ตอนเดิม
ตอนที่ 15
หมอกเหมยที่ตกหนาในยามนี้ ปกคลุมห่มดอยจนรอบบริเวณดูหม่นมัว มองไปทางใดก็ให้สลัวไปทั่ว นครงามนามเวียงแถนถึงทีมีงานอวมงคลเกิดขึ้น มันคืองานพิธีถวายเพลิงพระศพเจ้าแม่อุษาประไพ พระชายาองค์รองในเจ้าฟ้ามณเฑียรทองกองคำฟั่น งานถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามคืนสามวัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่จักให้มีการถวายพระเพลิงในปราสาทบุษบกอันอลังการ พิธีกรรมถูกต้องตามราชประเพณีทุกประการ
หลังเสร็จพิธี แม่ทัพแสนเมืองกลับมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสวมเสื้อผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงขากว้างสีเดียวกัน อย่างที่เคยแต่งสมัยเป็นนักมวยอยู่ที่เมืองจองลอง เขาเคียนศีรษะด้วยผ้าคลุมอังสะของพระชายาเคราะห์ร้าย ซึ่งพบตกอยู่ใต้ร่างไร้วิญญาณของนาง ตอนเข้าไปตรวจสภาพพระศพเป็นคนแรก บุรุษหัวใจสลายหมายใจจะไว้อาลัยให้กับหญิงคนรักของตนเป็นครั้งสุดท้าย
แม่ทัพใหญ่นั่งขัดสมาธิร่ำสุราอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าเรือนพักตามลำพัง ตั้งแต่ยามบ่ายคล้อยจนล่วงเข้าถึงเย็นย่ำ ตกค่ำลงก็ยังคงไม่เลิกดื่ม บ่าวชายหญิงสองสามคนเข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ ก็ถูกไล่ตะเพิดให้ไปไกล ๆ มือดึงผ้าที่เคียนศีรษะอยู่ออกมากำ ชายผู้ชอกช้ำยกมันขึ้นแนบอก จิตประหวัดไปถึงคืนเดือนมืดเช่นเดียวกันนี้ ในราตรีหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ณ ค่ายมวยเมืองจองลอง
“ทำไมท่านถึงสนใจมารักกับนักมวยบ้านนอกอย่างข้า”
ภายในห้องพักของค่ายมวยใหญ่ หนานหนุ่มกระซิบถามธิดาสาวของเจ้าหลวงเมืองจองลอง ขณะนอนกอดก่ายร่างนุ่มนิ่มอยู่ในวงแขน หญิงสูงศักดิ์แหงนพักตร์ขึ้นจุมพิตปลายคางชายคนรัก
“ช่างถามคำถามที่ยากนัก ข้าตอบไม่ถูกหรอก รู้เพียงว่าข้าไม่อาจถอนสายตาไปจากท่านได้เลย นับแต่ท่านก้าวขึ้นไปยืนบนสังเวียน”
กระซิบตอบพลางซุกซบกับอกอุ่น
“เป็นบุญของข้าเหลือเกินที่ดอกฟ้าโน้มกิ่งลงมาหา ข้ารักท่านเจ้านางอุษาประไพ และขอสาบานว่าข้าจะรักท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น หัวใจดวงนี้เป็นของท่านแล้ว สุดแท้แต่ท่านจะเอาไปต้มยำทำแกงเยี่ยงไร ข้าขอถวายแก่ท่าน ชาตินี้ข้าจะไม่รักใครอีก”
เอ่ยอย่างเสน่หาอัดอก โอบรัดร่างงามให้แน่นเข้า ราวกับกลัวว่าร่างนี้จะหลุดลอยหายไป
“สาบาน...”
โอษฐ์บางกระซิบอ้อน
“จงเชื่อเถอะ...ข้าอาจไม่สามารถรักท่านชั่วกาลนานได้ แต่ข้าขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ข้าจะรักท่านตลอดชีวิตของข้าที่มีอยู่”
นักมวยหนุ่มกระซิบตอบนางผู้เป็นที่รัก
“สัญญาได้ไหมว่าจะรอข้า รอเพียงไม่นานดอกนาง ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันในเร็ววัน”
พร่ำเพ้อขอคำสัญญาจากสตรีที่ตนรัก พร้อมดอมดมเรือนเกศาและสองปราง ซุกไซ้เอาความหอมหวานจากซอกคอขาวจนถึงเนินถันอวบสล้าง มือใหญ่กอบกุมบัวงามเต็มไม้เต็มมือ สาวเจ้าก็เกิดวาบหวิวขึ้นในทรวง ซุกกายแนบชิดเรือนร่างกำยำ พร่ำรำพันด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขไม่แพ้กัน
“ข้ารู้ว่าท่านทำได้แน่นอน ยอดรักของข้า ข้าสัญญาว่าจะรอวันนั้น”
ณ เวลานั้น ในห้องพักที่ทั้งคับแคบและซอมซ่อ ทั้งอุดอู้เหม็นสาบเหงื่อไคลของคนใช้กำลังกายแลกเงิน แต่ในความรู้สึกของนักมวยหนุ่ม ที่แห่งนี้มันคือสวรรค์บนดินชัด ๆ สองร่างกอดกระหวัดรัดรึงกัน โยกย้ายเบียดอัดกายไปตามจังหวะลีลาแห่งแรงกาม ต่างคนต่างป้อนความรักให้แก่กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สองหนุ่มสาวสุขสมจนแทบลืมคืนลืมวัน ความสุขครานั้นยังตราตรึง ไม่เคยลบเลือนไปตามกาลเวลา
ต่อมาไม่นาน ขณะหนานแสนเมืองพยายามหาทางเข้าไปเป็นทหารมหาดเล็กในวัง เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับพระธิดาอุษาประไพอยู่นั้นเอง แต่แล้วก็เหมือนถูกแส้เหล็กฟาดเปรี้ยงลงบนกล่องดวงใจ เมื่อเจ้าหลวงทรงระแคะระคายถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างพระธิดาของตนกับนักมวยต่างถิ่นเข้าเสียก่อน พระองค์จึงถวายนางให้ไปเป็นพระชายาของอุปราชแห่งเมืองเวียงแถน พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นโดยเร็ว
งานอภิเษกถูกจัดขึ้นกลางเวียงเมืองจองลอง พระธิดาองค์เดียวของเจ้าหลวงถูกแบกหามมาบนเสลี่ยง จากข่วงหน้าหอหลวงเพื่อไปขึ้นหลังช้าง ก่อนจะมีขบวนแห่เจ้าสาวบนหลังช้างไปยังศาลากลางที่ตั้งอยู่กลางเวียง ซึ่งที่นั่นมีผู้เป็นเจ้าบ่าวรออยู่ ประชาชนชาวจองลองมายืนรอชมพระบารมีอยู่เต็มสองข้างทาง หนึ่งในจำนวนนั้นคือหนานแสนเมืองนักมวยหนุ่ม
ขณะบ่าวไพร่หามเสลี่ยงผ่านแถวผู้คน เจ้านางสาวก็เหลือบไปเห็นชายคนรักยืนปะปนอยู่ในฝูงชนริมทางเสด็จ คนทั้งสองประสานสายตากัน เนตรโศกจับจ้องมายังชายคนรักที่พยายามแทรกผู้คนเดินตาม แสนเมืองก็ชะเง้อมองดูเสลี่ยงที่ถูกแบกหามห่างออกไปทุกที ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอาดูร เจ้านางบนเสลี่ยงหันมามองหน้าเขาจนเหลียวหลัง โอษฐ์บางเผยอออกคล้ายเรียกหาให้ช่วย
‘แสนเมืองช่วยข้าด้วย....’
หนานแสนเมืองเดินตามจนสุดเขตแดนที่กันคนไม่ให้เข้าใกล้ จวบจนเจ้านางขึ้นนั่งบนหลังช้าง ก่อนขบวนเสด็จจะเคลื่อนออกไปจนลับตา ทิ้งให้ชายผู้อาภัพวาสนายืนมองตามไปด้วยอาการของคนหัวใจสลาย ทั้งคู่พลัดพรากจากกันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
(มีต่อ)
ริษยารักข้ามภพ บทที่ 15 (ขออภัย ตอนก่อนคือตอนที่ 14)
หมอกเหมยที่ตกหนาในยามนี้ ปกคลุมห่มดอยจนรอบบริเวณดูหม่นมัว มองไปทางใดก็ให้สลัวไปทั่ว นครงามนามเวียงแถนถึงทีมีงานอวมงคลเกิดขึ้น มันคืองานพิธีถวายเพลิงพระศพเจ้าแม่อุษาประไพ พระชายาองค์รองในเจ้าฟ้ามณเฑียรทองกองคำฟั่น งานถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามคืนสามวัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่จักให้มีการถวายพระเพลิงในปราสาทบุษบกอันอลังการ พิธีกรรมถูกต้องตามราชประเพณีทุกประการ
หลังเสร็จพิธี แม่ทัพแสนเมืองกลับมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสวมเสื้อผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงขากว้างสีเดียวกัน อย่างที่เคยแต่งสมัยเป็นนักมวยอยู่ที่เมืองจองลอง เขาเคียนศีรษะด้วยผ้าคลุมอังสะของพระชายาเคราะห์ร้าย ซึ่งพบตกอยู่ใต้ร่างไร้วิญญาณของนาง ตอนเข้าไปตรวจสภาพพระศพเป็นคนแรก บุรุษหัวใจสลายหมายใจจะไว้อาลัยให้กับหญิงคนรักของตนเป็นครั้งสุดท้าย
แม่ทัพใหญ่นั่งขัดสมาธิร่ำสุราอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าเรือนพักตามลำพัง ตั้งแต่ยามบ่ายคล้อยจนล่วงเข้าถึงเย็นย่ำ ตกค่ำลงก็ยังคงไม่เลิกดื่ม บ่าวชายหญิงสองสามคนเข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ ก็ถูกไล่ตะเพิดให้ไปไกล ๆ มือดึงผ้าที่เคียนศีรษะอยู่ออกมากำ ชายผู้ชอกช้ำยกมันขึ้นแนบอก จิตประหวัดไปถึงคืนเดือนมืดเช่นเดียวกันนี้ ในราตรีหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ณ ค่ายมวยเมืองจองลอง
“ทำไมท่านถึงสนใจมารักกับนักมวยบ้านนอกอย่างข้า”
ภายในห้องพักของค่ายมวยใหญ่ หนานหนุ่มกระซิบถามธิดาสาวของเจ้าหลวงเมืองจองลอง ขณะนอนกอดก่ายร่างนุ่มนิ่มอยู่ในวงแขน หญิงสูงศักดิ์แหงนพักตร์ขึ้นจุมพิตปลายคางชายคนรัก
“ช่างถามคำถามที่ยากนัก ข้าตอบไม่ถูกหรอก รู้เพียงว่าข้าไม่อาจถอนสายตาไปจากท่านได้เลย นับแต่ท่านก้าวขึ้นไปยืนบนสังเวียน”
กระซิบตอบพลางซุกซบกับอกอุ่น
“เป็นบุญของข้าเหลือเกินที่ดอกฟ้าโน้มกิ่งลงมาหา ข้ารักท่านเจ้านางอุษาประไพ และขอสาบานว่าข้าจะรักท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น หัวใจดวงนี้เป็นของท่านแล้ว สุดแท้แต่ท่านจะเอาไปต้มยำทำแกงเยี่ยงไร ข้าขอถวายแก่ท่าน ชาตินี้ข้าจะไม่รักใครอีก”
เอ่ยอย่างเสน่หาอัดอก โอบรัดร่างงามให้แน่นเข้า ราวกับกลัวว่าร่างนี้จะหลุดลอยหายไป
“สาบาน...”
โอษฐ์บางกระซิบอ้อน
“จงเชื่อเถอะ...ข้าอาจไม่สามารถรักท่านชั่วกาลนานได้ แต่ข้าขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ข้าจะรักท่านตลอดชีวิตของข้าที่มีอยู่”
นักมวยหนุ่มกระซิบตอบนางผู้เป็นที่รัก
“สัญญาได้ไหมว่าจะรอข้า รอเพียงไม่นานดอกนาง ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันในเร็ววัน”
พร่ำเพ้อขอคำสัญญาจากสตรีที่ตนรัก พร้อมดอมดมเรือนเกศาและสองปราง ซุกไซ้เอาความหอมหวานจากซอกคอขาวจนถึงเนินถันอวบสล้าง มือใหญ่กอบกุมบัวงามเต็มไม้เต็มมือ สาวเจ้าก็เกิดวาบหวิวขึ้นในทรวง ซุกกายแนบชิดเรือนร่างกำยำ พร่ำรำพันด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขไม่แพ้กัน
“ข้ารู้ว่าท่านทำได้แน่นอน ยอดรักของข้า ข้าสัญญาว่าจะรอวันนั้น”
ณ เวลานั้น ในห้องพักที่ทั้งคับแคบและซอมซ่อ ทั้งอุดอู้เหม็นสาบเหงื่อไคลของคนใช้กำลังกายแลกเงิน แต่ในความรู้สึกของนักมวยหนุ่ม ที่แห่งนี้มันคือสวรรค์บนดินชัด ๆ สองร่างกอดกระหวัดรัดรึงกัน โยกย้ายเบียดอัดกายไปตามจังหวะลีลาแห่งแรงกาม ต่างคนต่างป้อนความรักให้แก่กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สองหนุ่มสาวสุขสมจนแทบลืมคืนลืมวัน ความสุขครานั้นยังตราตรึง ไม่เคยลบเลือนไปตามกาลเวลา
ต่อมาไม่นาน ขณะหนานแสนเมืองพยายามหาทางเข้าไปเป็นทหารมหาดเล็กในวัง เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับพระธิดาอุษาประไพอยู่นั้นเอง แต่แล้วก็เหมือนถูกแส้เหล็กฟาดเปรี้ยงลงบนกล่องดวงใจ เมื่อเจ้าหลวงทรงระแคะระคายถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างพระธิดาของตนกับนักมวยต่างถิ่นเข้าเสียก่อน พระองค์จึงถวายนางให้ไปเป็นพระชายาของอุปราชแห่งเมืองเวียงแถน พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นโดยเร็ว
งานอภิเษกถูกจัดขึ้นกลางเวียงเมืองจองลอง พระธิดาองค์เดียวของเจ้าหลวงถูกแบกหามมาบนเสลี่ยง จากข่วงหน้าหอหลวงเพื่อไปขึ้นหลังช้าง ก่อนจะมีขบวนแห่เจ้าสาวบนหลังช้างไปยังศาลากลางที่ตั้งอยู่กลางเวียง ซึ่งที่นั่นมีผู้เป็นเจ้าบ่าวรออยู่ ประชาชนชาวจองลองมายืนรอชมพระบารมีอยู่เต็มสองข้างทาง หนึ่งในจำนวนนั้นคือหนานแสนเมืองนักมวยหนุ่ม
ขณะบ่าวไพร่หามเสลี่ยงผ่านแถวผู้คน เจ้านางสาวก็เหลือบไปเห็นชายคนรักยืนปะปนอยู่ในฝูงชนริมทางเสด็จ คนทั้งสองประสานสายตากัน เนตรโศกจับจ้องมายังชายคนรักที่พยายามแทรกผู้คนเดินตาม แสนเมืองก็ชะเง้อมองดูเสลี่ยงที่ถูกแบกหามห่างออกไปทุกที ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอาดูร เจ้านางบนเสลี่ยงหันมามองหน้าเขาจนเหลียวหลัง โอษฐ์บางเผยอออกคล้ายเรียกหาให้ช่วย
‘แสนเมืองช่วยข้าด้วย....’
หนานแสนเมืองเดินตามจนสุดเขตแดนที่กันคนไม่ให้เข้าใกล้ จวบจนเจ้านางขึ้นนั่งบนหลังช้าง ก่อนขบวนเสด็จจะเคลื่อนออกไปจนลับตา ทิ้งให้ชายผู้อาภัพวาสนายืนมองตามไปด้วยอาการของคนหัวใจสลาย ทั้งคู่พลัดพรากจากกันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
(มีต่อ)