สาปเสน่หา ตอนที่ 6 by ล. วิลิศมาหรา

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 6

ปริศนาข้ามภพ


         เสร็จสิ้นพระราชกิจสำคัญ เจ้าฟ้าพร้อมราชธิดาและนางกำนัลก็เสด็จออกจากเตนท์ของบุรุษต่างชาติ นายทหารอังกฤษกับล่ามอูหม่องตามออกมาส่งเสด็จยังด้านหน้าเตนท์ด้วย  

         คราวนั้น เจ้าชายพรหมภูมินทร์ซึ่งยืนรอรับเสด็จเพื่อส่งสองพระองค์ขึ้นประทับบนหลังม้า...แต่ครั้นเพียงสาดสายพระเนตรพบเข้ากับใบหน้าอัปลักษณ์ดั่งหน้าผีของล่ามเฒ่า เจ้าชายก็จำอดีตข้าหลวงม่านผู้เคยนำทัพบุกย่ำยีบ้านเมืองของพระองค์ได้...พระหทัยบังเกิดอาการกระตุกเต้นแรง เนตรเบิกโพลง เพลิงโทสะฮือโหมถึงกับถลันเข้าหาอย่างลืมตัว หัตถ์คว้าด้ามพระแสงดาบจะชักออกมา เจ้าฟ้าหอคำก้าวเข้าขวาง จับหัตถ์ที่กุมด้ามพระแสงดาบของเจ้าชายนักรบเอาไว้แล้วส่ายพักตร์ห้ามปราม สั่งด้วยสุรเสียงเฉียบขาดว่า  

“วันพระใช่มีวันเดียว จงพาข้ากับเจ้านางกลับหอหลวงบัดเดี๋ยวนี้ ยังมีภารกิจข้างหน้าสำคัญ ๆ รออยู่”

        ดำรัสเตือนสติทำให้แรงอาฆาตถูกกล้ำกลืนระงับเอาไว้อย่างเหลือทน เจ้าชายหนุ่มขบทนต์แน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน สายพระเนตรดุดันจับจ้องใบหน้าอดีตนายพลเฒ่าราวจะกินเลือดเนื้อ ก่อนคลายหัตถ์ที่จับด้ามอาวุธออก หักพระทัยหันมาส่งเสด็จทั้งสองพระองค์ขึ้นประทับบนหลังอาชาและเสลี่ยง ครั้นประทับเรียบร้อยแล้วจึงมีรับสั่งให้เคลื่อนขบวนเสด็จออกไปจากที่นั้นทันที  
           ก่อนจาก เจ้าชายพรหมภูมินทร์หันมาจ้องใบหน้าศัตรูตัวฉกาจอีกครั้ง ด้วยดวงเนตรคุโชนดั่งแสงเพลิง  
          
       ...ฝากไว้ก่อนเถิดมิง หนี้แค้นนี้กูจักบั่นคอมิงเอาเลือดมาล้างตีนกู...


           หลังจากส่งเสด็จเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนและขบวนตามเสด็จแล้ว นายทหารอังกฤษกับอดีตนายพลอูหม่องบุรุษอัปลักษณ์ผู้มีสีผมเริ่มเป็นสีดอกเลา และมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดขนาดใหญ่พาดผ่านใบหน้าซีกซ้าย ตั้งแต่บริเวณตาซ้ายผ่านสันจมูกลงมาจรดแก้มขวาซึ่งมันทำให้ตาซ้ายของเขาบอดสนิทก็ยืนสนทนากันตามลำพังในเตนท์

“เจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนดูไม่ค่อยเกรงใจนายทหารแห่งองค์พระราชินีอังกฤษเท่าไหร่เลยนะขอรับ พากันพรวดพราดเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามมารยาท แถมขบวนคนติดตามยังสะพายดาบสะพายปืน เกือบเข้ามาถึงในเตนท์ที่พักของผู้กำกับราชการอีกด้วย แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ถือสา กระผมรู้สึกว่าท่านออกจะเกรงอกเกรงใจเจ้านายไทเขินพวกนี้มากเป็นพิเศษ ท่านทำตัวไม่เหมือนท่านก่อนหน้านี้เลย”

           นายพลชราเอ่ยวาจาแกมประชด นายทหารพม่าผู้นี้ก่อนหน้าเคยเป็นนายพลทหารแห่งกองทัพพม่า และมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงข้าหลวงผู้ทำหน้าที่แทนพระเนตรพระกรรณพระเจ้ากรุงอังวะ แต่หลังจากพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ กองทัพองค์สมเด็จสีป่อแห่งกรุงรัตนะปุระอังวะก็ถูกลดบทบาทลงเป็นอันมาก ต้องอยู่ภายใต้ครอบงำของกองทัพอังกฤษอีกชั้นหนึ่ง และอังกฤษรับสมัครทหารเข้าประจำการก็เลือกเอาแต่ชนเผ่าต่าง ๆ มิได้สนับสนุนชายพม่าให้เข้ารับราชการทหาร

           แต่เพราะนายทหารเฒ่าผู้นี้ นอกจากความชาญฉลาดแล้วยังมีฝีปากดีเป็นเลิศ ประจบประแจงพร้อมเอื้อผลประโยชน์ให้เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษ ณ เมืองมัณฑะเลย์จนสนิทสนมกัน ก่อนใช้เป็นลู่ทางเข้าถึงตัวท่านข้าหลวง แล้วสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของกองทหารพระราชินีวิกตอเรียได้ในที่สุด

           การติดตามมาเมืองเวียงแถนครั้งนี้ อดีตทหารอังวะได้ขออนุญาตจากท่านข้าหลวงใหญ่ ขออาสาเป็นล่ามให้คู่เจรจา ซึ่งแท้จริงมีจุดประสงค์ร้ายกาจแอบแฝง ทหารเฒ่าเฝ้าลอบสังเกตกิริยานายทหารอังกฤษตลอดการเจรจา

“การทำศึกนั้นมีหลายวิธีท่านนายพล ท่านลืมไปแล้วหรือ”

          พันโทปีเตอร์ย้อนถามกลับ เขาไม่ค่อยชอบหน้าทหารพม่าผู้นี้นัก ด้วยอูหม่องมักชอบอวดรู้แสดงภูมิและทำกร่างว่าเป็นคนของท่านข้าหลวงใหญ่ ที่ต้องจำใจรับบุรุษอัปลักษณ์ผู้นี้ให้ร่วมขบวนมาด้วยก็เพราะเกรงใจนายพันเอกข้าหลวงใหญ่ดอก หาได้เป็นความต้องการไม่

“เจ้าฟ้ากองคำฟั่นนับว่าฉลาดทีเดียว แม้ไม่เอ่ยปากโดยตรงให้เสียศักดิ์ศรี แต่การที่เขาพาราชธิดาและเหล่านางกำนัลตามเสด็จมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เรารู้ว่า เขายอมสามิภักดิ์ต่ออังกฤษแล้ว การรบผ่านการเจรจาครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าฝ่ายเราชนะโดยมิต้องออกแรงรบให้เหนื่อย เคยมีคำพูดหนึ่งพูดเอาไว้ ไม้ล้มอย่าข้าม ไม่ทราบท่านเคยได้ยินหรือไม่ การที่ผมให้เกียรติแก่เจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนผู้เข้ามาสามิภักดิ์ต่อเราโดยดีตามสมควรมีอันใดเสียหายหรือท่าน”

จบคำพูดด้วยคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแล้ว ท่านผู้กำกับราชการก็หัวร่อออกมาอย่างอารมณ์ดี ต่างกับนายพลเฒ่าที่ยืนเอามือไพล่หลังขมวดคิ้ว มองกิริยาท่านตัวแทนอังกฤษอย่างไม่สบอารมณ์

“ต้องขออภัยด้วยขอรับที่กระผมเข้าใจท่านผิดไป ผมนึกว่าท่านเห็นแก่หน้าเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนเพราะมีลูกสาวสวยเสียอีก” นายทหารอังกฤษหยุดหัวเราะมองหน้าคนพูดแล้วยักไหล่

“ก็แล้วถ้ามันจะเป็นด้วยเรื่องนั้นจริง ไม่ทราบว่าท่านจะเดือดเนื้อร้อนใจด้วยเหตุอันใด” น้ำเสียงบอกชัดว่าไม่พอใจ เมื่อเห็นผู้กำกับราชการออกอาการฉุนเฉียวใส่อูหม่องจึงรีบเปลี่ยนท่าที

“ผมก็แค่อยากเตือนท่านด้วยความหวังดี ไม่อยากให้วางใจเจ้าฟ้าองค์นี้ให้มากนัก เพราะเจ้าฟ้ากองคำฟั่นได้รับเอาเจ้าหลวงเมืองห้วยยางลายและครอบครัวมาไว้ในเมืองเวียงแถน บุตรเขยของเจ้าหลวงไชยรังษีนั้นได้ชื่อว่ารบเก่ง อีกทั้งเป็นคนมีจิตใจห้าวหาญ ดีไม่ดีสองคนนี้อาจยุยงให้เจ้าฟ้ากองคำฟั่นคิดแข็งข้อต่อท่านก็ได้”

           ที่แท้นายพลอูหม่องผู้นี้มีความหลังอันน่าอัปยศ เมื่อครั้งนำทหารพม่าหลายพันนายบุกตีเมืองห้วยยางลายเมื่อปีก่อน ครานั้นด้านหนึ่งอ้างว่ารับคำสั่งจากท่านข้าหลวงใหญ่อังกฤษให้มาช่วยปรามเจ้าเมืองไทใหญ่ทางตอนเหนือของพม่า ซึ่งยังมิได้ตกเป็นของอังกฤษ อีกด้านหนึ่งก็กล่าวหาว่าบังอาจแข็งข้อต่อทั้งอังวะและกองเรือรบอังกฤษอันเกรียงไกร แต่ความจริงอูหม่องหมายตารัตนะมณีสีเลือดนกอันหาค่ามิได้ ที่พระมเหสีแว่นแก้วทรงครอบครองอยู่ ทหารพม่าเหล่านั้นไร้ระเบียบวินัยเที่ยวเข่นฆ่าและปล้นสะดมประชาชนไปทั่ว เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปจึงถูกอังกฤษตำหนิอย่างรุนแรง

           ความเลวร้ายปรากฏเมื่ออูหม่องสามารถนำทหารบุกเข้าไปจนถึงหอหลวงชั้นในได้ มันบีบบังคับพระมเหสีแว่นแก้วให้บอกที่ซ่อนมณีล้ำค่า เมื่อพระนางไม่ยอมบอกจึงสังหารทิ้งอย่างทารุณ หนำซ้ำยังสังหารโอรสทั้งสองของพระนางที่เข้าช่วยพระมารดา จากนั้นจึงไล่ล่าติดตามขบวนของเจ้าหลวงซึ่งเสด็จหนีออกนอกตำหนักไปได้

           นายพลอูหม่องกับทหารพม่าส่วนหนึ่งไล่ตามมาทัน พวกมันจู่โจมเข้าจับกุมเจ้านางสุคันธมาลาพระมารดาของเจ้าชายพรหมภูมินทร์ไว้เป็นตัวประกัน หวังบีบให้โอรสของพระนางและกษัตริย์พร้อมพระธิดาแห่งห้วยยางลายที่พากันถอยร่นออกพ้นนอกกำแพงเมืองวางอาวุธ

           เหตุการณ์ในเพลานั้น เจ้าชายพรหมภูมินทร์จำต้องย่อองค์วางอาวุธลงช้า ๆ พลางจับจ้องกิริยาแม่ทัพม่านเขม็งคิดหาวิธีพลิกแพลงสถานการณ์ให้เหนือกว่า ไม่นึกว่าเจ้านางสุคันธมาลาจะพระทัยเด็ด ทรงตะโกนบอกให้พระโอรสพาเจ้าหลวงกับพระธิดาหนีไป ก่อนใช้สองหัตถ์จับมืออูหม่องที่ถือมีดดาบจ่อพระศออยู่ไว้มั่น กดลำศอลงกับคมดาบแล้วสะบัดเศียรให้คมดาบเชือดลำศออย่างสยดสยอง ทรงยอมสละพระชนม์ชีพหลีกหนีการเป็นตัวประกันของทหารพม่า

           อูหม่องมัวแต่ตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงจึงพลาดท่า ถูกเจ้าชายพรหมภูมินทร์ซึ่งร้องคำรามขึ้นด้วยแรงพิโรธ แล้วฉวยพระแสงดาบขึ้นมาง้างจนสุดหล้า ฟันฉับเข้าที่ใบหน้ามันอย่างเคียดแค้น คมดาบเปิดเนื้อเป็นแผลใหญ่พาดดวงตาข้างซ้ายจรดใบหูขวา โลหิตหลั่งไหลนองใบหน้าทันที แต่เพราะเร่งรีบเกินไปจึงฟันมันไม่ถนัด

    เจ้าชายนักรบแค้นหนักจนเนตรแดงฉานดั่งสีเลือด ตวาดก้องโถมกายหมายเข้าซ้ำดาบสองให้หัวมันแยก พลันทหารพม่าที่ตามนายมาถลันเข้าขวาง เจ้าหลวงไชยรังษีตรงเข้าช่วยประดาบ แต่เมื่อเห็นจำนวนทหารม่านมีมากกว่าจึงสู้พลางตะโกนเตือนสติพระนัดดาว่า
เจ้ายังมีห่วงคือน้องสาวเจ้า เร่งพานางหนีให้รอด แค้นนี้อีกร้อยปีก็ไม่สาย

           เสียงร้องบอกของกษัตริย์ทำให้มีสติ จำระงับพระทัยคั่งแค้นหันกลับมาตวัดดาบคุ้มกันเจ้าเหนือหัวและพระธิดา แล้วตะโกนบัญชาให้ทหารองครักษ์แบ่งเป็นสองส่วน ๆ หนึ่งให้เร่งพาเจ้านายทั้งสองเสด็จหนีไป พระองค์กับหนานวงศาและทหารคู่พระทัยอีกส่วนหนึ่งเข้าฟาดฟันสกัดศัตรูมิคิดชีวิต เหล่าทหารเมืองเวียงแถนแม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่เมื่อเห็นแม่ทัพของตนห้าวหาญเด็ดเดี่ยวต่างมีขวัญและกำลังใจ ตรงเข้าต่อสู้โรมรันชนิดลืมตาย ต่างกับทหารพม่าซึ่งขวัญเสียจากการที่แม่ทัพมีอันตรายร้ายแรงจนไม่สามารถบัญชาการรบได้ จึงเริ่มถอยร่นไม่เป็นขบวน สุดท้ายต้องพากันประคองเจ้านายของตนถอยหนีเข้ากำแพงเมืองไป

           ในที่สุดอูหม่องต้องปล่อยให้เจ้าชายพรหมภูมินทร์พาเจ้าหลวงและพระธิดากับทหารเพียงหยิบมือตีฝ่าวงล้อมหลบหนีออกจากเมืองไปได้สำเร็จ ทิ้งไว้เพียงซากเมืองและพระศพของเจ้านายเมืองห้วยยางลาย อูหม่องมิได้ในสิ่งที่ปรารถนา แถมยังถูกอังกฤษสอบสวนเอาผิด ซ้ำต้องคดีร้ายแรงปล้นฆ่าและแอบอ้างทำโดยพลการ เขาถูกปลดออกจากทั้งตำแหน่งแม่ทัพและข้าหลวง ยังดีที่ท่านพันเอกข้าหลวงใหญ่ออกหน้าช่วยเหลือจึงไม่ถูกจำคุก แต่ก็ต้องลดตัวลงมาเป็นเพียงคนคอยติดตามรับใช้ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งกรุงมัณฑะเลย์ ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เคยมี เรื่องนี้จึงกลายเป็นความแค้นฝังใจนายพลเฒ่านับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

           อูหม่องแสร้งพูดแสดงความห่วงใยท่านข้าหลวงเจ้าอาณานิคม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เขาต้องการให้นายทหารอังกฤษเกิดความระแวงในตัวเจ้าฟ้าเมืองเวียงแถนและเจ้านายเมืองห้วยยางลายผู้ซึ่งเขายังผูกใจเจ็บต่างหาก

“อย่าห่วงไปเลยท่านนายพล กระผมมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านกล่าวจะไม่เกิดขึ้นตราบเท่าที่ราชธิดาของเจ้าฟ้ายังใช้กระจกเงาใบนั้นของผมส่องดูความงามของนางอยู่ ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมกังวลอยู่บ้างมิใช่อาวุธ หอกดาบหรือปืนไฟของทหารเมืองเวียงแถน หากแต่เป็นความฉลาดล้ำลึกของเจ้าหญิงเมืองนี้ต่างหากเล่า”

           นายทหารแห่งองค์พระราชินีวิคตอเรียตัดบทการสนทนาด้วยการเดินไปนั่งเอนตัวลงบนเก้าอี้สนาม เมื่อเขาหยิบกล้องยาสูบขึ้นมาคาบแล้วจุดไฟ อูหม่องก็รู้ดีว่าเป็นสัญญาณให้ยุติการพูดจาและให้ออกจากเตนท์ไปได้แล้ว



           ณ กาลปัจจุบัน ในรถกระบะสี่ประตูกลางเก่ากลางใหม่มีหนุ่มสาวทั้งสองที่โดยสารมาจากคุ้มคำหยาดฟ้าเพื่อเดินทางเข้าไปในตัวเวียงเชียงใหม่  ระหว่างทาง หนานอินเฟือนผู้ซึ่งเจ้านางคำหยาดฟ้าเล่าให้ฟังว่าเป็นเสมือนพ่อบ้านคอยจัดการเรื่องทั้งหมดภายในคุ้ม ขับกระบะมาเงียบ ๆ มีพวงชมพูนั่งคู่เบาะหน้าข้างคนขับส่วนนพคุณนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

           ผู้จัดการคุ้มคำหยาดฟ้าคนนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมดูเคร่งเครียด เขามีขนคิ้วดกหนาและดวงตาเรียวดุดังตาเหยี่ยว แถมยังไว้หนวดบนริมผีปากซึ่งยิ่งทำให้หน้าตาดุดัน ประกอบกับท่าทางที่ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ จะสยบยอมเป็นคนรับใช้ให้แก่ผู้หญิงบอบบาง อรชรอ้อนแอ้นอย่างเจ้านางไทเขินคนนั้น สิ่งนี้ทำให้นพคุณเกิดความสงสัย ระหว่างนั่งมาในรถเขาจึงชวนอินเฟือนคุย

“พี่ชายอยู่ที่คุ้มนี้นานหรือยังครับ” หนานอินเฟือนเหลือบมองหน้าชายหนุ่มทางกระจกมองหลังแวบหนึ่งก่อนตอบ

“ผมเป็นคนเก่าคนแก่ของคุ้มครับ อยู่มานานมาก”

“แสดงว่าพ่อแม่ของพี่ก็เคยอยู่ที่คุ้มนี่มาก่อนเหมือนกัน” พวงชมพูที่นั่งข้าง ๆ เริ่มซักถามบ้างอย่างสนใจ

“พ่อแม่ผมเสียที่ฝั่งโน้นนานแล้วครับ เหลือผมคนเดียวที่อยู่คอยรับใช้เจ้าท่าน”

ฝั่งโน้นคงหมายถึงดินแดนอีกฟากของแม่น้ำโขงนั่นเอง น้ำเสียงเมื่อยามเอ่ยถึงนายสาวดูนอบน้อมอ่อนโยนอย่างประหลาด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่