ตอนเดิม
ตอนที่ 14
พ่อเลี้ยงมังคละเป็นหมอยาพื้นบ้านประจำหอหลวง หมอยาผู้นี้ปรุงยาพื้นบ้านหลายชนิดและมีคาถาถอนพิษแมลงได้ทุกประเภท ตลอดจนงูเงี้ยวเขี้ยวขอต่าง ๆ รวมทั้งทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ทั้งที่เป็นเรื่องบูชารุกขเทวดาและคุณไสยมนตร์ดำ
ในวัยแปดสิบปี พ่อเลี้ยงยังดูกระชุ่มกระชวย หูตาดี และมีความจำเป็นเลิศ เสียแต่การเดินเหินที่ไม่ค่อยคล่องตัวนัก ต้องใช้ไม้เท้าคอยช่วยพยุงเวลาเดิน พ่อหมอเฒ่าถูกตามตัวมาถวายการรักษาอาการถูกพิษของเจ้านางม่านมณี กับพิสูจน์พิษในถ้วยน้ำยาต้องสงสัยที่เหลืออยู่
เมื่อมาถึงผู้เฒ่าก็นำตะเกียบเงินที่เตรียมมาจุ่มลงในถ้วยน้ำยาของพระชายารอง ที่ยังมีเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วย ฉับพลันตะเกียบเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำลง และเมื่อเอาข้างที่เหลือจุ่มลงในถ้วยน้ำยาของเจ้านางคำหยาดฟ้าบ้าง ปรากฏว่ามันมิได้เปลี่ยนสีไป
“ตกลงว่าน้ำยาในถ้วยนี้มีพิษ” พ่อเลี้ยงมังคละชี้ไปที่ถ้วยน้ำยาของพระชายารอง พลางหันมาบอกเจ้านายทั้งหลายที่รอฟังผลอยู่ และทันใดนั้นเอง ทุกคนก็พร้อมใจกันหันมามองเจ้าของน้ำยาถ้วยที่เปลี่ยนสีเป็นตาเดียว
“มองหน้าข้าทำไม ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ...ข้าไม่รู้เรื่อง”
คนถูกจ้องรีบบอกปัด โบกหัตถ์ไปมาวุ่นวาย รู้สึกใจคอไม่ดีที่เกิดเรื่องผิดพลาดนี้ขึ้น ทำไมน้ำยาของตนจึงกลายเป็นยาพิษไปได้อย่างน่าฉงน ทั้งที่ยังมิได้ลงมือกระทำการใดเลย ลนลานปฏิเสธเสียงดังลั่น
“หลักฐานปรากฏอยู่ตรงหน้าโทนโท่ ท่านยังคิดจะปฏิเสธอีกรึ” เจ้าของถ้วยน้ำยาอีกใบกล่าวเสียงกระด้าง นัยน์คู่สวยลุกวาวราวมีแสงเพลิงอยู่ภายใน
“ท่านคิดจะใส่ร้ายข้าด้วยการวางยาพิษชายาเจ้าพี่ภูมินทร์ เพื่อให้เราแตกคอกันใช่หรือไม่ ท่านกับพรรคพวกสุมหัวทำอะไรกันอยู่ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ทัน นี่ข้ารอเพียงเจ้าพี่เอาหลักฐานก่อกบฏกลับมาเท่านั้นนะ ดูทีรึจะแก้ตัวว่ายังไง คราวก่อนก็เจรจาหาทางใส่ร้ายข้าเรื่องยาพิษกับหมอสมิธมาครั้งหนึ่งแล้ว...จะบอกอะไรให้ หมอฝรั่งเป็นคนเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ฉะนั้นข้าจึงพกยาถอนพิษไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะไม่ไว้ใจท่าน หาไม่แล้วคงช่วยเจ้านางม่านไม่ทัน”
พักตร์งามบึ้งตึงขณะกล่าวหาอีกฝ่ายเสียงดังไม่แพ้กัน
“ไม่นึกเลยว่าท่านจะใจร้ายกับเจ้าม่านเช่นนี้ ลูกสาวข้าไปทำอะไรให้ ท่านจึงลงมือทำร้ายนางอย่างไร้ความปรานี”
เจ้าหลวงไชยรังสีพอได้ฟังก็พิโรธหนัก กล่าวประณามหญิงผู้ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเองอย่างเกลียดชัง ทำให้นางมีพระพักตร์เหยเก ทำท่าเหมือนจะร่ำไห้
“โธ่ เจ้าหลวงฟังข้าก่อน ข้าจะทำแบบนั้นกับลูกสาวท่านทำไม ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าข้า ไม่รู้เรื่องจริง ๆ”
เฝ้าแต่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ มองคนนั้นทีคนนี้ที พลางวิงวอนเสียงเครือให้เชื่อคำพูดตน
“คำแปง เจ้าเป็นคนชงยาเองรึ” พระมหาเทวีหันมาสอบสวนนางกำนัลของเจ้านางม่านมณี ผู้อยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด
“ข้าน้อยเป็นคนชงยาถวายเองเจ้าข้า พระเทวี เจ้าแม่อุษากำชับให้ใช้ยาซองนั้นสำหรับเจ้าม่านโดยเฉพาะ”
พยานปากสำคัญที่หมอบอยู่แทบบาทของพระมหาเทวีเงยหน้าขึ้นตอบ ตอกย้ำพฤติกรรมอันน่าสงสัยของหญิงผู้ต้องหา ซึ่งพอได้ยินคำยืนยันเสมือนว่าตนกระทำผิดจริงของนางบ่าว เจ้าแม่อุษาประไพก็เกิดอาการสวิงสวาย แข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน จนยืนอยู่ไม่ไหว บ่าวไพร่ต้องเข้าช่วยพยุงมิให้ล้ม
พระมหาเทวีนิ่วพระพักตร์มองหญิงผู้มีตำแหน่งเป็นถึงพระชายารอง นึกไม่ถึงว่านางจะกล้ากระทำการอุกอาจขึ้นในหอหลวง ใช้วิธีสกปรกหวังฆ่าคนเพื่อป้ายสีผู้อื่น เมื่อปรากฏพยานหลักฐานชัด พลันประกาศิตแห่งผู้เป็นใหญ่ที่สุดของฝ่ายในก็ประกาศตัดสินความเบื้องต้น
“เหิมเกริมเกินไปแล้ว ข้าจะนำความขึ้นทูลเจ้าฟ้าบัดเดี๋ยวนี้ แต่เพลานี้เจ้าแม่อุษาประไพจะต้องถูกคุมตัวไว้ในคุกหลวงก่อน รอถึงวันพรุ่งจึงจะมีการไต่สวนโดยคณะลูกขุนต่อเบื้องพระพักตร์ในท้องพระโรงอีกที”
สิ้นกระแสรับสั่ง พระชายาองค์รองของเจ้าฟ้าก็ตกเป็นจำเลยถูกจองจำในทันที โดยไม่มีผู้ใดนึกแคลงใจในตัวเจ้าของน้ำยาอีกถ้วยหนึ่งอีก ทุกคนล้วนพุ่งเป้ามาที่เจ้าแม่อุษาประไพเพียงผู้เดียว
ห้องคุมขังนักโทษอยู่ชั้นใต้ดินตรงฐานอาคารบริเวณบันไดหลังของหอหลวง หากลงบันไดมาแล้วก็จะพบประตูทางเข้าทำด้วยแผ่นไม้แน่นหนา และเมื่อเปิดประตูออกก็จะพบบันไดหินค่อนข้างชันทอดยาวลงไปเบื้องล่าง ซึ่งข้างในนั้นจะเห็นห้องขังทำด้วยซี่กรงเหล็กหนาหลายหุนจำนวนสองห้อง ตั้งอยู่คนละฟาก มีทางเดินตรงกลางแบ่งห้องขังทั้งสองฟากออกจากกัน ผ่านห้องขังเข้ามาก็จะเป็นลานโล่ง ผนังห้องด้านในสุดของลานโล่งมีห่วงเหล็กติดผนังอยู่สองห่วง สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ใช้สำหรับจองจำข้อมือนักโทษบังคับให้ต้องยืนขึ้น
ตั้งแต่หน้าประตูห้องขังเรื่อยลงมาตามบันใด จนกระทั่งถึงห้องกรงเหล็ก มีเพียงแสงสว่างจากคบเพลิงที่ตามอยู่เป็นระยะเว้นช่วงค่อนข้างห่างเท่านั้น ข้างล่างนี้จึงมีแต่ความมืดสลัวและอับชื้น เป็นที่อยู่ของหนูตลอดจนมดแมลงต่าง ๆ
หนานแสนเมืองกับเจ้าชายมหาคำคืนติดสินบนทหารยามหน้าประตูคุก เพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่พวกตนได้ลักลอบเข้ามาหานักโทษหญิงกลางดึก พอเห็นสภาพของมารดาในห้องกรงเหล็กด้านขวามือเข้า โอรสของนางก็ถึงกับน้ำตาคลอ ครางเรียกพระมารดาเสียงเครือ
“โธ่ เจ้าแม่ของลูก”
“ท่านทำอะไรลงไป” แม่ทัพแสนเมืองถลันเข้าใกล้กรงเหล็ก สอบถามนางผ่านซี่ลูกกรง ซึ่งคนในกรงก็ผวาเข้าหาชู้รักกับโอรสของตนอย่างดีพระทัย
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง ข้ายังไม่ได้คิดจะลงมือในวันนี้ เพราะมันดูโฉ่งฉ่างมีพิรุธเกินไป แต่ทำไมน้ำยาของข้าจึงมียาพิษก็ไม่รู้ ต้องมีคนแอบมาเปลี่ยนถ้วยยา หรือไม่ก็แอบเอายาพิษใส่ไปก่อนหน้านั้นแล้ว แสนเมือง ท่านต้องช่วยข้าให้ออกไปเร็ว ๆ นะ ข้างในนี้ทั้งมืดทั้งสกปรก ข้ากลัวจัง”
ละล่ำละลักเล่าให้ทหารคนสนิทฟัง แล้วสอดหัตถ์ลอดซี่ลูกกรงเหล็กออกมาไขว่คว้า หนานแสนเมืองคว้าหัตถ์ของนางมากุมไว้ พูดพลางกัดกรามกรอด
“เราเสียท่ามันเข้าแล้ว มันย้อนศรเรา ช่างร้ายนักนะเจ้านางคำหยาดฟ้า”
เอ่ยชื่อผู้ที่ตนคิดว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ออกมาอย่างคั่งแค้น นึกเจ็บใจตัวเองที่เสียท่าให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าจนได้ นางชิงลงมือก่อนพวกตนจะทันได้คาดคิดด้วยซ้ำไป และขณะนี้ตนยังนึกแก้ไขสถานการณ์ไม่ออก ได้แต่เอาห่อผ้าที่เตรียมมาส่งลอดลูกกรงเหล็กเข้าไปให้หญิงคนรัก
“อากาศข้างล่างนี้หนาวนัก ท่านเอาผ้านี้ห่มกันหนาวเสีย พอรุ่งขึ้นก็ขมวดมันไว้ใต้ชายพก ของในห่อคือยาฉุนรสไม่ขื่นเกินไป ข้าเลือกเอาอย่างที่ท่านเคยสูบมาให้ กับไม้ขีดไฟในกลัก เอาไว้จุดสูบไล่ยุงและแมลง”
ท่าทีที่ทั้งสองแสดงความห่วงใยต่อกันมันมีมากเกินไป มากเสียจนรู้สึกผิดสังเกต เจ้าชายมหาคำคืนซึ่งยืนมองอยู่ข้าง ๆ เกิดสงสัยในกิริยาของแม่ทัพแสนเมือง ที่ดูจะเกินเลยกว่าเป็นแค่ทหารคนโปรดของพระมารดา จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เจ้าแม่ไม่เคยสูบบุหรี่ ท่านแม่ทัพรู้ได้อย่างไรว่าแม่ของข้าชอบสูบยาฉุนแบบไหน ในเมื่อแม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน”
ถามเสียงเข้ม ชายหญิงที่กำลังกุมมือกันอยู่ชะงักอึ้ง หนานแสนเมืองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเสียงค่อยว่า
“ข้าน้อยเคยรู้มาก่อนเจ้าข้า”
“รู้ตั้งแต่เมื่อใด” เนตรเรียวหรี่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างจับผิด ขณะนี้โอรสของเจ้าแม่อุษาประไพกำลังนึกสงสัยว่า ชายผู้นี้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมารดาตน
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านทั้งสองสนิทสนมกันมากกว่านายกับบ่าว ยังไงก็อย่าให้มันเกินพอดีไปมากนัก ข้ารู้สึกไม่ชอบใจ”
“เจ้าหยุดพูดเสียทีเถอะมหาคำคืน เพลานี้ใช่ให้เจ้ามาไล่เบี้ยเอากับท่านแม่ทัพนะ”
พลันสตรีในกรงขังก็ตวาดเสียงดังสวนโอรสขึ้นมา แล้วน้ำใสแห่งความอัดอั้นก็เอ่อท้นหลั่งนองพระพักตร์
“อย่าได้สามหาวกับบุรุษผู้นี้อีกต่อไปเป็นอันขาด ข้าสุดทนแล้วที่ต้องเห็นเจ้าไร้มารยาทต่อท่านแม่ทัพมาตลอด เอาละ ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้าอีก มหาคำคืน เจ้าจงฟังแม่ให้ดี หนานแสนเมืองผู้นี้เขารู้จักข้าดีเพราะเขาเคยเป็นผัวข้ามาก่อน และเขาเป็นพ่อของเจ้า”
“เจ้าแม่”
(มีต่อ)
ริษยารักข้ามภพ บทที่ 15
พ่อเลี้ยงมังคละเป็นหมอยาพื้นบ้านประจำหอหลวง หมอยาผู้นี้ปรุงยาพื้นบ้านหลายชนิดและมีคาถาถอนพิษแมลงได้ทุกประเภท ตลอดจนงูเงี้ยวเขี้ยวขอต่าง ๆ รวมทั้งทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ทั้งที่เป็นเรื่องบูชารุกขเทวดาและคุณไสยมนตร์ดำ
ในวัยแปดสิบปี พ่อเลี้ยงยังดูกระชุ่มกระชวย หูตาดี และมีความจำเป็นเลิศ เสียแต่การเดินเหินที่ไม่ค่อยคล่องตัวนัก ต้องใช้ไม้เท้าคอยช่วยพยุงเวลาเดิน พ่อหมอเฒ่าถูกตามตัวมาถวายการรักษาอาการถูกพิษของเจ้านางม่านมณี กับพิสูจน์พิษในถ้วยน้ำยาต้องสงสัยที่เหลืออยู่
เมื่อมาถึงผู้เฒ่าก็นำตะเกียบเงินที่เตรียมมาจุ่มลงในถ้วยน้ำยาของพระชายารอง ที่ยังมีเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วย ฉับพลันตะเกียบเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำลง และเมื่อเอาข้างที่เหลือจุ่มลงในถ้วยน้ำยาของเจ้านางคำหยาดฟ้าบ้าง ปรากฏว่ามันมิได้เปลี่ยนสีไป
“ตกลงว่าน้ำยาในถ้วยนี้มีพิษ” พ่อเลี้ยงมังคละชี้ไปที่ถ้วยน้ำยาของพระชายารอง พลางหันมาบอกเจ้านายทั้งหลายที่รอฟังผลอยู่ และทันใดนั้นเอง ทุกคนก็พร้อมใจกันหันมามองเจ้าของน้ำยาถ้วยที่เปลี่ยนสีเป็นตาเดียว
“มองหน้าข้าทำไม ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ...ข้าไม่รู้เรื่อง”
คนถูกจ้องรีบบอกปัด โบกหัตถ์ไปมาวุ่นวาย รู้สึกใจคอไม่ดีที่เกิดเรื่องผิดพลาดนี้ขึ้น ทำไมน้ำยาของตนจึงกลายเป็นยาพิษไปได้อย่างน่าฉงน ทั้งที่ยังมิได้ลงมือกระทำการใดเลย ลนลานปฏิเสธเสียงดังลั่น
“หลักฐานปรากฏอยู่ตรงหน้าโทนโท่ ท่านยังคิดจะปฏิเสธอีกรึ” เจ้าของถ้วยน้ำยาอีกใบกล่าวเสียงกระด้าง นัยน์คู่สวยลุกวาวราวมีแสงเพลิงอยู่ภายใน
“ท่านคิดจะใส่ร้ายข้าด้วยการวางยาพิษชายาเจ้าพี่ภูมินทร์ เพื่อให้เราแตกคอกันใช่หรือไม่ ท่านกับพรรคพวกสุมหัวทำอะไรกันอยู่ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ทัน นี่ข้ารอเพียงเจ้าพี่เอาหลักฐานก่อกบฏกลับมาเท่านั้นนะ ดูทีรึจะแก้ตัวว่ายังไง คราวก่อนก็เจรจาหาทางใส่ร้ายข้าเรื่องยาพิษกับหมอสมิธมาครั้งหนึ่งแล้ว...จะบอกอะไรให้ หมอฝรั่งเป็นคนเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ฉะนั้นข้าจึงพกยาถอนพิษไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะไม่ไว้ใจท่าน หาไม่แล้วคงช่วยเจ้านางม่านไม่ทัน”
พักตร์งามบึ้งตึงขณะกล่าวหาอีกฝ่ายเสียงดังไม่แพ้กัน
“ไม่นึกเลยว่าท่านจะใจร้ายกับเจ้าม่านเช่นนี้ ลูกสาวข้าไปทำอะไรให้ ท่านจึงลงมือทำร้ายนางอย่างไร้ความปรานี”
เจ้าหลวงไชยรังสีพอได้ฟังก็พิโรธหนัก กล่าวประณามหญิงผู้ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเองอย่างเกลียดชัง ทำให้นางมีพระพักตร์เหยเก ทำท่าเหมือนจะร่ำไห้
“โธ่ เจ้าหลวงฟังข้าก่อน ข้าจะทำแบบนั้นกับลูกสาวท่านทำไม ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าข้า ไม่รู้เรื่องจริง ๆ”
เฝ้าแต่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ มองคนนั้นทีคนนี้ที พลางวิงวอนเสียงเครือให้เชื่อคำพูดตน
“คำแปง เจ้าเป็นคนชงยาเองรึ” พระมหาเทวีหันมาสอบสวนนางกำนัลของเจ้านางม่านมณี ผู้อยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด
“ข้าน้อยเป็นคนชงยาถวายเองเจ้าข้า พระเทวี เจ้าแม่อุษากำชับให้ใช้ยาซองนั้นสำหรับเจ้าม่านโดยเฉพาะ”
พยานปากสำคัญที่หมอบอยู่แทบบาทของพระมหาเทวีเงยหน้าขึ้นตอบ ตอกย้ำพฤติกรรมอันน่าสงสัยของหญิงผู้ต้องหา ซึ่งพอได้ยินคำยืนยันเสมือนว่าตนกระทำผิดจริงของนางบ่าว เจ้าแม่อุษาประไพก็เกิดอาการสวิงสวาย แข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน จนยืนอยู่ไม่ไหว บ่าวไพร่ต้องเข้าช่วยพยุงมิให้ล้ม
พระมหาเทวีนิ่วพระพักตร์มองหญิงผู้มีตำแหน่งเป็นถึงพระชายารอง นึกไม่ถึงว่านางจะกล้ากระทำการอุกอาจขึ้นในหอหลวง ใช้วิธีสกปรกหวังฆ่าคนเพื่อป้ายสีผู้อื่น เมื่อปรากฏพยานหลักฐานชัด พลันประกาศิตแห่งผู้เป็นใหญ่ที่สุดของฝ่ายในก็ประกาศตัดสินความเบื้องต้น
“เหิมเกริมเกินไปแล้ว ข้าจะนำความขึ้นทูลเจ้าฟ้าบัดเดี๋ยวนี้ แต่เพลานี้เจ้าแม่อุษาประไพจะต้องถูกคุมตัวไว้ในคุกหลวงก่อน รอถึงวันพรุ่งจึงจะมีการไต่สวนโดยคณะลูกขุนต่อเบื้องพระพักตร์ในท้องพระโรงอีกที”
สิ้นกระแสรับสั่ง พระชายาองค์รองของเจ้าฟ้าก็ตกเป็นจำเลยถูกจองจำในทันที โดยไม่มีผู้ใดนึกแคลงใจในตัวเจ้าของน้ำยาอีกถ้วยหนึ่งอีก ทุกคนล้วนพุ่งเป้ามาที่เจ้าแม่อุษาประไพเพียงผู้เดียว
ห้องคุมขังนักโทษอยู่ชั้นใต้ดินตรงฐานอาคารบริเวณบันไดหลังของหอหลวง หากลงบันไดมาแล้วก็จะพบประตูทางเข้าทำด้วยแผ่นไม้แน่นหนา และเมื่อเปิดประตูออกก็จะพบบันไดหินค่อนข้างชันทอดยาวลงไปเบื้องล่าง ซึ่งข้างในนั้นจะเห็นห้องขังทำด้วยซี่กรงเหล็กหนาหลายหุนจำนวนสองห้อง ตั้งอยู่คนละฟาก มีทางเดินตรงกลางแบ่งห้องขังทั้งสองฟากออกจากกัน ผ่านห้องขังเข้ามาก็จะเป็นลานโล่ง ผนังห้องด้านในสุดของลานโล่งมีห่วงเหล็กติดผนังอยู่สองห่วง สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ใช้สำหรับจองจำข้อมือนักโทษบังคับให้ต้องยืนขึ้น
ตั้งแต่หน้าประตูห้องขังเรื่อยลงมาตามบันใด จนกระทั่งถึงห้องกรงเหล็ก มีเพียงแสงสว่างจากคบเพลิงที่ตามอยู่เป็นระยะเว้นช่วงค่อนข้างห่างเท่านั้น ข้างล่างนี้จึงมีแต่ความมืดสลัวและอับชื้น เป็นที่อยู่ของหนูตลอดจนมดแมลงต่าง ๆ
หนานแสนเมืองกับเจ้าชายมหาคำคืนติดสินบนทหารยามหน้าประตูคุก เพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่พวกตนได้ลักลอบเข้ามาหานักโทษหญิงกลางดึก พอเห็นสภาพของมารดาในห้องกรงเหล็กด้านขวามือเข้า โอรสของนางก็ถึงกับน้ำตาคลอ ครางเรียกพระมารดาเสียงเครือ
“โธ่ เจ้าแม่ของลูก”
“ท่านทำอะไรลงไป” แม่ทัพแสนเมืองถลันเข้าใกล้กรงเหล็ก สอบถามนางผ่านซี่ลูกกรง ซึ่งคนในกรงก็ผวาเข้าหาชู้รักกับโอรสของตนอย่างดีพระทัย
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง ข้ายังไม่ได้คิดจะลงมือในวันนี้ เพราะมันดูโฉ่งฉ่างมีพิรุธเกินไป แต่ทำไมน้ำยาของข้าจึงมียาพิษก็ไม่รู้ ต้องมีคนแอบมาเปลี่ยนถ้วยยา หรือไม่ก็แอบเอายาพิษใส่ไปก่อนหน้านั้นแล้ว แสนเมือง ท่านต้องช่วยข้าให้ออกไปเร็ว ๆ นะ ข้างในนี้ทั้งมืดทั้งสกปรก ข้ากลัวจัง”
ละล่ำละลักเล่าให้ทหารคนสนิทฟัง แล้วสอดหัตถ์ลอดซี่ลูกกรงเหล็กออกมาไขว่คว้า หนานแสนเมืองคว้าหัตถ์ของนางมากุมไว้ พูดพลางกัดกรามกรอด
“เราเสียท่ามันเข้าแล้ว มันย้อนศรเรา ช่างร้ายนักนะเจ้านางคำหยาดฟ้า”
เอ่ยชื่อผู้ที่ตนคิดว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ออกมาอย่างคั่งแค้น นึกเจ็บใจตัวเองที่เสียท่าให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าจนได้ นางชิงลงมือก่อนพวกตนจะทันได้คาดคิดด้วยซ้ำไป และขณะนี้ตนยังนึกแก้ไขสถานการณ์ไม่ออก ได้แต่เอาห่อผ้าที่เตรียมมาส่งลอดลูกกรงเหล็กเข้าไปให้หญิงคนรัก
“อากาศข้างล่างนี้หนาวนัก ท่านเอาผ้านี้ห่มกันหนาวเสีย พอรุ่งขึ้นก็ขมวดมันไว้ใต้ชายพก ของในห่อคือยาฉุนรสไม่ขื่นเกินไป ข้าเลือกเอาอย่างที่ท่านเคยสูบมาให้ กับไม้ขีดไฟในกลัก เอาไว้จุดสูบไล่ยุงและแมลง”
ท่าทีที่ทั้งสองแสดงความห่วงใยต่อกันมันมีมากเกินไป มากเสียจนรู้สึกผิดสังเกต เจ้าชายมหาคำคืนซึ่งยืนมองอยู่ข้าง ๆ เกิดสงสัยในกิริยาของแม่ทัพแสนเมือง ที่ดูจะเกินเลยกว่าเป็นแค่ทหารคนโปรดของพระมารดา จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เจ้าแม่ไม่เคยสูบบุหรี่ ท่านแม่ทัพรู้ได้อย่างไรว่าแม่ของข้าชอบสูบยาฉุนแบบไหน ในเมื่อแม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน”
ถามเสียงเข้ม ชายหญิงที่กำลังกุมมือกันอยู่ชะงักอึ้ง หนานแสนเมืองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเสียงค่อยว่า
“ข้าน้อยเคยรู้มาก่อนเจ้าข้า”
“รู้ตั้งแต่เมื่อใด” เนตรเรียวหรี่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างจับผิด ขณะนี้โอรสของเจ้าแม่อุษาประไพกำลังนึกสงสัยว่า ชายผู้นี้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมารดาตน
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านทั้งสองสนิทสนมกันมากกว่านายกับบ่าว ยังไงก็อย่าให้มันเกินพอดีไปมากนัก ข้ารู้สึกไม่ชอบใจ”
“เจ้าหยุดพูดเสียทีเถอะมหาคำคืน เพลานี้ใช่ให้เจ้ามาไล่เบี้ยเอากับท่านแม่ทัพนะ”
พลันสตรีในกรงขังก็ตวาดเสียงดังสวนโอรสขึ้นมา แล้วน้ำใสแห่งความอัดอั้นก็เอ่อท้นหลั่งนองพระพักตร์
“อย่าได้สามหาวกับบุรุษผู้นี้อีกต่อไปเป็นอันขาด ข้าสุดทนแล้วที่ต้องเห็นเจ้าไร้มารยาทต่อท่านแม่ทัพมาตลอด เอาละ ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้าอีก มหาคำคืน เจ้าจงฟังแม่ให้ดี หนานแสนเมืองผู้นี้เขารู้จักข้าดีเพราะเขาเคยเป็นผัวข้ามาก่อน และเขาเป็นพ่อของเจ้า”
“เจ้าแม่”
(มีต่อ)