.
หนึ่งกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ได้ประจำที่กรุงเทพ ตอนนี้การติดต่อสื่อสารสะดวกง่ายขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีปัญหาติดขัดอะไรเลย ตั้งแต่หนึ่งเข้ารับราชการแสงระวีเที่ยวไปหาทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ไม่เคยบ่นสักคำ เฝ้าแต่นับวันรอที่จะได้อยู่ด้วยกัน เฝ้าแต่กากบาททับวันที่รอคอย วันที่จะได้หยุดไปเจอกันเสมอ
ตอนนี้เข้าสู่ชีวิตปกติ สามารถติดต่อกันได้สะดวกขึ้น ทั้งคู่ต่างผลัดกันโทรหากันทุกวัน ไม่เหมือนตอนนี้หนึ่งยังเรียนอยู่ ทุกอย่างดีขึ้นมาจากเมื่อก่อนมาก เดินทางไปหาเสมอเมื่อมีเวลาว่าง
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหนึ่ง เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งถึงเป็นแบบนี้ เพราะอะไร ทำไม มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้าม อะไรที่เคยไม่ชอบกลับทำเสียเอง
สิ่งแรกที่เห็นความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปในตัวเขาคือ ‘สักลาย’ ซึ่งสามารถทำได้ทว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขาทำไปทำไม ในเมื่อเขาเป็นคนพูดออกมาจากปากเองว่าไม่ชอบคนสักลาย มันแลดูสกปรกแต่วันนี้เขากลับกลืนน้ำลายตัวเอง
หนึ่งสักลายเกือบทั้งตัว ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดคนที่สักลาย แต่หนึ่งเองที่เป็นคนพาเธอไม่ชอบ และพูดว่าจะไม่ทำเด็ดขาด เธองงและแปลกใจมาก นี่คืออย่างแรกที่หนึ่งเปลี่ยนไป
“หนึ่งสักลายทำไม” ถามเมื่อเห็นเขาถอดเสื้อ ภายในห้องพักเล็ก ๆ รอบนี้ตนเองเป็นคนเดินทางมาที่กรุงเทพ พอเห็นดังนั้นก็ไม่ค่อยชอบใจและไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก เธอจำคำพูดของเขาได้ทุกคำว่าไม่ชอบคนสักลาย วันนี้ทำไมถึงทำแบบนี้ “จำคำพูดตัวเองไม่ได้เหรอ และก็ไม่บอกกันสักคำเลยเนอะว่าจะทำอะไร”
“แค่สักลายมันจะทำไมวี อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้มั้ย ใคร ๆ ก็ทำกัน” หนึ่งแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมา ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ หนึ่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทำเป็นไม่สนใจเธอ เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย
“ก็วีไม่ชอบ หนึ่งก็เคยไม่ชอบด้วยไม่ใช่เหรอ หนึ่งเคยด่าคนสักลายว่าสกปรก ทำไมหนึ่งทำซะเองล่ะ “ แสงระวีพูดเสียงเรียบนิ่งที่สุด ไม่โวยวาย ไม่ชวนทะเลาะ แต่ต้องอึ้งเมื่อหนึ่งตอบกลับมาด้วยการตะคอก
“แค่สักลายมันจะตายเหรอวี ! ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายลงไปเลย ตายไปตรงนี้เลย” หนึ่งลุกขึ้นจากเตียงยืนตะคอกใส่เธอ อึ้งกับการกระทำของหนึ่งมาก มาถึงยังไม่หายเหนื่อยเลยทะเลาะกันอีกแล้ว และไม่เคยเห็นหนึ่งเป็นแบบนี้มาก่อน เธอน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ และ ตะคอกกลับไปด้วยความโกรธเช่นกัน สุดจะทนที่สุดนาทีนี้
เธอผลักอกหนึ่งให้ถอยออกห่าง “มันไม่ตายหรอกแต่มืงด่าพี่อี่เจน ! มืงด่าพี่กายว่าสกปรก เค้าคือพี่กู ! มืงด่าพี่กู ๆ ยังจำได้ไม่เคยลืมว่าสกปรก” เธอระงับอารมณ์ของตนเองไม่อยู่อีกต่อไป
แสงระวีขึ้นกูขึ้นมืงกับหนึ่งก่อน ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยพูดเลย วันนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะความน้อยใจมันเก็บสะสมมานาน หนึ่งจ้องหน้าเธอด้วยความโกรธจัด และ คงอึ้งกับสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่ คงไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เช่นกัน
“มืงอยู่นี่นะ อารมณ์เย็นลงเมื่อไหร่ค่อยโทรหากู มืงไม่ต้องตามกูไปและไม่ต้องโทรหากูตอนนี้ด้วย” หนึ่งชี้หน้าเธอก่อนจะหยิบเสื้อมาสวมใส่ เปิดประตูออกไปข้างนอก ทิ้งเธอไว้ในห้องคนเดียว
เธอไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่น้ำตามันไหลออกมาเอง ทรุดตัวลงนั่งกับเตียงนอน มองไปรอบ ๆ ห้องมันว่างเปล่า เคว้งคว้าง ไม่มีแม้แต่เงาของหนึ่งในตอนนี้
นั่งมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นรูปของตนเองกับหนึ่งถ่ายด้วยกันติดไว้ที่ผนังห้อง รูปตอนมัธยม รูปตอนเรียนนายสิบ รูปตอนไปเที่ยวด้วยกันมันเป็นฝีมือการติดแปะของเธอเอง รอยยิ้มวันนั้นวันช่างมีความสุขเสียจริง แต่วันนี้มันตรงกันข้ามหมด สมองตื้อตันคิดว่าวันนี้ตนเองมาทำไม มาทำอะไรที่นี่ มาเพื่อทะเลาะกันแบบนี้เหรอ
ทันใดนั้นมีสายโทรเข้าจากแม่ เธอปรับเสียงให้เป็นปกติ รายงานว่ามาถึงแล้ว หนึ่งไปไหนทำอะไร ที่เล่าให้แม่ฟังเธอโกหกทั้งหมด
แสงระวียิ้มหัวเราะทั้งน้ำตา ปรับโทนเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้ว่าตนเองกับหนึ่งทะเลาะกัน อยากให้พ่อกับแม่เห็นและรับรู้แค่ว่าพวกเธอรักกันดี หนึ่งรักลูกของพ่อแม่มากแค่นั้นพอ
“อยู่ห้องคนเดียวโทรหาน้าดิจะได้ไม่เหงา ให้น้ามารับไปเที่ยว” แม่บอก
“ไม่หรอกแม่มันไกล กว่าน้าจะมารับ วีขอนอนรอหนึ่งในห้องดีกว่าเพลียรถ” เธอปฏิเสธ ไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วย เกรงว่าจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนึ่งเข้า
“อยู่คนเดียวปิดห้องดี ๆ ด้วยล่ะ”
“จ้า”
แสงระวีฝืนยิ้มทั้งน้ำตาคุยกับแม่ตนเอง อีกทั้งแม่ของหนึ่งด้วยที่โทรมาเช็คด้วยความเป็นห่วง แสงระวีฝืนคุยกับทั้งสองคนทั้งน้ำตา ยิ้มหัวเราะปรับเสียงให้เป็นปกติทั้งที่น้ำตายังไหล เมื่อวางสายแล้วก็กลับมานอนร้องไห้เช่นเดิมเพราะความน้อยใจ ตอนนี้หนึ่งอยู่ที่ไหน ออกจากห้องไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและวางอยู่อย่างนั้น หยิบ ๆ วาง ๆ อยู่หลายครั้ง ลังเลว่าจะโทรตามหนึ่งหรือเปล่า สุดท้ายก็ไม่โทร และโยนโทรศัพท์ลงในตะกร้าเสื้อผ้า
เธอนอนร้องไห้ด้วยความน้อยใจนานนับชั่วโมง จึงผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย นั่งรถมาตลอดทั้งคืน เธอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีดูนาฬิกาสองทุ่มหนึ่งก็ยังไม่กลับมา มวลก้อนน้ำตาแห่งความน้อยใจกลับมาอีกครั้ง
เธอไม่ได้ร้องไห้แต่มันไหลออกมาเอง สองทุ่มแล้วหนึ่งยังไม่กลับมาอีก หนึ่งไปอยู่ไหน เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์ในตะกร้าเสื้อผ้ามาดู มีสายไม่ได้รับหลายสาย หนึ่งโทรมาแต่เธอไม่ได้รับ แค่นี้ก็สร้างความรู้สึกดีให้เธอขึ้นมาเท่าตัว แปลว่าหนึ่งยังห่วงเธออยู่บ้าง
แสงระวีโทรหาหนึ่งทันที เขารับสายดูจากเสียงที่คุยและเสียงที่แทรกเข้ามาคงอยู่กันหลายคน และ ที่สำคัญคงเมาด้วย นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างที่สอง หนึ่งเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนถึงจะดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่ขนาดนี้
หนึ่งชอบเที่ยวกลางคืน และ เมากลับมาตลอด เมาจนเพื่อนต้องพากลับ เป็นแบบนี้คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง จะไม่ให้เธอระแวงและคิดมากได้เช่นไร
“อารมณ์เย็นลงแล้วเหรอ” เสียงหนึ่งคล้ายเหมือนคนเมา และ มีเสียงพูดแทรกเข้ามาอยู่ตรงนั้นหลายคน เธอพยายามฟังดี ๆ ไม่มีเสียงผู้หญิงน่าจะเพื่อน ๆ กัน “ถ้าเย็นลงแล้วหนึ่งจะได้กลับ”
“ตามใจ กลับไม่กลับก็ตามใจ พรุ่งนี้วีก็จะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน” แสงระวีพูดจริง พูดแบบไม่ต้องตัดสินใจหรือคิดนานเลย ตอนนี้หายโกรธหนึ่งบ้างแล้ว
ก๊อก ๆ ! เสียงเคาะประตูห้องเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่ง เธอส่องรูตรงประตูดูเป็นหนึ่งกลับมาแล้วจริงๆ แอบยิ้มและรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเหมือนเดิม เธอเปิดประตูให้และเดินกับมานั่งโซฟาเปิดทีวีดูไม่สนใจ ต่างคนต่างเงียบไม่คุยกัน
“ปะไปกินข้าว กินข้าวยัง” หนึ่งเดินมานั่งที่โซฟาด้วย เธอก็ขยับออกห่าง มีกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ ลอยเตะจมูก ไปดื่มเหล้าและทิ้งเธอไว้ในห้องคนเดียว “ขยับหนีทำไม ปะกินข้าวกัน วีไม่หิวเหรอ” หนึ่งขยับตามมานั่งชิด ๆ กับเธอ และ ใช้มืออีกข้างกอดเธอไว้ไม่ให้ขยับหนีไปอีก ก่อนจะแกล้งเธอด้วยการหอมแก้มไปหลาย ๆ ที
นี่คือการง้อของหนึ่งทำไมเธอจะไม่รู้ เธอใช้มือลูบที่ใบหน้าของตนเอง เช็ดรอยหอมออกเวลาโดนหอม หนึ่งเผยยิ้มชอบใจที่แกล้งเธอได้
“หิวก็ไปกินคนเดียวดิ วีกินแล้ว” แสงระวีมองตรงไปยังทีวีพูดออกมา ไม่หันมาสบตากับเขา “พรุ่งนี้จะกลับแล้วไปส่งด้วยนะ”
“ใคร ๆ จะกลับ ใครให้กลับ และ กินตอนไหน หันหน้ามาคุยกันดี ๆ ดิ๊ มาหาหนึ่งทั้งทีทำไมต้องชวนทะเลาะด้วย นาน ๆ กว่าจะได้มา” หนึ่งจับใบหน้าของเธอให้หันมาสบตาตัวเอง “ก็ทำไปแล้วอ่ะ พูดไปวันนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ขอโทษ ! นะวีหนึ่งขอโทษ” หนึ่งหมายถึงเรื่องสักลาย หลับตาปริบ ๆ ทำตัวตลกให้เธอหายโกรธ และเธอก็หายโกรธจริง ๆ หายตั้งแต่หนึ่งกลับห้องมานาทีแรกแล้ว
“หนึ่งไม่คิดแต่วีคิด ถ้าวีด่าว่าหนึ่งสกปรกบ้างอ่ะ หนึ่งจะว่ายังไง” แสงระวีหน้าบึ้ง จ้องหน้าหนึ่ง และชี้ไปที่หน้าอกข้างขวาตรงบริเวณที่หนึ่งสักลาย
“ก็ไม่ว่ายังไง” หนึ่งทำหน้าทะเล้นให้เธอ
“เหรอ !” เธอยกมือขึ้นตบไปที่ศีรษะหนึ่งเบา ๆ “อย่าทำหน้ากวนแบบนี้นะ ตบจริงด้วย” แสงระวีทั้งโมโหทั้งจะขำกับท่าทางกวนของหนึ่ง
“หายโกรธยัง” หนึ่งโอบกอดเธอด้วยแขนสองข้าง ทำหน้าอ้อนวอน
“พอแค่นี้นะห้ามทำเพิ่มอีก ถ้าทำอีกไม่คุยด้วยเลย” แสงระวีตีไปที่หน้าอกของเขาด้วยความหมั่นไส้หลายที
“เจ็บนะเนี่ย ! ไม่สัญญาถ้ามีลายสวย ๆ ก็ไม่แน่ หนึ่งสักหนึ่งก็สักในตัวนี่แหละ ไม่ได้สักหน้าสักแขนสักขาสักหน่อย เห็นมั้ยจอร์นนี่มือปราบอ่ะ รู้จักมั้ย ไอดอล ๆ” ไม่รับปากแถมยังยกใครมาอ้างอีกด้วยก็ไม่รู้ ทว่าเธอก็พอจะรู้จักคนที่หนึ่งพูดถึง
“คนนั้นจอร์นนี่ แต่คนนี้มันจรจัด” ชี้มาที่ตัวเขา คนโดนด่าทำเพียงยิ้มให้ ไม่เถียงกลับมา “เออ ! แล้วไปกินเหล้าแบบนี้ไม่กลัวโดนเป่าเหรอ ถูกจับมาไม่ไปประกันนะ ตำรวจจับตำรวจมันจะเป็นยังไงก็อยากรู้เหมือนกัน” แสงระวีดุไปอีกกระทง
“ไปกินที่ไหน นั่งกินร้านตรงข้ามหอเนี่ย ร้านยาดอง ใครบอกวีไม่ลงไปตามหนึ่งเองล่ะ ไม่งั้นจะมาถึงเร็วเหรอหลังวางสายจากวีอ่ะ คนรอให้ไปตามก็ไม่ไปตามสักที จนต้องโทรหาเอง กลับมาเอง “ พอได้ยินแบบนี้ก็อดที่จะขำไม่ได้ หายงอนหนึ่งเป็นปลิดทิ้งเลย “ปะหาไรกินกันดีกว่า ไปกินชาบูตรงนี้กันอร่อยและคุ้มมาก”
“ไปกินกับใครมา”
“เฮ้ย ! อย่าหาเรื่องดิ เปลี่ยนชุดเลย หรือจะไปชุดนี้ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองน้องสาว” หนึ่งตบบ่าของเธอเบา ๆ ติดตลก
แสงระวีเปลี่ยนชุดใหม่ แต่งหน้าทำผมใหม่ให้เรียบร้อย ทั้งสองพากันออกไปข้างนอกหาอะไรทานใกล้ ๆ หอพัก ดึกพอสมควรกว่าหนึ่งจะพากลับห้อง วันหยุดยาวที่แสนพิเศษและมีความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงระวีต้องเดินทางกลับมหาลัย หนึ่งไปส่งขึ้นรถที่หมอชิตเช่นทุกครั้ง
ภายใต้รอยยิ้ม ภายใต้ความสุขซ่อนความคิดมากความระแวงเอาไว้ เขาดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยทำเขากลับทำตรงกันข้ามหมด ความเป็นเขาในวันวานไม่มีอีกแล้ว
แสงระวีกลับมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โทรคุยกันเหมือนเดิม และไปหาในวันหยุดยาวเหมือนเดิมเช่นกัน หลัง ๆ มาหนึ่งไม่ค่อยอยากเดินทางมาหาเท่าไหร่นัก อยากให้เพียงแสงระวีเดินทางไปหาเท่านั้น
ทุก ๆ ครั้งคุยกันเอะอะทะเลาะและตัดสายทิ้ง ติดต่อไม่ได้หลายวัน มันกลับมาอีกแล้ว พฤติกรรมแบบครั้งก่อน หนึ่งกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่ยังเรียนอยู่ มันเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันจะกลับมาอีกแล้วแสงระวีรับรู้ได้
คุยกันทุกวันไม่มีวันไหนที่จะไม่ทะเลาะกัน ไม่มีเลย ! คุยกันไม่ถึงสามประโยค ผู้หญิงคนนี้ใคร คนนั้นใคร ไปกับใคร ไปที่ไหน เบอร์ใคร เป็นคำถามซ้ำ ๆ ที่แสงระวีถามและจบด้วยการทะเลาะกันเสมอ
แสงระวี…..บทที่ 23 (รีไรท์)
.
หนึ่งกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ได้ประจำที่กรุงเทพ ตอนนี้การติดต่อสื่อสารสะดวกง่ายขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีปัญหาติดขัดอะไรเลย ตั้งแต่หนึ่งเข้ารับราชการแสงระวีเที่ยวไปหาทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ไม่เคยบ่นสักคำ เฝ้าแต่นับวันรอที่จะได้อยู่ด้วยกัน เฝ้าแต่กากบาททับวันที่รอคอย วันที่จะได้หยุดไปเจอกันเสมอ
ตอนนี้เข้าสู่ชีวิตปกติ สามารถติดต่อกันได้สะดวกขึ้น ทั้งคู่ต่างผลัดกันโทรหากันทุกวัน ไม่เหมือนตอนนี้หนึ่งยังเรียนอยู่ ทุกอย่างดีขึ้นมาจากเมื่อก่อนมาก เดินทางไปหาเสมอเมื่อมีเวลาว่าง
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหนึ่ง เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งถึงเป็นแบบนี้ เพราะอะไร ทำไม มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้าม อะไรที่เคยไม่ชอบกลับทำเสียเอง
สิ่งแรกที่เห็นความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปในตัวเขาคือ ‘สักลาย’ ซึ่งสามารถทำได้ทว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขาทำไปทำไม ในเมื่อเขาเป็นคนพูดออกมาจากปากเองว่าไม่ชอบคนสักลาย มันแลดูสกปรกแต่วันนี้เขากลับกลืนน้ำลายตัวเอง
หนึ่งสักลายเกือบทั้งตัว ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดคนที่สักลาย แต่หนึ่งเองที่เป็นคนพาเธอไม่ชอบ และพูดว่าจะไม่ทำเด็ดขาด เธองงและแปลกใจมาก นี่คืออย่างแรกที่หนึ่งเปลี่ยนไป
“หนึ่งสักลายทำไม” ถามเมื่อเห็นเขาถอดเสื้อ ภายในห้องพักเล็ก ๆ รอบนี้ตนเองเป็นคนเดินทางมาที่กรุงเทพ พอเห็นดังนั้นก็ไม่ค่อยชอบใจและไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก เธอจำคำพูดของเขาได้ทุกคำว่าไม่ชอบคนสักลาย วันนี้ทำไมถึงทำแบบนี้ “จำคำพูดตัวเองไม่ได้เหรอ และก็ไม่บอกกันสักคำเลยเนอะว่าจะทำอะไร”
“แค่สักลายมันจะทำไมวี อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้มั้ย ใคร ๆ ก็ทำกัน” หนึ่งแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมา ออกจะรำคาญด้วยซ้ำ หนึ่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทำเป็นไม่สนใจเธอ เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย
“ก็วีไม่ชอบ หนึ่งก็เคยไม่ชอบด้วยไม่ใช่เหรอ หนึ่งเคยด่าคนสักลายว่าสกปรก ทำไมหนึ่งทำซะเองล่ะ “ แสงระวีพูดเสียงเรียบนิ่งที่สุด ไม่โวยวาย ไม่ชวนทะเลาะ แต่ต้องอึ้งเมื่อหนึ่งตอบกลับมาด้วยการตะคอก
“แค่สักลายมันจะตายเหรอวี ! ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายลงไปเลย ตายไปตรงนี้เลย” หนึ่งลุกขึ้นจากเตียงยืนตะคอกใส่เธอ อึ้งกับการกระทำของหนึ่งมาก มาถึงยังไม่หายเหนื่อยเลยทะเลาะกันอีกแล้ว และไม่เคยเห็นหนึ่งเป็นแบบนี้มาก่อน เธอน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ และ ตะคอกกลับไปด้วยความโกรธเช่นกัน สุดจะทนที่สุดนาทีนี้
เธอผลักอกหนึ่งให้ถอยออกห่าง “มันไม่ตายหรอกแต่มืงด่าพี่อี่เจน ! มืงด่าพี่กายว่าสกปรก เค้าคือพี่กู ! มืงด่าพี่กู ๆ ยังจำได้ไม่เคยลืมว่าสกปรก” เธอระงับอารมณ์ของตนเองไม่อยู่อีกต่อไป
แสงระวีขึ้นกูขึ้นมืงกับหนึ่งก่อน ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยพูดเลย วันนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะความน้อยใจมันเก็บสะสมมานาน หนึ่งจ้องหน้าเธอด้วยความโกรธจัด และ คงอึ้งกับสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่ คงไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เช่นกัน
“มืงอยู่นี่นะ อารมณ์เย็นลงเมื่อไหร่ค่อยโทรหากู มืงไม่ต้องตามกูไปและไม่ต้องโทรหากูตอนนี้ด้วย” หนึ่งชี้หน้าเธอก่อนจะหยิบเสื้อมาสวมใส่ เปิดประตูออกไปข้างนอก ทิ้งเธอไว้ในห้องคนเดียว
เธอไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่น้ำตามันไหลออกมาเอง ทรุดตัวลงนั่งกับเตียงนอน มองไปรอบ ๆ ห้องมันว่างเปล่า เคว้งคว้าง ไม่มีแม้แต่เงาของหนึ่งในตอนนี้
นั่งมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นรูปของตนเองกับหนึ่งถ่ายด้วยกันติดไว้ที่ผนังห้อง รูปตอนมัธยม รูปตอนเรียนนายสิบ รูปตอนไปเที่ยวด้วยกันมันเป็นฝีมือการติดแปะของเธอเอง รอยยิ้มวันนั้นวันช่างมีความสุขเสียจริง แต่วันนี้มันตรงกันข้ามหมด สมองตื้อตันคิดว่าวันนี้ตนเองมาทำไม มาทำอะไรที่นี่ มาเพื่อทะเลาะกันแบบนี้เหรอ
ทันใดนั้นมีสายโทรเข้าจากแม่ เธอปรับเสียงให้เป็นปกติ รายงานว่ามาถึงแล้ว หนึ่งไปไหนทำอะไร ที่เล่าให้แม่ฟังเธอโกหกทั้งหมด
แสงระวียิ้มหัวเราะทั้งน้ำตา ปรับโทนเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้ว่าตนเองกับหนึ่งทะเลาะกัน อยากให้พ่อกับแม่เห็นและรับรู้แค่ว่าพวกเธอรักกันดี หนึ่งรักลูกของพ่อแม่มากแค่นั้นพอ
“อยู่ห้องคนเดียวโทรหาน้าดิจะได้ไม่เหงา ให้น้ามารับไปเที่ยว” แม่บอก
“ไม่หรอกแม่มันไกล กว่าน้าจะมารับ วีขอนอนรอหนึ่งในห้องดีกว่าเพลียรถ” เธอปฏิเสธ ไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วย เกรงว่าจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนึ่งเข้า
“อยู่คนเดียวปิดห้องดี ๆ ด้วยล่ะ”
“จ้า”
แสงระวีฝืนยิ้มทั้งน้ำตาคุยกับแม่ตนเอง อีกทั้งแม่ของหนึ่งด้วยที่โทรมาเช็คด้วยความเป็นห่วง แสงระวีฝืนคุยกับทั้งสองคนทั้งน้ำตา ยิ้มหัวเราะปรับเสียงให้เป็นปกติทั้งที่น้ำตายังไหล เมื่อวางสายแล้วก็กลับมานอนร้องไห้เช่นเดิมเพราะความน้อยใจ ตอนนี้หนึ่งอยู่ที่ไหน ออกจากห้องไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและวางอยู่อย่างนั้น หยิบ ๆ วาง ๆ อยู่หลายครั้ง ลังเลว่าจะโทรตามหนึ่งหรือเปล่า สุดท้ายก็ไม่โทร และโยนโทรศัพท์ลงในตะกร้าเสื้อผ้า
เธอนอนร้องไห้ด้วยความน้อยใจนานนับชั่วโมง จึงผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย นั่งรถมาตลอดทั้งคืน เธอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีดูนาฬิกาสองทุ่มหนึ่งก็ยังไม่กลับมา มวลก้อนน้ำตาแห่งความน้อยใจกลับมาอีกครั้ง
เธอไม่ได้ร้องไห้แต่มันไหลออกมาเอง สองทุ่มแล้วหนึ่งยังไม่กลับมาอีก หนึ่งไปอยู่ไหน เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์ในตะกร้าเสื้อผ้ามาดู มีสายไม่ได้รับหลายสาย หนึ่งโทรมาแต่เธอไม่ได้รับ แค่นี้ก็สร้างความรู้สึกดีให้เธอขึ้นมาเท่าตัว แปลว่าหนึ่งยังห่วงเธออยู่บ้าง
แสงระวีโทรหาหนึ่งทันที เขารับสายดูจากเสียงที่คุยและเสียงที่แทรกเข้ามาคงอยู่กันหลายคน และ ที่สำคัญคงเมาด้วย นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างที่สอง หนึ่งเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนถึงจะดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่ขนาดนี้
หนึ่งชอบเที่ยวกลางคืน และ เมากลับมาตลอด เมาจนเพื่อนต้องพากลับ เป็นแบบนี้คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง จะไม่ให้เธอระแวงและคิดมากได้เช่นไร
“อารมณ์เย็นลงแล้วเหรอ” เสียงหนึ่งคล้ายเหมือนคนเมา และ มีเสียงพูดแทรกเข้ามาอยู่ตรงนั้นหลายคน เธอพยายามฟังดี ๆ ไม่มีเสียงผู้หญิงน่าจะเพื่อน ๆ กัน “ถ้าเย็นลงแล้วหนึ่งจะได้กลับ”
“ตามใจ กลับไม่กลับก็ตามใจ พรุ่งนี้วีก็จะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน” แสงระวีพูดจริง พูดแบบไม่ต้องตัดสินใจหรือคิดนานเลย ตอนนี้หายโกรธหนึ่งบ้างแล้ว
ก๊อก ๆ ! เสียงเคาะประตูห้องเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่ง เธอส่องรูตรงประตูดูเป็นหนึ่งกลับมาแล้วจริงๆ แอบยิ้มและรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเหมือนเดิม เธอเปิดประตูให้และเดินกับมานั่งโซฟาเปิดทีวีดูไม่สนใจ ต่างคนต่างเงียบไม่คุยกัน
“ปะไปกินข้าว กินข้าวยัง” หนึ่งเดินมานั่งที่โซฟาด้วย เธอก็ขยับออกห่าง มีกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ ลอยเตะจมูก ไปดื่มเหล้าและทิ้งเธอไว้ในห้องคนเดียว “ขยับหนีทำไม ปะกินข้าวกัน วีไม่หิวเหรอ” หนึ่งขยับตามมานั่งชิด ๆ กับเธอ และ ใช้มืออีกข้างกอดเธอไว้ไม่ให้ขยับหนีไปอีก ก่อนจะแกล้งเธอด้วยการหอมแก้มไปหลาย ๆ ที
นี่คือการง้อของหนึ่งทำไมเธอจะไม่รู้ เธอใช้มือลูบที่ใบหน้าของตนเอง เช็ดรอยหอมออกเวลาโดนหอม หนึ่งเผยยิ้มชอบใจที่แกล้งเธอได้
“หิวก็ไปกินคนเดียวดิ วีกินแล้ว” แสงระวีมองตรงไปยังทีวีพูดออกมา ไม่หันมาสบตากับเขา “พรุ่งนี้จะกลับแล้วไปส่งด้วยนะ”
“ใคร ๆ จะกลับ ใครให้กลับ และ กินตอนไหน หันหน้ามาคุยกันดี ๆ ดิ๊ มาหาหนึ่งทั้งทีทำไมต้องชวนทะเลาะด้วย นาน ๆ กว่าจะได้มา” หนึ่งจับใบหน้าของเธอให้หันมาสบตาตัวเอง “ก็ทำไปแล้วอ่ะ พูดไปวันนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ขอโทษ ! นะวีหนึ่งขอโทษ” หนึ่งหมายถึงเรื่องสักลาย หลับตาปริบ ๆ ทำตัวตลกให้เธอหายโกรธ และเธอก็หายโกรธจริง ๆ หายตั้งแต่หนึ่งกลับห้องมานาทีแรกแล้ว
“หนึ่งไม่คิดแต่วีคิด ถ้าวีด่าว่าหนึ่งสกปรกบ้างอ่ะ หนึ่งจะว่ายังไง” แสงระวีหน้าบึ้ง จ้องหน้าหนึ่ง และชี้ไปที่หน้าอกข้างขวาตรงบริเวณที่หนึ่งสักลาย
“ก็ไม่ว่ายังไง” หนึ่งทำหน้าทะเล้นให้เธอ
“เหรอ !” เธอยกมือขึ้นตบไปที่ศีรษะหนึ่งเบา ๆ “อย่าทำหน้ากวนแบบนี้นะ ตบจริงด้วย” แสงระวีทั้งโมโหทั้งจะขำกับท่าทางกวนของหนึ่ง
“หายโกรธยัง” หนึ่งโอบกอดเธอด้วยแขนสองข้าง ทำหน้าอ้อนวอน
“พอแค่นี้นะห้ามทำเพิ่มอีก ถ้าทำอีกไม่คุยด้วยเลย” แสงระวีตีไปที่หน้าอกของเขาด้วยความหมั่นไส้หลายที
“เจ็บนะเนี่ย ! ไม่สัญญาถ้ามีลายสวย ๆ ก็ไม่แน่ หนึ่งสักหนึ่งก็สักในตัวนี่แหละ ไม่ได้สักหน้าสักแขนสักขาสักหน่อย เห็นมั้ยจอร์นนี่มือปราบอ่ะ รู้จักมั้ย ไอดอล ๆ” ไม่รับปากแถมยังยกใครมาอ้างอีกด้วยก็ไม่รู้ ทว่าเธอก็พอจะรู้จักคนที่หนึ่งพูดถึง
“คนนั้นจอร์นนี่ แต่คนนี้มันจรจัด” ชี้มาที่ตัวเขา คนโดนด่าทำเพียงยิ้มให้ ไม่เถียงกลับมา “เออ ! แล้วไปกินเหล้าแบบนี้ไม่กลัวโดนเป่าเหรอ ถูกจับมาไม่ไปประกันนะ ตำรวจจับตำรวจมันจะเป็นยังไงก็อยากรู้เหมือนกัน” แสงระวีดุไปอีกกระทง
“ไปกินที่ไหน นั่งกินร้านตรงข้ามหอเนี่ย ร้านยาดอง ใครบอกวีไม่ลงไปตามหนึ่งเองล่ะ ไม่งั้นจะมาถึงเร็วเหรอหลังวางสายจากวีอ่ะ คนรอให้ไปตามก็ไม่ไปตามสักที จนต้องโทรหาเอง กลับมาเอง “ พอได้ยินแบบนี้ก็อดที่จะขำไม่ได้ หายงอนหนึ่งเป็นปลิดทิ้งเลย “ปะหาไรกินกันดีกว่า ไปกินชาบูตรงนี้กันอร่อยและคุ้มมาก”
“ไปกินกับใครมา”
“เฮ้ย ! อย่าหาเรื่องดิ เปลี่ยนชุดเลย หรือจะไปชุดนี้ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองน้องสาว” หนึ่งตบบ่าของเธอเบา ๆ ติดตลก
แสงระวีเปลี่ยนชุดใหม่ แต่งหน้าทำผมใหม่ให้เรียบร้อย ทั้งสองพากันออกไปข้างนอกหาอะไรทานใกล้ ๆ หอพัก ดึกพอสมควรกว่าหนึ่งจะพากลับห้อง วันหยุดยาวที่แสนพิเศษและมีความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงระวีต้องเดินทางกลับมหาลัย หนึ่งไปส่งขึ้นรถที่หมอชิตเช่นทุกครั้ง
ภายใต้รอยยิ้ม ภายใต้ความสุขซ่อนความคิดมากความระแวงเอาไว้ เขาดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยทำเขากลับทำตรงกันข้ามหมด ความเป็นเขาในวันวานไม่มีอีกแล้ว
แสงระวีกลับมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม โทรคุยกันเหมือนเดิม และไปหาในวันหยุดยาวเหมือนเดิมเช่นกัน หลัง ๆ มาหนึ่งไม่ค่อยอยากเดินทางมาหาเท่าไหร่นัก อยากให้เพียงแสงระวีเดินทางไปหาเท่านั้น
ทุก ๆ ครั้งคุยกันเอะอะทะเลาะและตัดสายทิ้ง ติดต่อไม่ได้หลายวัน มันกลับมาอีกแล้ว พฤติกรรมแบบครั้งก่อน หนึ่งกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่ยังเรียนอยู่ มันเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันจะกลับมาอีกแล้วแสงระวีรับรู้ได้
คุยกันทุกวันไม่มีวันไหนที่จะไม่ทะเลาะกัน ไม่มีเลย ! คุยกันไม่ถึงสามประโยค ผู้หญิงคนนี้ใคร คนนั้นใคร ไปกับใคร ไปที่ไหน เบอร์ใคร เป็นคำถามซ้ำ ๆ ที่แสงระวีถามและจบด้วยการทะเลาะกันเสมอ