.
แสงระวีกับหนึ่งกลับมาคุยกันเหมือนเดิม แถมยังเพิ่มเวลาคุยกันอีกเป็นสองช่วงเวลา คือ ช่วงเลิกเรียนระหว่างที่รอพ่อกับแม่กลับมาจากทำงานนั่นแหละ ตอนเที่ยงทั้งสองคนคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ แต่ พอหลังเลิกเรียนหนึ่งจะช่วยติวหนังสือให้บ้างผ่านการโทรคุยกัน
เธอชอบนำโจทย์คณิตศาสตร์มาให้หนึ่งช่วยแก้สมการช่วยติวให้เสมอ สอนวิธีการคิดคำนวณ อะไรต่าง ๆ นานา เป็นแบบนี้ทุกวัน แม้กระทั่งการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หนึ่งสอนให้เธอลองคิดตามไม่ใช่สักแต่มองเห็น เช่น เรามองเห็นใบไม้ก็ต้องพยายามคิดว่าทำไมใบไม้มันมีสีเขียว สีเขียวเกิดจากอะไรทำนองนี้ นับว่าเป็นการคุยกันที่ไม่เปล่าประโยชน์เลย
“เกินไปมั้ยเนี่ยหนึ่งเห๊อะ ฮา” แสงระวีอดขำหนึ่งผ่านโทรศัพท์ไม่ได้ หัวเราะออกมาแล้วด้วย นึกในใจคนอะไรเด็กเรียนชะมัด เว่อเกินไปแล้ว แต่ก็ยิ้มให้โทรศัพท์
“อ้าวยังจะมาขำอีก หนึ่งพูดจริงนะเนี่ย แบบทำให้สมองแล่นอยู่ตลอดเวลาไง จะได้มีรอยหยักลึก ๆ บ้าง จะได้ไม่เรียบแป้เหมือนบางคน” พูดจบหัวเราะคิกคักให้เธอได้ยิน
“อ้าวหนึ่งว่าวีโง่เหรอ งั้นไม่ต้องสอนเลยอ่านเองก็ได้” แสงระวีทำเสียงงอนหน้างอให้โทร บังอาจมาว่าตนเองโง่ ทั้งที่ก็โง่จริง ๆ นั่นแหละ ตนเองยังไม่พูดอะไรเลย
“เปล่า ! “ ทำเสียงสูง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “หนึ่งไม่ได้ว่าวีสักหน่อย หนึ่งว่าคนอื่น บอกว่าบางคนน่ะได้เอ่ยชื่อวีหรือยัง โถ่ ! คนอะไรร้อนตัวเก่ง”
“ก็วีนั่นแหละ หึ พ่อคนฉลาดหลักแหลม” กลอกตามองบนให้โทรศัพท์ไปอีกที พูดประชดประชันด้วยความสะใจปนตลก ถึงจะประชดทว่าความจริงกำลังยิ้มอยู่
“เอ้า ! คนอะไรชอบคิดไปเอง หนึ่งว่าตอนไหนหนึ่งพูดว่าบางคนต่างหาก” ทั้งเขาและเธอเถียงกันไปเถียงกันมาปนไปด้วยเสียงหัวเราะ นึกตลกที่แกล้งแสงระวีได้
“ก็วีนั่นแหละก็หนึ่งว่าวีอ่ะ ไม่ต้องสอนแล้วไม่เรียนแล้ว “ ทำหน้างอง้ำให้คนในสาย
“เฮ้ยไม่ได้ ! อ่ะ ๆ ขอโทษก็ได้ มาเรียนต่อมาทำโจทย์ข้อนี้ต่อ” พอโดนขู่มาแบบนี้ก็รีบออกตัวขอโทษ ความจริงคือไม่อยากวางสายต่างหาก เรื่องติวเอาไว้ทีหลัง
แสงระวีคุยกับหนึ่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เธอนั่งบนแคร่กางสมุดหนังสือออกมาให้หนึ่งพาทำโจทย์คณิตศาสตร์ เป็นแบบนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน แสงระวีเก็บเรื่องนี้ไปเล่าให้เจลกลับเจนฟังถือเป็นเรื่องตลกเสมอ ๆ เช่นกัน เล่าถึงคนของใจเล่าอะไรไปก็มีความสุข
เธอคิดว่าเด็กเรียน หรือ คนที่เรียนหนังสือเก่ง ๆ เขามองเขาคิดแบบนี้กันเหรอ เดินไปเจออะไรก็เก็บเอามาคิดมาประมวลผลไปหมด สมมุติเดินไปเจอตอไม้ ทำไมตอไม้มันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมใบไม้แห้งต้องมีสีออกเหลือง ๆ เทา ๆ แบบนี้เหรอ เหอะ! อาการหนักเกินไปแล้ว อมยิ้มเมื่อใบหน้าใครบางคนลอยเข้ามาในความคิด ระหว่างนั่งเม้าท์รายวันกับพี่สาวทั้งสองคน
“ถึงว่าไอ้เป็ดนี่เรียนเก่งเป็นบ้าเลยวี” เจนเองก็พึ่งรู้ความคิดของหนึ่งในวันนี้เอง
“ก็มันคิดแบบนี้ ! ฮา” ทั้งสามคนหัวเราะให้กันและกัน
ถึงจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกแสงระวีก็แอบปลื้มอยู่ไม่น้อย ที่หนึ่งเป็นเด็กเรียน ชอบที่หนึ่งเป็นแบบนี้ ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า เป็นผู้ชายในฝันเลย ตรงข้ามกับตนเองที่แอบดื่มมาบ้างแล้ว หรือว่าหนึ่งอาจจะแอบทำมาบ้างเหมือนกัน ช่างเถอะเรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรมากมาย นึกถึงด้วยความสุข
วันเวลาผ่านไปจนมาถึงวันสำคัญของโรงเรียนอีกหนึ่งวัน ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ขึ้น ไม่มีการเรียนการสอน นักเรียนทุกคนไปรวมตัวกันที่หอประชุมเพื่อทำกิจกรรมนั้น ทางคณะครูจัดให้นักเรียนนั่งเป็นแถวหน้ากระดาน เรียงลำดับชั้น แถวแรกเป็นน้อง ม.1 แถวที่สองเป็นน้อง ม.2 และไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้น ม.6
ทุกระดับชั้นมีการเตรียมการแสดงของตนเอง ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีเพื่องานวันนี้โดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นมีเธอด้วยที่เข้าร่วมทำกิจกรรมของห้อง จะขาดเธอได้อย่างไรล่ะก็เธอเป็นเจ้าแม่กิจกรรมของทางโรงเรียนหนิ ใบประกาศนียบัตรเต็มบ้าน
กิจกรรมช่วงเช้ามีการมอบรางวัลการแต่งกลอนเกี่ยวกับสุนทรภู่ ให้กับผู้เข้าแข่งขันด้วย ซึ่งเธอก็ได้แต่งส่งเข้าประกวด
“รางวัลชนะเลิศกลอนแปด หัวข้อ สุนทรภู่ครูกวีของไทย ได้แก่ “เด็กหญิง แสงระวี มงคล นักเรียนชั้น ม.3/5 ครับ” ครูพิธีกรประกาศชื่อของเธอ เพื่อน ๆ ทั้งห้องกรี๊ดแสดงความยินดีกับเธอด้วย พร้อมเสียงปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความตื่นเต้น เป็นหน้าเป็นตาของห้อง อาจารย์ที่ปรึกษาได้หน้าไปเต็ม ๆ
ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์มีการติดผลงานของแต่ละคนไว้ รางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชยมีของใครบ้าง แสงระวีต้องหน้าบูดหัวเสียกลับมาหลังจากขึ้นไปรับรางวัลเสร็จ ขณะเดินผ่านคุณครูท่านหนึ่ง คุณครูคนนั้นพูดเปรย ๆ ออกมาคงไม่ทันเห็นว่าแสงระวีเดินผ่าน “ไปก็อปมาจากเน็ตแน่ ๆ ไม่เชื่อหรอกว่าแต่งเอง”
อ้าว! ไม่เชื่อในฝีมือนักเรียนของตัวเองเลยเหรอ เธอมองค่อนขอดคุณครูท่านนั้นด้วยความเจ็บใจ “กูจะไปก็อปเอาจากเน็ตตอนไหน กูก็แต่งต่อหน้าครูอ่ะวันนั้น “ ตอบกลับในใจด้วยความเจ็บใจ ทำไมพูดออกมาได้เช่นนี้ ก็ในเมื่อวันที่แต่งกลอนเข้าประกวด ก็ไปนั่งเขียนต่อหน้าคุณครูนี่ ถอนหายใจแล้วเดินผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทางโรงเรียนรับสมัครนักแต่งกลอน แสงระวีสมัครกับเพื่อนสองคน เข้าไปนั่งแต่งในห้องที่ทางโรงเรียนจัดไว้ พร้อมมีครูผู้คุมด้วย ไม่มีโอกาสได้เปิดใช้อินเทอร์เน็ตสักนิด คนที่ชนะเลิศก็มามอบรางวัลในวันนี้ แสงระวีได้แต่เก็บความโมโหไว้คิดได้แค่ในใจ และเดินจากไปกลับมานั่งในแถวเหมือนเดิม
“อ้าวหน้าบูดจังเลยวี ไม่ดีใจเหรอที่หนึ่งนะมืง” ฝ้ายถาม เห็นแสงระวีหน้าบึ้งเข้ามานั่งในแถว ตนเองก็แต่งเข้าประกวดเหมือนกัน ทว่าไม่ผ่านการคัดเลือก
“มีคนหาว่ากูก็อปจากเน็ตมาอีฝ้าย กูโมโหมากเนี่ย” แสงระวีระบายกับฝ้ายเพื่อนสนิทอย่างเดือดดาล
“ใคร !” ฝ้ายเองก็อยากรู้ว่าใคร เพราะวันเข้าประกวดฝ้ายก็เข้าประกวดด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปเปิดเน็ต
“ช่างเหอะ” แสงระวีปฏิเสธ ก่อนจะนั่งเงียบ ๆ ดูนักเรียนคนอื่นเดินไปรับรางวัล
พอแสงระวีไม่ยอมบอก ฝ้ายก็ไม่เซ้าซี้หันไปชมกิจกรรมที่ด้านหน้าเวทีต่อ ขณะนี้ยังทำการมอบรางวัลการประกวดต่าง ๆ ยังไม่เสร็จ พร้อมชมการแสดงของแต่ละช่วงชั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเลิกเรียน ส่วนแสงระวีนั่งหน้าบึ้งยังไม่หายโกรธและคิดมากกับคำพูดของครูท่านนั้น ปรายตามองไปเห็นทีไรแอบเบะปากให้ทุกที
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้แสงระวีหายโกรธเป็นปลิดทิ้งไปเลยคือ มีคณะรุ่นพี่ศิษย์เก่าเข้ามาร่วมกิจกรรมในวันนี้ด้วย มันช่างตื่นเต้นเหลือเกินเมื่อหนึ่งในคณะศิษย์เก่าที่มาในวันนี้ มีใครบางคนที่ตนเองรู้จักดีและแสนจะคุ้นเคย
พี่ ๆ ศิษย์เก่ามีทั้งรุ่นที่เธอเข้าเรียนทันและไม่ทันบ้าง นักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนก็มาร่วมกิจกรรม พวกพี่ ๆ มีการจัดเตรียมการแสดงให้พวกน้อง ๆ ชมด้วย มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นมากเกือบเป็นลมและไม่เป็นตัวของตัวเองคือการมาของพี่นินั่นเอง
พี่นิเดินผ่านแถวของเธอไปนั่งเก้าอี้ที่ทางโรงเรียนจัดให้ ที่จริงรุ่นพี่ศิษย์เก่ามาเยี่ยมโรงเรียนทุกปี บ้างก็มาวันไหว้ครู บ้างก็มาวันกีฬาสีของโรงเรียน ที่สำคัญทุก ๆ ปีจะมีการจัดผ้าป่าศิษย์เก่าในวันขึ้นปีใหม่ด้วย มอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การเรียนให้แก่พวกน้อง ๆ รุ่นหลัง
“อี่ยูเอ็น อี่ฝ้าย มืงเห็นมั้ยนั้น มืงเห็นมั้ย พี่นิของกูก็มา” แสงระวียิ้มค้างมือเขย่าไหล่ฝ้ายสายตาจับจ้องมองไปยังพี่นิที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งขวามือ นั่งชมกิจกรรมและรอขึ้นไปพูดคุยพบปะกับน้อง ๆ
เหมือนพี่นิยังจำเธอได้ เที่ยวมองมาที่เธอเหมือนกัน พี่นิมองเห็นเพราะเธอนั่งอยู่ช่วงหัวแถว สองสายตาประสานกัน พี่นิแอบส่งยิ้มให้เธอนิดหน่อย เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขินนั่งไม่ติดกันเลย แทบอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
“อี่วีน้อย ๆ หน่อย อี่แรด! เก็บอาการก่อน เลิกกิจกรรมค่อยไปกรี๊ดสดีดสดิ้ง” ฝ้ายผู้เบื่อแสงระวีเหลือเกิน เพราะเจ็บหัวไหล่ แทบจะระบมไปครึ่งตัวจากการเขย่าแก้เขินของเพื่อน ฝ้ายรู้เรื่องพี่นิดี “แล้วผู้ชายในเมืองของมืงอ่ะ ลืมเค้าแล้วเหรอ” ฝ้ายถามเตือนความจำ
“ฝ้ายคนนั้นก็ส่วนคนนั้น วินาทีนี้คนนี้เว้ย ฝ้ายกูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย พี่นิใช่มั้ยมืง” แสงระวีพูดปนยิ้ม มันตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก อมยิ้มตลอดเวลา ยิ้มเก้อปากแทบฉีกถึงใบหู
“ยูเอ็นมืงตบมันดิ๊ มันจะได้รู้ว่ามันไม่ได้ฝันไป มืงดูเพื่อนมืงแรดขนาดไหน” ฝ้ายกลอกตามองบนให้เธอ เริ่มเบื่ออาการตื่นเต้นที่เห็นผู้ชายของเธอแล้ว
“วีน้อย ๆ หน่อย เห็นมั้ยไอ้แท็กมันมองมืงน่ะ” ยูเอ็นบอก พร้อมสะกิดให้เธอหันมองตาม
“ช่างปะไร ใครแคร์มัน” ไม่ยอมหันไปมองตามที่เพื่อนบอก ทว่าก็หุบยิ้มทำหน้านิ่ง ๆ ต่อไป ก่อนที่จะกลับมาลืมตัวอีก อมยิ้มให้กับพี่นิเหมือนเดิม
ในช่วงเช้าจะเป็นการแสดงของนักเรียนชั้น ม.ต้น เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นของทั้งสามชั้นตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 ก็จะเป็นการแสดงพิเศษจากพี่ศิษย์เก่าที่มาในวันนี้ พี่ ๆ เตรียมการแสดงกันมาทั้งหมดสองชุด เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วหอประชุม เป็นการบ่งบอกว่าชื่นชอบการแสดงนี้มาก ๆ
หลังจากการแสดงชุดแรกจบไป ต่อไปก็เป็นการแสดงชุดที่สอง โดยมีพี่นิร่วมแสดงในนั้นด้วย พี่นิแสดงเป็นสุนทรภู่ สุนทรภู่ที่หล่อเหลาน่าเอามาทำแฟนมาก พี่นิเคยหล่อแบบไหนในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังหล่อเหมือนเดิม แถมน่าจะหล่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ นักเรียนทุกคนต่างนั่งชมด้วยความตื่นเต้นปนความสุข ดูจะให้ความสนใจและตั้งใจดูกว่าการแสดงของนักเรียนด้วยซ้ำ
แสงระวีนั่งมองดูแทบจะละลายสลายไปในอากาศ มองไม่ละสายตา แม้กระทั่งกะพริบตาก็ไม่อยากทำ กลัวว่าหากกระพริบตาพี่นิจะหายไป วันนี้แสงระวีส่งข้อความไปบอกหนึ่งไว้แล้วว่า เที่ยงนี้ขอไม่คุยทางโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ ไม่สะดวกคุยเท่าไหร่ หนึ่งตกลงไม่เซ้าซี้ดีมาก โอกาสของแสงระวีที่จะได้มองพี่นิให้สมกับความคิดถึง ในฐานะพี่ชายและคนที่เคยปลื้มคนหนึ่ง
การแสดงชุดที่สองจบลงไปด้วยดี เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน เป็นการจบกิจกรรมในช่วงเช้า เธอปรบมือให้พี่นิรัว ๆ กันเลย ช่วงบ่ายจะเป็นแสดงของพี่ ๆ ม.ปลาย และเรื่องเล่าจากพี่ ๆ ศิษย์เก่าอีกตามเคย เรื่องการเรียนต่อ การออกไปใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่ การทำงานและอีกหลาย ๆ เรื่องที่พี่ ๆ จะนำมาเล่าให้ฟัง
แสงระวีกับเพื่อนนั่งเล่นที่ศาลาใต้ต้นเซี้ยวใหญ่หลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ มันแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาเย็นสบาย เหมือนฟ้ามีตาสวรรค์เห็นใจหรือย่างไร พี่นิเดินเข้ามาหากลุ่มของพวกเธอ มีพี่เอ็ม พี่บิลลี่ พี่บิ๊ก ซึ่งแสงระวีและเพื่อนรู้จักทุกคนดี จึงไม่อายอะไรมากนัก อีกทั้งพี่เอ็มเป็นพี่ชายของยูเอ็น นักเรียนคนอื่นจึงไม่ให้ความสนใจกับพวกพี่ ๆ ที่เข้ามาพูดคุยกับพวกเธอนัก
แสงระวี… บทที่ 9 (รีไรท์)
.
แสงระวีกับหนึ่งกลับมาคุยกันเหมือนเดิม แถมยังเพิ่มเวลาคุยกันอีกเป็นสองช่วงเวลา คือ ช่วงเลิกเรียนระหว่างที่รอพ่อกับแม่กลับมาจากทำงานนั่นแหละ ตอนเที่ยงทั้งสองคนคุยเรื่องทั่วไปสัพเพเหระ แต่ พอหลังเลิกเรียนหนึ่งจะช่วยติวหนังสือให้บ้างผ่านการโทรคุยกัน
เธอชอบนำโจทย์คณิตศาสตร์มาให้หนึ่งช่วยแก้สมการช่วยติวให้เสมอ สอนวิธีการคิดคำนวณ อะไรต่าง ๆ นานา เป็นแบบนี้ทุกวัน แม้กระทั่งการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หนึ่งสอนให้เธอลองคิดตามไม่ใช่สักแต่มองเห็น เช่น เรามองเห็นใบไม้ก็ต้องพยายามคิดว่าทำไมใบไม้มันมีสีเขียว สีเขียวเกิดจากอะไรทำนองนี้ นับว่าเป็นการคุยกันที่ไม่เปล่าประโยชน์เลย
“เกินไปมั้ยเนี่ยหนึ่งเห๊อะ ฮา” แสงระวีอดขำหนึ่งผ่านโทรศัพท์ไม่ได้ หัวเราะออกมาแล้วด้วย นึกในใจคนอะไรเด็กเรียนชะมัด เว่อเกินไปแล้ว แต่ก็ยิ้มให้โทรศัพท์
“อ้าวยังจะมาขำอีก หนึ่งพูดจริงนะเนี่ย แบบทำให้สมองแล่นอยู่ตลอดเวลาไง จะได้มีรอยหยักลึก ๆ บ้าง จะได้ไม่เรียบแป้เหมือนบางคน” พูดจบหัวเราะคิกคักให้เธอได้ยิน
“อ้าวหนึ่งว่าวีโง่เหรอ งั้นไม่ต้องสอนเลยอ่านเองก็ได้” แสงระวีทำเสียงงอนหน้างอให้โทร บังอาจมาว่าตนเองโง่ ทั้งที่ก็โง่จริง ๆ นั่นแหละ ตนเองยังไม่พูดอะไรเลย
“เปล่า ! “ ทำเสียงสูง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “หนึ่งไม่ได้ว่าวีสักหน่อย หนึ่งว่าคนอื่น บอกว่าบางคนน่ะได้เอ่ยชื่อวีหรือยัง โถ่ ! คนอะไรร้อนตัวเก่ง”
“ก็วีนั่นแหละ หึ พ่อคนฉลาดหลักแหลม” กลอกตามองบนให้โทรศัพท์ไปอีกที พูดประชดประชันด้วยความสะใจปนตลก ถึงจะประชดทว่าความจริงกำลังยิ้มอยู่
“เอ้า ! คนอะไรชอบคิดไปเอง หนึ่งว่าตอนไหนหนึ่งพูดว่าบางคนต่างหาก” ทั้งเขาและเธอเถียงกันไปเถียงกันมาปนไปด้วยเสียงหัวเราะ นึกตลกที่แกล้งแสงระวีได้
“ก็วีนั่นแหละก็หนึ่งว่าวีอ่ะ ไม่ต้องสอนแล้วไม่เรียนแล้ว “ ทำหน้างอง้ำให้คนในสาย
“เฮ้ยไม่ได้ ! อ่ะ ๆ ขอโทษก็ได้ มาเรียนต่อมาทำโจทย์ข้อนี้ต่อ” พอโดนขู่มาแบบนี้ก็รีบออกตัวขอโทษ ความจริงคือไม่อยากวางสายต่างหาก เรื่องติวเอาไว้ทีหลัง
แสงระวีคุยกับหนึ่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เธอนั่งบนแคร่กางสมุดหนังสือออกมาให้หนึ่งพาทำโจทย์คณิตศาสตร์ เป็นแบบนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน แสงระวีเก็บเรื่องนี้ไปเล่าให้เจลกลับเจนฟังถือเป็นเรื่องตลกเสมอ ๆ เช่นกัน เล่าถึงคนของใจเล่าอะไรไปก็มีความสุข
เธอคิดว่าเด็กเรียน หรือ คนที่เรียนหนังสือเก่ง ๆ เขามองเขาคิดแบบนี้กันเหรอ เดินไปเจออะไรก็เก็บเอามาคิดมาประมวลผลไปหมด สมมุติเดินไปเจอตอไม้ ทำไมตอไม้มันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมใบไม้แห้งต้องมีสีออกเหลือง ๆ เทา ๆ แบบนี้เหรอ เหอะ! อาการหนักเกินไปแล้ว อมยิ้มเมื่อใบหน้าใครบางคนลอยเข้ามาในความคิด ระหว่างนั่งเม้าท์รายวันกับพี่สาวทั้งสองคน
“ถึงว่าไอ้เป็ดนี่เรียนเก่งเป็นบ้าเลยวี” เจนเองก็พึ่งรู้ความคิดของหนึ่งในวันนี้เอง
“ก็มันคิดแบบนี้ ! ฮา” ทั้งสามคนหัวเราะให้กันและกัน
ถึงจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกแสงระวีก็แอบปลื้มอยู่ไม่น้อย ที่หนึ่งเป็นเด็กเรียน ชอบที่หนึ่งเป็นแบบนี้ ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า เป็นผู้ชายในฝันเลย ตรงข้ามกับตนเองที่แอบดื่มมาบ้างแล้ว หรือว่าหนึ่งอาจจะแอบทำมาบ้างเหมือนกัน ช่างเถอะเรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรมากมาย นึกถึงด้วยความสุข
วันเวลาผ่านไปจนมาถึงวันสำคัญของโรงเรียนอีกหนึ่งวัน ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ขึ้น ไม่มีการเรียนการสอน นักเรียนทุกคนไปรวมตัวกันที่หอประชุมเพื่อทำกิจกรรมนั้น ทางคณะครูจัดให้นักเรียนนั่งเป็นแถวหน้ากระดาน เรียงลำดับชั้น แถวแรกเป็นน้อง ม.1 แถวที่สองเป็นน้อง ม.2 และไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้น ม.6
ทุกระดับชั้นมีการเตรียมการแสดงของตนเอง ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีเพื่องานวันนี้โดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นมีเธอด้วยที่เข้าร่วมทำกิจกรรมของห้อง จะขาดเธอได้อย่างไรล่ะก็เธอเป็นเจ้าแม่กิจกรรมของทางโรงเรียนหนิ ใบประกาศนียบัตรเต็มบ้าน
กิจกรรมช่วงเช้ามีการมอบรางวัลการแต่งกลอนเกี่ยวกับสุนทรภู่ ให้กับผู้เข้าแข่งขันด้วย ซึ่งเธอก็ได้แต่งส่งเข้าประกวด
“รางวัลชนะเลิศกลอนแปด หัวข้อ สุนทรภู่ครูกวีของไทย ได้แก่ “เด็กหญิง แสงระวี มงคล นักเรียนชั้น ม.3/5 ครับ” ครูพิธีกรประกาศชื่อของเธอ เพื่อน ๆ ทั้งห้องกรี๊ดแสดงความยินดีกับเธอด้วย พร้อมเสียงปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความตื่นเต้น เป็นหน้าเป็นตาของห้อง อาจารย์ที่ปรึกษาได้หน้าไปเต็ม ๆ
ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์มีการติดผลงานของแต่ละคนไว้ รางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชยมีของใครบ้าง แสงระวีต้องหน้าบูดหัวเสียกลับมาหลังจากขึ้นไปรับรางวัลเสร็จ ขณะเดินผ่านคุณครูท่านหนึ่ง คุณครูคนนั้นพูดเปรย ๆ ออกมาคงไม่ทันเห็นว่าแสงระวีเดินผ่าน “ไปก็อปมาจากเน็ตแน่ ๆ ไม่เชื่อหรอกว่าแต่งเอง”
อ้าว! ไม่เชื่อในฝีมือนักเรียนของตัวเองเลยเหรอ เธอมองค่อนขอดคุณครูท่านนั้นด้วยความเจ็บใจ “กูจะไปก็อปเอาจากเน็ตตอนไหน กูก็แต่งต่อหน้าครูอ่ะวันนั้น “ ตอบกลับในใจด้วยความเจ็บใจ ทำไมพูดออกมาได้เช่นนี้ ก็ในเมื่อวันที่แต่งกลอนเข้าประกวด ก็ไปนั่งเขียนต่อหน้าคุณครูนี่ ถอนหายใจแล้วเดินผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทางโรงเรียนรับสมัครนักแต่งกลอน แสงระวีสมัครกับเพื่อนสองคน เข้าไปนั่งแต่งในห้องที่ทางโรงเรียนจัดไว้ พร้อมมีครูผู้คุมด้วย ไม่มีโอกาสได้เปิดใช้อินเทอร์เน็ตสักนิด คนที่ชนะเลิศก็มามอบรางวัลในวันนี้ แสงระวีได้แต่เก็บความโมโหไว้คิดได้แค่ในใจ และเดินจากไปกลับมานั่งในแถวเหมือนเดิม
“อ้าวหน้าบูดจังเลยวี ไม่ดีใจเหรอที่หนึ่งนะมืง” ฝ้ายถาม เห็นแสงระวีหน้าบึ้งเข้ามานั่งในแถว ตนเองก็แต่งเข้าประกวดเหมือนกัน ทว่าไม่ผ่านการคัดเลือก
“มีคนหาว่ากูก็อปจากเน็ตมาอีฝ้าย กูโมโหมากเนี่ย” แสงระวีระบายกับฝ้ายเพื่อนสนิทอย่างเดือดดาล
“ใคร !” ฝ้ายเองก็อยากรู้ว่าใคร เพราะวันเข้าประกวดฝ้ายก็เข้าประกวดด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปเปิดเน็ต
“ช่างเหอะ” แสงระวีปฏิเสธ ก่อนจะนั่งเงียบ ๆ ดูนักเรียนคนอื่นเดินไปรับรางวัล
พอแสงระวีไม่ยอมบอก ฝ้ายก็ไม่เซ้าซี้หันไปชมกิจกรรมที่ด้านหน้าเวทีต่อ ขณะนี้ยังทำการมอบรางวัลการประกวดต่าง ๆ ยังไม่เสร็จ พร้อมชมการแสดงของแต่ละช่วงชั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเลิกเรียน ส่วนแสงระวีนั่งหน้าบึ้งยังไม่หายโกรธและคิดมากกับคำพูดของครูท่านนั้น ปรายตามองไปเห็นทีไรแอบเบะปากให้ทุกที
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้แสงระวีหายโกรธเป็นปลิดทิ้งไปเลยคือ มีคณะรุ่นพี่ศิษย์เก่าเข้ามาร่วมกิจกรรมในวันนี้ด้วย มันช่างตื่นเต้นเหลือเกินเมื่อหนึ่งในคณะศิษย์เก่าที่มาในวันนี้ มีใครบางคนที่ตนเองรู้จักดีและแสนจะคุ้นเคย
พี่ ๆ ศิษย์เก่ามีทั้งรุ่นที่เธอเข้าเรียนทันและไม่ทันบ้าง นักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนก็มาร่วมกิจกรรม พวกพี่ ๆ มีการจัดเตรียมการแสดงให้พวกน้อง ๆ ชมด้วย มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นมากเกือบเป็นลมและไม่เป็นตัวของตัวเองคือการมาของพี่นินั่นเอง
พี่นิเดินผ่านแถวของเธอไปนั่งเก้าอี้ที่ทางโรงเรียนจัดให้ ที่จริงรุ่นพี่ศิษย์เก่ามาเยี่ยมโรงเรียนทุกปี บ้างก็มาวันไหว้ครู บ้างก็มาวันกีฬาสีของโรงเรียน ที่สำคัญทุก ๆ ปีจะมีการจัดผ้าป่าศิษย์เก่าในวันขึ้นปีใหม่ด้วย มอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การเรียนให้แก่พวกน้อง ๆ รุ่นหลัง
“อี่ยูเอ็น อี่ฝ้าย มืงเห็นมั้ยนั้น มืงเห็นมั้ย พี่นิของกูก็มา” แสงระวียิ้มค้างมือเขย่าไหล่ฝ้ายสายตาจับจ้องมองไปยังพี่นิที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งขวามือ นั่งชมกิจกรรมและรอขึ้นไปพูดคุยพบปะกับน้อง ๆ
เหมือนพี่นิยังจำเธอได้ เที่ยวมองมาที่เธอเหมือนกัน พี่นิมองเห็นเพราะเธอนั่งอยู่ช่วงหัวแถว สองสายตาประสานกัน พี่นิแอบส่งยิ้มให้เธอนิดหน่อย เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขินนั่งไม่ติดกันเลย แทบอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
“อี่วีน้อย ๆ หน่อย อี่แรด! เก็บอาการก่อน เลิกกิจกรรมค่อยไปกรี๊ดสดีดสดิ้ง” ฝ้ายผู้เบื่อแสงระวีเหลือเกิน เพราะเจ็บหัวไหล่ แทบจะระบมไปครึ่งตัวจากการเขย่าแก้เขินของเพื่อน ฝ้ายรู้เรื่องพี่นิดี “แล้วผู้ชายในเมืองของมืงอ่ะ ลืมเค้าแล้วเหรอ” ฝ้ายถามเตือนความจำ
“ฝ้ายคนนั้นก็ส่วนคนนั้น วินาทีนี้คนนี้เว้ย ฝ้ายกูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย พี่นิใช่มั้ยมืง” แสงระวีพูดปนยิ้ม มันตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก อมยิ้มตลอดเวลา ยิ้มเก้อปากแทบฉีกถึงใบหู
“ยูเอ็นมืงตบมันดิ๊ มันจะได้รู้ว่ามันไม่ได้ฝันไป มืงดูเพื่อนมืงแรดขนาดไหน” ฝ้ายกลอกตามองบนให้เธอ เริ่มเบื่ออาการตื่นเต้นที่เห็นผู้ชายของเธอแล้ว
“วีน้อย ๆ หน่อย เห็นมั้ยไอ้แท็กมันมองมืงน่ะ” ยูเอ็นบอก พร้อมสะกิดให้เธอหันมองตาม
“ช่างปะไร ใครแคร์มัน” ไม่ยอมหันไปมองตามที่เพื่อนบอก ทว่าก็หุบยิ้มทำหน้านิ่ง ๆ ต่อไป ก่อนที่จะกลับมาลืมตัวอีก อมยิ้มให้กับพี่นิเหมือนเดิม
ในช่วงเช้าจะเป็นการแสดงของนักเรียนชั้น ม.ต้น เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นของทั้งสามชั้นตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 ก็จะเป็นการแสดงพิเศษจากพี่ศิษย์เก่าที่มาในวันนี้ พี่ ๆ เตรียมการแสดงกันมาทั้งหมดสองชุด เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วหอประชุม เป็นการบ่งบอกว่าชื่นชอบการแสดงนี้มาก ๆ
หลังจากการแสดงชุดแรกจบไป ต่อไปก็เป็นการแสดงชุดที่สอง โดยมีพี่นิร่วมแสดงในนั้นด้วย พี่นิแสดงเป็นสุนทรภู่ สุนทรภู่ที่หล่อเหลาน่าเอามาทำแฟนมาก พี่นิเคยหล่อแบบไหนในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังหล่อเหมือนเดิม แถมน่าจะหล่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ นักเรียนทุกคนต่างนั่งชมด้วยความตื่นเต้นปนความสุข ดูจะให้ความสนใจและตั้งใจดูกว่าการแสดงของนักเรียนด้วยซ้ำ
แสงระวีนั่งมองดูแทบจะละลายสลายไปในอากาศ มองไม่ละสายตา แม้กระทั่งกะพริบตาก็ไม่อยากทำ กลัวว่าหากกระพริบตาพี่นิจะหายไป วันนี้แสงระวีส่งข้อความไปบอกหนึ่งไว้แล้วว่า เที่ยงนี้ขอไม่คุยทางโรงเรียนจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ ไม่สะดวกคุยเท่าไหร่ หนึ่งตกลงไม่เซ้าซี้ดีมาก โอกาสของแสงระวีที่จะได้มองพี่นิให้สมกับความคิดถึง ในฐานะพี่ชายและคนที่เคยปลื้มคนหนึ่ง
การแสดงชุดที่สองจบลงไปด้วยดี เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน เป็นการจบกิจกรรมในช่วงเช้า เธอปรบมือให้พี่นิรัว ๆ กันเลย ช่วงบ่ายจะเป็นแสดงของพี่ ๆ ม.ปลาย และเรื่องเล่าจากพี่ ๆ ศิษย์เก่าอีกตามเคย เรื่องการเรียนต่อ การออกไปใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่ การทำงานและอีกหลาย ๆ เรื่องที่พี่ ๆ จะนำมาเล่าให้ฟัง
แสงระวีกับเพื่อนนั่งเล่นที่ศาลาใต้ต้นเซี้ยวใหญ่หลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ มันแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาเย็นสบาย เหมือนฟ้ามีตาสวรรค์เห็นใจหรือย่างไร พี่นิเดินเข้ามาหากลุ่มของพวกเธอ มีพี่เอ็ม พี่บิลลี่ พี่บิ๊ก ซึ่งแสงระวีและเพื่อนรู้จักทุกคนดี จึงไม่อายอะไรมากนัก อีกทั้งพี่เอ็มเป็นพี่ชายของยูเอ็น นักเรียนคนอื่นจึงไม่ให้ความสนใจกับพวกพี่ ๆ ที่เข้ามาพูดคุยกับพวกเธอนัก