ลุงข้างทางตอนสิบ(Furryjit)

มาลัยที่เพิ่งล้มไปกองกับพื้นอย่างไม่ได้ตั้งตัว พอได้ยินเสียงว่าใครเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ก็เกิดความยินดีเป็นล้นพ้น  ผุดลุกขึ้นจะก้าวเข้าไปหาในทันที แต่ท่านหันมามองมาลัยด้วยสายตาผู้ใหญ่มองผู้เยาว์ และส่ายหน้าปรามพร้อมยิ้มแฉ่งว่าอย่าเพิ่ง 

อสูรร่างมโหระทึก ยังครวญครางเสียงสะทือนประสาทไม่หยุดยั้ง มือใหญ่ลอยอยู่ในอากาศสะบัดเร่าๆ  ราวกับดิ้นไม่หลุดจากสิ่งที่กำแน่นไว้ และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

“โอ้ย เจ็บปวดเหลือเกิน ทะ ท่านอสุนี ข้าขอสมาโทษ ปลดปล่อยข้าด้วยเถิด”

นราและสหายทั้งสองที่รอดพ้นอุ้งมือของยักษ์พอหายตะลึง  ก็หันไปมองทางที่ชายชรา
ปรากฎตัวขึ้น ชายหนุ่มผู้เป็นหลานในอดีตชาติปรี่จะเข้าไปหา ร้องอุทานขึ้น

“ลุง” 

แต่หญิงสาวมาลัยเข้ามาขวางทางเสียก่อน สายตาของเธอแม้แสดงความซาบซึ้งใจ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแสดงความขึ้งโกรธ

“นรา เธอผลักฉันให้พ้นทางทำไม”

นรากระสับกระส่ายอยากไปหาคุณลุงตัวเองเหลือเกิน แต่จนใจด้วยที่หญิงคนรักมากั้น เขาเลยพูดออกมาอย่างร้อนใจ

“เห็นไหมว่าเพื่อนสองคนมายืนเคียงข้างร่วมตายด้วยกัน ถึงฉันปกป้องชีวิตเขาไม่ได้ แต่จะไม่ทิ้งพวกเขาแม้แต่ก้าวเดียว แต่วิมาลา เธอคือหัวใจของฉัน ฉันอยากให้เธอรอด เลือกที่จะตายกับมิตรแท้”

ถึงแม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะกระวนกระวาย แต่ก็จับอารมณ์ความจริงใจของเขาได้ไม่ยาก หญิงงามน้ำตาซึมยกมือขึ้นลูบหน้านรา

“แล้วคิดไหม ต่อให้ฉันมีชีวิตต่อ จะอยู่ไปได้อย่างไรถ้าไม่มีเธอ ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีก”

นัยน์ตาสีเหล็กของชายชราผู้มีบารมีเหลือบมามองทางคู่หนุ่มสาวอย่างพึงใจ ก่อนหันไปทางอสูรร่างใหญ่คับฟ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ขอขมาหลานข้า แล้วให้สัตย์สาบานว่า นับต่อจากนี้ไปจะไม่ก่อกรรมระรานมนุษย์อีก”

ดวงตาที่ถลนแตกซ่านด้วยความรวดร้าวสาหัส กวาดมองดูบรรดามนุษย์ตัวจ้อย แล้วก็หยุดลงที่นรา ด้วยฤทธาที่พอมีหยั่งรู้ได้ว่าต้องเป็นชายหนุ่มคนนี้ไม่ผิด ร่างใหญ่ปานขุนเขาย่อตัวคุกเข่า

พอนราตั้งสติได้ ก็มือไม้ปั่นป่วนรีบห้ามทันที ตามวิสัยคนใจอ่อน

“ไม่ต้องครับ เอ่อ คุณยักษ์ ผมไม่ติดใจโกรธเคืองอะไร แต่ต่อไปต่างคนต่างอยู่ก็ดี เห็นแบบไม่ตั้งตัวหัวใจผมจะวาย”

ความเจ็บปวดปลาสนาการไปจากท่อนแขนอันมหึมานั่นแล้ว ยักษ์ปล่อยให้มันร่วงลงห้อยข้างตัว

“ขอบคุณมาก ข้าสำนึกในน้ำใจท่านยิ่งนักที่ไม่เอาความ เอาเยี่ยงนี้ ข้าจักไปหักคอผู้ที่ไหว้วานเรียกร้องให้มาทำร้ายท่านเป็นการตอบแทน”

นราแสดงสีหน้าตกใจ หันไปสบสายตากับมาลัยหญิงคนรักอย่างปรึกษา แต่เธอส่ายหน้าเป็นทำนองว่าให้ตัดสินใจเอาเอง ชายหนุ่มลนลานพูดขึ้น

“อย่าให้เป็นบาปกรรมกันต่อไปเลย พี่ยักษ์  ผมพอจะรู้ว่าเป็นใคร เรื่องอย่างนี้ผู้ชายกับผู้ชายตกลงกันได้ “

ใบหน้าถทึง คิ้วหนาตาโปนมองนราอย่างแปลกใจ แต่ก็ค้อมศีรษะให้อย่างเคารพ

“ท่านผู้นี้ประหลาดนัก ไม่ติดใจเคียดแค้น แต่เอาเถอะ แต่ถ้าวันหลังเปลี่ยนใจ ข้าจะสนองความต้องการของท่าน”

ยักษ์ใหญ่พุ่มมือไหว้ลาชายชราด้วยความเกรงขาม แต่โดนโบกมือไล่ สุ้มเสียงแกอ่อนโยนขึ้น

“ไปเถอะ  ไหนๆข้ามมาพิภพมนุษย์แล้ว ก็หัดสร้างบุญกุศลใส่ตัว เอาไหมอยู่แถวนี้ช่วยพิทักษ์ปกปักความสงบเรียบร้อย ข้าจะให้หลานข้าปลูกศาลให้อยู่”

เจ้าของเขี้ยวโง้งเบิกตาโพลง สองเข่าทรุดลงจนแผ่นดินสะเทือน ก้มลงกราบอย่างนอบน้อม

“เป็นคุณแก่ตัวข้ายิ่งนัก ข้าอยู่ในภพยักษ์ มิมีโอกาสได้สัมผัสเนื้อนาบุญเลยแม้แต่น้อย หากมีโอกาสได้สร้างบุญกุศลบ้าง บางทีข้าอาจได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าเดิม”

แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัว

“ข้าขอเครื่องเซ่นกินแต่พอประทัง สุดแต่ท่านจะเมตตาเถิด เพราะข้าปฏิญาณว่าจะไม่พล่าพลานชีวิตสัตว์โลกใ”

แล้วถอยหลังร่างใหญ่โตหายวับไปกับตา คราวนี้ชายชราผู้องอาจเปิดโอกาสกวักมือให้หนุ่มสาวเข้าไปกราบ 

“เป็นไงแม่วิมาลา อ้อ ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกชื่อมาลัยแล้วสินะ อย่าแง่งอนนักเลย เจ้านรามันมิใช่พิสูจน์หัวใจให้เห็นแล้วหรือ ประเดี๋ยว” ชายชราหันขวับไปยังในบ้าน แล้วส่งสายตามาทางเจ้าจ๋านซึ่งพอประสานกันมันรีบพนมมือก้มไหว้ทันที

“มันเล่นส่งลมเพลมพัดมาใส่เมียเอ็งเสียแล้ว เดชะบุญอีนางหนูพิมพ์ มันมีวิญญาณที่สำนึกบุญคุณมาคอยเตือนภัย”

ขออนุญาตตัดมาที่อีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นไล่หลัดกัน หญิงสาวคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์กลับมายังทางเข้าหมู่บ้าน  เวลานั่นย่ำค่ำอาทิตย์กำลังอัสดง หนทางแสนเปลี่ยวไร้ผู้คน แสงไฟหน้ารถสาดส่องให้เห็นผงคลีดินที่ฟุ้งกระจาย

“ขวัญเรือน”ครูสาวสอนเด็กมัธยมประจำอำเภอ ปกติเธอจะนอนที่บ้านพักครูห่างจากจากตัวโรงเรียนไม่มากนัก ไม่ขับรถมืดๆค่ำๆเช่นนี้ แต่เนื่องด้วย”ขวัญใจ”ลูกพี่ลูกน้องของเธอโทรศัพท์หาเมื่อไม่นานมานี้ สุ่มเสียงฟังดูแล้วไม่ค่อยดีนัก เหมือนคนมีอะไรอยู่ในใจอยากปรึกษา 

วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดราชการ เธอเลยตัดสินใจมานอนค้างคืนกับขวัญใจ เนื่องด้วยคิดถึงไม่ได้พบหน้ากันมาได้สักพัก

ไม่ทันรู้ตัว เมื่อหักหัวรถเข้ามาทางโค้ง ก็ปะเข้ากับลำต้นของไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ล้มขวางถนนเอาไว้ หญิงสาวเห็นได้ทันทีจากแสงไฟหน้า และเนื่องจากขับด้วยความระมัดระวังจึงเบรครถได้อย่างไม่ฉุกละหุกนัก

เครื่องรถยังติดอยู่ ขณะหญิงสาวรำพึงในใจว่าทำไมมีต้นไม้มาล้มตรงนี้ ก็เกิดใจหายวาบขึ้น เมื่อคิดได้ว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ขณะจะหักหัวรถกลับ ชายสวมหน้าด้วยผ้าไหมพรมสี่ร่างก็กรูกันออกมาจากข้างทาง ยึดแขน ยึดรถ ยึดกุญแจหญิงสาวไว้

หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติ  หมดหนทางหนีโดยสิ้นเชิง เพราะถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เรี่ยวแรงที่ผิดแผกแตกต่างทำให้หญิงสาวถูกรวบตัวอย่างหมดอิสรภาพ

แน่นอนว่าเสียงร้องท่ามกลางป่าละเมาะและทุ่งหญ้าในความมืด ย่อมไม่มีผู้ใดได้ยิน ชายทั้งสี่กระชากลากถูเธอเข้ามาในพงอย่างไม่ปราณีปราศรัย เสียงร้องอย่างกระหยิ่มจากปากเดนมนุษย์ผู้หนึ่งดังขึ้น

“อีขวัญเรือน เล่นตัวดีหนัก จีบดีๆไม่ชอบ ถ้างั้นเดี๋ยวกรูยัดเยียดความเป็นผัวให้เอง ร้องไปเลย ไม่มีหมาตัวไหนได้ยินหรอก ยิ่งร้องกรูยิ่งสะใจ ถ้ายิ้มเอาใจกรูดีๆ จะโดนแค่อันเดียว แต่ถ้าขัดใจจะโดนครบทุกอัน”

เสียงหัวเราะประสานดังมาจากชายโฉดที่เหลือ จากแรงกดโดยพร้อมเพรียง ทำให้หญิงสาวสุดที่จะต้านทานได้ ล้มตัวลงกับพื้นดิน เสื้อถูกกระชาก กระโปรงถูกถลกขึ้น เธอได้แต่ร้องไห้โหยอมรับชะตากรรม

ก่อนที่เหตุการณ์อันหนึ่งอันใดจะดำเนินต่อไป ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมาจากส่วนลึกในป่าพะยูง มันเป็นเสียงลมที่ผ่อนออกมาอย่างผิดแผกมนุษย์มนา เพราะมันดังราวกับลำโพงหกหลอด

สัตว์มนุษย์ที่กำลังหน้ามืดหยุดชะงักการกระทำชั่วทันทีอย่างตกใจ เหลียวมองไปรอบๆอาณาบริเวณ สามสี่คนที่เหลือก็ลุกขึ้นมองหน้ากันเหลอหลา ชายคนหนึ่งกระชากมีดพกออกจากเอว ร้องลั่นพลางกวาดสายตาไปในความมืด

“หมาตัวไหนว่ะ แน่จริงออกโชว์ตัวสิว่ะ”

มีเสียงกระดูกลั่นเหมือนร่างใหญ่โตลุกขึ้น เสียงครืนๆเหมือนไม้ใหญ่โดนแหวกดังเป็นทาง พร้อมเสียงก้องกังวานดังเข้ามาใกล้

“ไม่ใช่หมาโว้ย แน่ใจนะว่าอยากเห็นข้า อุตส่าห์มานอนสงบสติอารมณ์ในป่ารอหลานท่านอสุนีสร้างศาลให้อยู่ ยังต้องมาเจอพวกมนุษย์ชั่วช้าข่มเหงสตรี”

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ตกตะลึงพรึงเพริด ตาโพลงอ้าปากค้างไปตามๆกัน ฉี่ราดกันเต็มกางเกง เมื่อเห็นร่างขนาดใหญ่เท่าตึกโผล่พ้นออกมาจากราวป่า มือใหญ่มหึมาราวปั่นจั่นกำแน่นคล้ายอยากบดขยี้เต็มที่ แต่ในที่สุดก็สะกดใจไว้ได้ เหมือนเจ้าตัวเกรงบาปกรรม ในที่สุดก็แค่เอาปลายนิ้วยักษ์เขี่ย แต่ก็มีผลให้ร่างชายสี่คนกระเด็นกระดอนไปคนละทาง หลังกระแทกจนจุกอักไปตามๆกัน ก็ลุกขึ้นวิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง

ยักษ์ใหญ่ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วรำพึงกับตัวเอง

“ดีแล้วที่เราไม่ฆ่าพวกมัน อดใจไว้ได้ มิเช่นนั้นบาปกรรมจะพัวพันเราไม่หลุดพ้น ทำให้ไม่ได้ไปสู่สภาวะที่สูงกว่า”

มองลงไปยังดรุณีที่นอนอย่างทุรนทุรายน่าสงสารบนพื้นดิน ดวงตานางมองมาเหลือกลานอย่างเกรงกลัว แม้กระทั่งเสียงหวีดร้องยังไม่มี ก็ให้อนาถใจตัวเองยิ่งนัก

“สีหน้านางน้อยผู้นั้น กลัวเรายิ่งกว่ามนุษย์ที่กำลังจะละเมิดพรหมจารีนางเสียอีก เห็นทีเราจะอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไปให้พ้นๆเสียที”

สายตาโปนน่ากลัวคู่นั้นเหลือบมองหญิงสาวอย่างเวทนา ยกมือปาดทีหนึ่ง บรรดากิ่งก้านใบไม้ก็ร่วงลงปกคลุมร่างอุจาดตาของหญิงสาวให้มิดชิดอบอุ่น พลางหันหลังเดินไป แต่ไม่คาดมีเสียงเปล่งติดตามมา

“ท่าน ท่านยักษ์ ขอบพระคุณท่านแ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่