน้ำต้นหรือคนโทพร้อมขันเงินใบเล็ก ๆ สองใบเข้ามาวางบนโต๊ะรับแขก หญิงคนเดิมเชิญแขกต่างถิ่นให้ดื่มน้ำจากในน้ำต้น
“เชิญดื่มน้ำก่อนจ้าว ที่นี่ไม่ดื่มน้ำจากตู้เย็น เราดื่มน้ำฝนที่รองเอาไว้” เธอรินน้ำจากน้ำต้นใส่ขันเงินยื่นส่งให้ สองหนุ่มสาวรับมาถือไว้แต่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นดื่ม เสียงทักทายหวานใสราวระฆังเงินของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าของเสียงชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้ายังอยู่ในวัยสาวและคงรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ร่างสูงระหงสวมเสื้อปั้ดและผ้าซิ่นเช่นเดียวกับหญิงคนอื่น ต่างกันที่ตัวเสื้อของเธอปักระบายชายเสื้อและแขนเสื้อด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายวิจิตร ซึ่งของผู้หญิงคนอื่นเป็นเพียงเสื้อสีอ่อนและสีขาว ไม่มีลวดลายใด ๆ
ผ้าซิ่นที่เธอนุ่งอยู่ทำเอาพวงชมพูจ้องมองตาค้าง เพราะจำได้แม่นว่าผ้าซิ่นแบบนี้มันคือผ้าซิ่นไหมคำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซิ่นบัวคำ ซึ่งเป็นซิ่นของราชสำนักไทเขินอันลือชื่อเรื่องความงามและความโดดเด่นของลวดลายบนตัวผ้า ประกอบกับราคาที่แพงระยับเพราะใช้เส้นไหมทำจากทองคำแท้หรือเงินมารีดเป็นเส้นแบนยาว แล้วเอามาตีเกลียวกับเส้นใยที่ส่วนมากเป็นฝ้าย เสร็จแล้วจึงนำมาทอต่อกับส่วนล่างของซิ่นที่เป็นผ้าไหมจีนหรือกำมะหยี่สีเขียว ด้านบนของตัวซิ่นมักปักลายบัวคำด้วยเส้นไหมหรือโลหะมีค่า ส่วนล่างสุดของซิ่นติดด้วยแถบไหมของจีน กล่าวกันว่าสนนราคาผ้าซิ่นแบบนี้ บางผืนราคาเหยียบหลักล้านเลยทีเดียว
ส่วนนพคุณนั้นตะลึงมองใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของหญิงที่ยืนเด่น โดยไม่ได้สนใจเครื่องแต่งกายของเธอสักนิด ชายหนุ่มเผลออุทานออกมาว่า
“นี่มันคนหรือนางฟ้ากันแน่วะเนี่ย” เธอผู้นี้มีเรือนร่างสูงโปร่งระหง ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูนวลเนียน ดูโดดเด่นเมื่อรวบผมเกล้ามวยไว้กลางศีรษะ สอดแซมมวยผมด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวดอกใหญ่ ดวงตาดำขลับมีประกายหวานซึ้ง ช่างยวนใจเมื่อประกอบเข้ากับขนตายาวงอนงามภายใต้คิ้วโก่งราวพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาหวานสวยคู่นั้น พอสบตากันทำเอาหัวใจชายหนุ่มชาวกรุงแทบหยุดเต้น ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อโดยไม่ต้องพึ่งพาลิปสติกคลี่ยิ้มมาให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“พี่กิ่งแก้วไปยกน้ำชาและอมเมี่ยงมาสู่แขกที” สิ้นน้ำเสียงไพเราะของเธอ หญิงที่พูดคุยกันแต่แรกกับทั้งคู่ก็รับคำแล้วค้อมตัวถอยออกไปจากห้อง
“ฉันชื่อคำหยาดฟ้าเป็นเจ้าของเรือน ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากที่ไหนกันคะ”
หญิงงามทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามสองหนุ่มสาวขณะเอ่ยถาม ต่อหน้าสาวสวยผู้มีสง่าราศีน่าเกรงขามเช่นนี้ ทำเอาหนุ่มขี้เล่นและเคยปากดีอย่างนพคุณเกิดอาการพูดอึกอักติดอ่างขึ้นมากะทันหัน พวงชมพูค้อนเพื่อนชายอย่างหมั่นไส้ ตอบแทนเสียเองว่า “เราสองคนเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์อยู่ที่กรุงเทพค่ะ สนใจประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อ ไทเขินและไทใหญ่ พอปิดเทอมเลยชวนกันมาศึกษาศิลปวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทที่อาศัยอยู่ที่นี่ ฉันชื่อพวงชมพูส่วนคนนี้คือ...” ครูสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนชาย นพคุณสะดุ้ง ยิ้มแหย ๆ ก่อนบอกว่า
“ผมชื่อนพคุณครับ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มยิ้มหน้าเป็น แล้วรีบบอกสถานภาพของตัวเอง พร้อมพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวข้าง ๆ เหมือนกลัวสาวงามตรงหน้าเข้าใจผิด
เจ้าของคุ้มแสนสวยนิ่งมองนพคุณด้วยแววตาเปล่งประกายยินดีประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ณ วินาทีนั้นบรรยากาศรอบกายของคนทั้งหมดดูเหมือนหยุดนิ่งเงียบสงัดลง และแล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็คลี่ออกให้ชายหนุ่มรูปหล่อ
“ข้าเจ้าดีใจนักแล้วเจ้าพี่” ทั้งนพคุณและพวงชมพูต่างพากันมองหน้าเจ้าของคุ้มอย่างงุนงงกับคำพูดนั้น
“ฉันหมายถึงยินดีที่ได้พบพวกคุณ ไทยสยามหรือไทใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ” หญิงสาวอธิบาย ประกายประหลาดในแววตาเธอเลือนหายไปแล้ว ดวงตางามซึ้งคู่นั้นกลับมาหวานหยดดังเดิม
(ต่อด้านล่าง)