แสงสีมรกตเจิดจ้าขึ้นในบัดนั้น ฉาบฉายรังสีทั่วทั้งกำแพงในห้องโถง สายตามนุษย์ทุกคนฝในที่นั้นพร่าเลือนเพราะไม่อาจต้องสู้รัศมีนั้นได้ มาลัยเพียงผงะไปชั่วขณะก็กลับขึ้นสู่ปกติ
ร่างชายกำยำในชุดจูงกระเบนสีเงินปรากฎขึ้นแทนที่ เขาเปลือยหน้าอกเป็นแผง สวมมงกุฎสีทองมลังมเลือง สวมสร้อยทับทรวงเส้นโต
ชายชราผู้เป็นที่เคารพและที่พึ่งของทุกคนร้องทักขึ้น
“ฮ่า ท่านนรคินทร์ ไปบำเพ็ญตนครานี้แสงบงกชเปล่งปลั่งขึ้นมากมายทีเดียว”
ชายรูปงามคนนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อย จะเป็นด้วยตอบรับตามมารยาทหรือแสดงออกซึ่งความเคารพในฐานะยศของผู้เป็นเทพด้วยกันก็ได้ทั้งสองอย่าง
ทันใดนั้นเอง ทั้งๆที่ริมฝีปากเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ทุกคนก็ได้สดับเสียงในโสตประสาทชัดแจ้ง
“ข้าไปเข้าญาณตบะมา ไม่ได้รับทราบว่าท่านอสุนีมารับหน้าที่สอดส่องดูแลถิ่นนี้ เป็นที่เสียมารยาทแล้ว”
ทุกคนยกเว้นมาลัยพากันตะลึงพรึงเพริดไปหมด เมื่ออยู่ดีๆงูยักษ์ก็แปลงตัวเป็นคนได้ เสียงลุงอันเป็นที่รักของทุกคนก็พูดตอบขึ้น
“เกรงใจไปแล้วท่านนรคินทร์ ขอตัดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ประยูรญาติท่านอวดเบ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์ในย่านนี้ หลานสาวของข้าจำเป็นต้องดับชีพเสีย เพราะมิเช่นนั้นมิทราบว่าบริวารแห่งท่านจะพล่าผลาญชีวิตคนและสัตว์ไปอีกเท่าไหร่”
(นักอ่านทุกท่านยังจำเรื่องที่คุณพิมยิงงูหลามยักษ์ได้ไหมครับ)
ท่านอสุนีพูดพลางผายมือมาที่คุณพิม ชายคนนั้นกวาดสายตาคมกริบตาม แม้สีหน้าเขาจะราบเรียบไม่แสดงความรู้สึก แต่คุณพิมก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆ เข้ากอดต้นแขนเจ้าจ๋านสามีเป็นที่พึ่ง
“บุญญาดี” ได้ยินเสียงหนักๆของชายคนนั้นกล่าวขึ้นโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของปาก “มิเช่นนั้นคงปลิดปลงบริวารเราไม่ได้”
เหมือนว่าคุณุลุงจะนึกรำคาญ ด้วยภารกิจในค่ำคืนนี้ของท่านมากมายก่ายกอง จึงได้พูดตัดบทขึ้น
“เอาอย่างนี้ ท่านนรคินทร์ก็ได้สร้างบารมีถึงเพียงนี้แล้ว จะให้อภัยบุตรหลานของข้าได้หรือไม่”
ชายคนนั้นนิ่งไปสักครู่ แล้วมีเสียงพูดอย่างตกลงปลงใจขึ้น
“บริวารเราได้เสวยกรรมตามที่มันกระทำความผิดแล้ว เรามาที่นี่มิได้มาเอาแค้นจากผู้ใด เพียงแต่อยากมาพบมนุษย์ธรรรมดาผู้มีบุญญาเวช ถึงขั้นฆ่าบริวารเราได้เท่านั้น”
“”ปัทโธ่” คุณลุงอุทาน คล้ายๆท้วงติงมิตรสหาย “แล้วท่านนรคินทร์จะมาทั้งทีก็มาดีๆไม่ได้ มาทำให้ลูกหลานมันตกใจทำไมเปล่าๆปลี้ๆ เสียเวลาข้าแท้ๆ”
มีเสียงกระอ้อมกระแอ้มดังมาจากชายหนุ่มคนนั้นคล้ายขวยเขิน
“ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับมนุษย์มนานัก ลืมตัว ก็เลยมาในสภาพที่แท้ของข้า นางหนูมนุษย์ตนนั้นคงเสียขวัญแย่แล้ว มานี้เถอะ ข้าจะมีของรับขวัญให้”
น้องนาถยาทำหน้าเลิ่กลั่ก ขยับเข้าชืดเจ้าหยกอย่างลืมตัว คุณลุงหันมามองแล้วยิ้มขันๆอย่างเอ็นดู
“ไปสินางหนู อย่ากลัวไป ท่านนรคินทร์มีเมตตาก็เป็นบุญของเอ็งแล้ว”
นาถยามองสบตาพี่สาวคุณพิมแบบทำอะไรไม่ถูก คุณพิมพยักหน้าให้ สาวน้อยจึงได้คลานเข้าไปหาท่านพญานาคอย่างกล้าๆกลัวๆ
ท่านนรคินทร์เอื้อมมือแตะเรือนผมหญิงสาวอย่างปราณี สัมผัสอบอุ่นของท่านทำให้เธอคลายความหวาดกลัวลง
“อย่ากลัวไปใย แม่หนูเอ๋ย เราต้องขอโทษด้วยที่มาในร่างงูที่แท้จริง เราจะมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้าเพื่อชดเชย”
แล้วท่านก็ยื่นสิ่งหนึ่งให้ น้องนาถยาอึกอักรับมาโดยไม่กล้าเงยหน้า บรรดาคนที่เหลือก็เพียงแต่เหลือบตา ไม่กล้ามองเช่นกัน เพียงเห็นแว่บเดียวว่าเป็นมรกตเลอค่า
“บ้ะ” ท่านอสุนีอดไม่ได้หลุดเสียงออกมา” บุญของเอ็งอย่างที่สุดแล้วนางหนู ท่านนรคินทร์ถึงกับมอบเกล็ดแก้วมรกตให้ ต่อจากนี้ไปบรรดาอสรพิษใดๆไม่กล้ากล้ำกรายใกล้หนีห่างเอ็งเป็นโยชน์ ตกน้ำก็ไม่จม บรรดาผีสาง ของเสนียด
จะแตะต้องเอ็งไม่ได้เป็นอันขาด เป็นของบริสุทธิ์คุณของคนที่ประกอบคุณงามความดี บูชาให้ดีๆนะนางหนู”
แม้จะบำเพ็ญภาวะที่พ้นอารมณ์ทั้งเจ็ดมานานแล้ว ท่านนรคินทร์ก็อดพึงใจในคำเยินยอของชายชราไม่ได้
“เป็นไรไม่ได้ดอกท่านอสุนี ของรับหน้าหลานสาวเล็กๆเท่านั้น อ๋อ ถ้านางหนูเอ็งเจอใครโดนงูพิษกัด ให้เอาเกล็ดแห่งข้าไปทาบที่ปากแผล พิษจะไหลหลั่งออกมาเอง แต่ถ้าเป็นใครที่ชะตาถึงฆาตก็ช่วยไม่ได้”
แล้วท่านก็มองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นอย่างปลงอนิจจัง
“ใจจริงข้าอยากจะคายพิษไว้รอบๆนิวาสสถานของพวกเจ้า คนชั่วร้ายจะได้เข้ามาไม่ได้ แต่มีท่านอสุนีอยู่แล้ว คงไม่มีเภทภัยใดล่วงล้ำเข้ามาได้ดอก เอาเยี่ยงนี้แล้วกัน หากมีสิ่งชั่วช้าใดคุกคามพวกเจ้าให้เอ่ยชื่อเรา แล้วเราจะมา”
พูดจบท่านก็หายวับไปกับตาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ผมกับทุกคนหันหน้ามองกันไปมาโดยไม่มีคำพูด ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันนับตั้งแต่เย็นยันล่วงครึ่งคืนไม่มีใครได้ตั้งตัวทัน
ลุงหัวร่อหึๆ แล้วพูดขึ้น
“ไปล่ะโว้ย คราวนี้ได้ไปจริงๆสะที” แล้วแกก็หันหน้าเดินออกไปจากห้องโถงบ้านโดยไม่มีการร่ำลาซ้ำสอง ทุกคนยกมือไหว้ลากันแทบไม่ทัน
เราที่เหลือมองหน้ากันอย่างไม่มีคำพูดใดๆ น้องนาถยาแบมือออกมาทำให้เห็นสีมรกตเปล่งประกาย เป็นวัตถุพยานว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ฝันไปเอง
คุณพิมเหมือนคืนสติได้ก่อนใครเพื่อน บอกกับน้องสาวว่า
“เก็บไว้กับตัวให้ดีๆนะน้องยา ทุกคน ทานข้าวกันนะค่ะ”
หลังจากอาหารมื้อค่ำที่ช้าแสนจะล่วงเลยผ่านไป เวลาการส่งตัวเข้าห้องหอก็มาถึง เจ้าหยกออกมานอนข้างนอกกับเจ้าจ๋านในห้องโถง ทั้งสองไม่ได้หลับได้นอนกันจริงๆหรอก คงติดลมกินไวน์ต่อกันอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้เช่นนั้น เจ้าหยกก็ไม่ละทิ้งหน้าที่ดูแลหญิงสาวผู้ซึ่งเกือบเป็นเหยื่ออาชญากรรมของการโดนรุมข่มขืน เมื่อตรวจดูอุณหภูมิแล้วว่าไม่มีไข้ขึ้น ขวัญเรือนยังคงหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา เจ้าหยกจึงกลับมากินไวน์กับเจ้าจ๋านอย่างวางใจ
ภายในห้อง นรากับกับมาลัยนั่งกันบนเตียงนอนอย่างทำอะไรไม่ถูก ทั้งคู่พูดกันโดยไม่มองหน้า กระดากซึ่งกันและกัน
“วิมาลา เธออยากนอนติดหน้าต่างหรือนอนฝั่งนี้” นราปลุกปลอบใจพูดขึ้น หญิงสาวมาลัยก้มหน้าเอียงอาย
“ฉันนอนตรงนี้ก็ได้ “
“ฉันนอนกรนนะ คงไม่รังเกียจ”ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างอายๆ แอบชำเลืองมองสาวสวย
“ไม่เป็นไรหรอกนรา ฉันขอสารภาพว่าเคยแอบมาดูเธอตอนหลับตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นผีอยู่ เธอนอนกรนเสียงดังทีเดียว แถมยังละเมอด้วย” คราวนี้มาลัยลืมเขิน หันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาเปล่งประกายความรักอย่างเผลอตัว
นรายกมือประคองรูปหน้าเรียวสวยของหญิงสาวโดยสัญชาติญาณ
“วิมาลา มาลัย ฉันขอโทษที่สับสนชื่อ แต่จะชื่ออะไรก็ได้ ขอให้รู้ว่าฉันรักเธอด้วยทั้งหมดของชีวิตฉัน”
แล้วผู้ชายขี้อายที่ชื่อนราก็ประทับจูบลงบนวงแก้มขาวเนียน จนถึงปากกระจับ มันเป็นธรรมชาติของความรักที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มาลัยหลับตาพริ้ม ตอบรับรอยริมฝีปากเขาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้ จะเรียกว่าเป็นความรักหรือความใคร่ก็ไม่ต่างกันในเมื่อชายหญิงคู่นี้ก็ได้พิสูจน์จิตใจกันแท้จริงถึงขีดสุดแล้ว
รุ่งอรุณอัมรินทร์ หลังจากพาสาวขวัญเรือนผู้ซึ่งเกือบเคราะห์ร้ายไปตรวจร่างกายอีกทีที่อนามัยและพบว่าไม่มีอะไรแทรกซ้อน เจ้าจ๋านกับเจ้าหยกก็พาหญิงสาวไปส่งที่บ้าน หญิงสาวขอร้องไม่ให้แจ้งความเพราะจนปัญญาที่จะอธิบายกับเจ้าหน้าที่เรื่องยักษ์ใหญ่ผู้มาช่วยเหลือ
ลุงเจ้าของบ้านไม่กล้าลงมาสู้หน้ากับเจ้าจ๋าน ด้วยรู้วีรกรรมที่ลูกชายก่อไว้เป็นอย่างดี ได้แต่ส่งลูกสาวขวัญใจมารับหน้า ตัวแกซ่อนตัวอยู่บนเรือน ไม่คิดแม้แต่ที่จะมาขอโทษทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าลูกตนเป็นฝ่ายผิด
ขวัญใจมารับขวัญเรือนญาติผู้พี่ตรงรั้ว หญิงสาวรู้สึกลำบากใจเพราะไม่กล้าเชิญสองสหายเข้าบ้าน ทั้งๆที่ทั้งสองมีบุญคุณกับบ้านเธอ เจ้าจ๋านไม่อยากให้หญิงสาวกระอักกระอ่วนใจจึงบอกว่าบ้านของเขายินดีต้อนรับขวัญเรือนเสมอแล้วลากลับ
หลังจากทั้งคู่กลับมาบ้าน
“ไม่ต้องทำงานโว้ย” เจ้าจ๋านเดินถือแก้วไวน์แก้วเดิมที่มันถือมาทั้งคืน แต่เติมไม่มีจบ สภาพมันดูออกว่า ไม่ได้ผ่านการหลับนอนมาทั้งคืน ขวดไวน์เปิดไว้แล้ววางไว้บนโต๊ะกินข้าวข้างๆ
“ไม่ต้องนอนก็ไม่เป็นไร วันนี้ฉลองกันให้มันไปเลย สะใจไอ้ชาญนอนป่วยระบมเป็นไข้เพราะแผลไฟไหม้ ฮ่า ฮา พลังกษิณไฟคุณมาลัยเธอแน่จริงๆ”
“ใจเย็น เพลาๆไวน์ลงหน่อย เมื่อคืนแกไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนจนถึงตอนนี้” เจ้าหยกซึ่งสภาพไม่น่าจะดูดีไปกว่ากันเท่าไหร่เดินมาประคองเจ้าจ๋านที่เดินเซ ทั้งๆที่อาการตัวเองก็น่าเป็นห่วง
“ยังไม่ต้องไปทำงานหรอกค่ะ” คุณพิมแต่งตัวสวยแต่เช้า เดินผ่านมาแล้วพูดยิ้มๆ” ช่วงเวลามงคล หยุดกันสักสาม สี่วัน สวนไม่หนีไปไหนหรอก”
เจ้าหยกดันเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา ยกมือเสยผมที่ปรก ดกหนา
“ขอโทษด้วยครับ คุณพิม ที่เมื่อคืนไม่ได้ห้ามจ๋านไว้ กินไวน์กันหนักไปหน่อย วันนี้ไม่น่าจะทำงานได้”
คุณพิมส่งสายตาจริงใจให้กับเจ้าหยก ประกายที่สะท้อนนั้นไม่มีการหลอกลวงกันแม้แต่น้อย
“โถ เมื่อวานก็เจอแต่เรื่องทั้งวัน เช้านี้พวกคุณก็เข้าอำเภอไปอนามัยแต่เช้า หยุดพักผ่อนกันจะเป็นไรไปค่ะ ให้โอกาสคุณนรา กับคุณมาลัยอยู่ด้วยกันด้วย”
“ครับ” เจ้าหยกไม่ใช่คนช่างพูด เห็นความจริงใจของคุณพิมเช่นนั้น ได้แต่ซึ้งใจ เดินไปตอกไวน์เป็นเพื่อนเจ้าจ๋าน
แลเห็นสาวน้อยนาถยากำลังจะเดินออกจากบ้าน ด้วยความเป็นห่วงว่าหญิงสาวจะมีธุระปะปังไปไหนไกลจึงถามขึ้น
“จะไปไหนหรือน้องยาเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
น้องยามองเจ้าหยกอย่างขบขันในอาการยังไม่สร่างเมาของมัน
“จะไปนั่งริมคลองค่ะ แป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว
“พี่ไปเป็นเพื่อน” เจ้าหยกรีบพูด แต่หญิงสาวปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไปเป็นเพื่อนพี่จ๋านดีกว่า กำลังได้ที่ทีเดียว”
เจ้าจ๋านเดินตุปัดตุเป๋ แต่ท่าทางของมันมีความสุขอย่างมาก น้องนาถยาเห็นแล้วก็ อดอมยิ้มไม่ได้ พลางกล่าวว่า
“ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวยาไปแป๊บเดียว จะไปทบทวนงานกลุ่มกับเพื่อน”
“โธ่ พี่กับจ๋านคงกินไวน์กันเอะอะเสียงดังไปหน่อย ในบ้านน้องยาเลยไม่มีสมาธิ”
“ไม่หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบค้าน “ นาถต่างหากต้องวี.ดี.โอ คอลกับเพื่อนหลายคนเสียงอาจจะดังรบกวนพวกพี่ๆมากกว่า”
น้องนาถยามานั่งที่ริมคลองได้สักครู่ ระหว่างจะใช้โทรศัพท์ เห็นเด็กชายละแวกนี้หลายคนกำลังเล่นน้ำอยู่ บางคนยังเล็กนักก็เปลือยกายล่อนจ้อน
ไปๆมาๆ มีเด็กชายคนหนึ่งเล่นน้ำในกลุ่มเพื่อนๆ แล้วจมหายลงไปดื้อๆ เหมือนถูกฉุดลงใต้น้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
น้องนาถยาได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ก็หยุดใช้โทรศัพท์โดยทันใด เห็นบรรดาเด็กชายที่เหลือลงดำน้ำหากันจ้าละหวั่น
เด็กๆพากันส่งเสียงระงมเซ็งแซ่ น้องนาถยาผลุดลุกขึ้น เสียงตะโกนแว่วได้ยินถนัดหูว่ามีเด็กจมน้ำ สงสัยจะเป็นตะคริว
อย่าได้ดูถูกว่าน้องนาถยาเป็นสาวแค่วัยสิบเก้าปี เธอมีความแข็งแกร่งของเพศอิถถีอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถึงเวลาคับขันก็ตัดสินใจเฉียบขาด
ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนอยู่ในบริเวณนั้นเลย ถ้าขืนรอก็คงไม่ทันการ โดยไม่รอรีน้องนาถยารีบวิ่งไปตรงจุดนั้นและกระโจนลงน้ำทันที ไม่ได้คิดว่าตัวเองว่ายน้ำแข็งพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่ เพียงแต่จิตใจที่งดงามไม่ต้องการเห็นใครจมน้ำเสียชีวิต
นาถยาดำผุด ดำว่ายในท้องน้ำอยู่ชั่วขณะ ก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งจมอยู่ใต้ผิวน้ำดิ้นทุรนทุรายอยากจะโผล่ขึ้นมา แต่มีสิ่งโยงใยยึดขาไว้ ลมหายใจเป็นปุ่มฟองอากาศขึ้นมา แต่เอาตัวไม่หลุดพ้นจากสิ่งที่ยึดเอาไว้ ไม่ต้องสงสัยอะไรอีก สิ่งนั้นไม่ใช่คนอย่างแน่นอน
เป็นร่างของอมนุษย์ที่ใช้มือดึงขาเด็กไว้ ผมนางสยายดุจดังสาหร่ายใต้น้ำ ดวงตาของเธอดุดันไม่มีแววของความประสงค์ดีแม้แต่น้อย
สายตานั้นมีอำนาจสะกดร่างของเธอให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ทำให้ร่างของหญิงสาวดำดิ่งลงไป ณ จุดเดียวกับเด็กชายที่ถูกจับไว้แน่นด้วยอุ้งมือยาวแหลมเปี๊ยบ หมดความหวังที่จะหลุดรอดได้
อีกไม่นาน เด็กผู้น่าสงสารคนนั้นคงถูกน้ำเข้าปอดแทนอากาศที่ขาดไปจนตาย ตัวเธอเองก็คงไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน วินาทีนั้นอยู่ดีๆเธอก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ เพราะหมดปัญญาที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
พอนึกถึง ฉับพลันก็มีแสงสีมรกตเฉิดฉายเรืองรองจนสว่างไสวทั้งท้องน้ำ
สาวน้อยนาถยารู้สึกว่าใต้น้ำไม่มืดมนอีกต่อไป เห็นทุกอย่างกระจ่างแจ้งดุจกลางวันแสกๆ อีกทั้งหายใจใต้น้ำได้อย่างปลอดโปร่ง ลมหายใจไม่ขาดห้วงแม้แต่น้อยราวกับอยู่บนบก
มีเสียงกัมปนาทที่น่าเกรงขามดังกึกก้องคุ้งน้ำโดยไม่เห็นร่าง
“อ้าย อี ผีพรายตนใด บังอาจมาทำร้ายนางหนู ข้าพญานรคินทร์ จะให้มันเห็นดีในบัดดล”
ลุงข้างทาง ตอนที่ 15 ยาวๆ
ร่างชายกำยำในชุดจูงกระเบนสีเงินปรากฎขึ้นแทนที่ เขาเปลือยหน้าอกเป็นแผง สวมมงกุฎสีทองมลังมเลือง สวมสร้อยทับทรวงเส้นโต
ชายชราผู้เป็นที่เคารพและที่พึ่งของทุกคนร้องทักขึ้น
“ฮ่า ท่านนรคินทร์ ไปบำเพ็ญตนครานี้แสงบงกชเปล่งปลั่งขึ้นมากมายทีเดียว”
ชายรูปงามคนนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อย จะเป็นด้วยตอบรับตามมารยาทหรือแสดงออกซึ่งความเคารพในฐานะยศของผู้เป็นเทพด้วยกันก็ได้ทั้งสองอย่าง
ทันใดนั้นเอง ทั้งๆที่ริมฝีปากเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ทุกคนก็ได้สดับเสียงในโสตประสาทชัดแจ้ง
“ข้าไปเข้าญาณตบะมา ไม่ได้รับทราบว่าท่านอสุนีมารับหน้าที่สอดส่องดูแลถิ่นนี้ เป็นที่เสียมารยาทแล้ว”
ทุกคนยกเว้นมาลัยพากันตะลึงพรึงเพริดไปหมด เมื่ออยู่ดีๆงูยักษ์ก็แปลงตัวเป็นคนได้ เสียงลุงอันเป็นที่รักของทุกคนก็พูดตอบขึ้น
“เกรงใจไปแล้วท่านนรคินทร์ ขอตัดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ประยูรญาติท่านอวดเบ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์ในย่านนี้ หลานสาวของข้าจำเป็นต้องดับชีพเสีย เพราะมิเช่นนั้นมิทราบว่าบริวารแห่งท่านจะพล่าผลาญชีวิตคนและสัตว์ไปอีกเท่าไหร่”
(นักอ่านทุกท่านยังจำเรื่องที่คุณพิมยิงงูหลามยักษ์ได้ไหมครับ)
ท่านอสุนีพูดพลางผายมือมาที่คุณพิม ชายคนนั้นกวาดสายตาคมกริบตาม แม้สีหน้าเขาจะราบเรียบไม่แสดงความรู้สึก แต่คุณพิมก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆ เข้ากอดต้นแขนเจ้าจ๋านสามีเป็นที่พึ่ง
“บุญญาดี” ได้ยินเสียงหนักๆของชายคนนั้นกล่าวขึ้นโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของปาก “มิเช่นนั้นคงปลิดปลงบริวารเราไม่ได้”
เหมือนว่าคุณุลุงจะนึกรำคาญ ด้วยภารกิจในค่ำคืนนี้ของท่านมากมายก่ายกอง จึงได้พูดตัดบทขึ้น
“เอาอย่างนี้ ท่านนรคินทร์ก็ได้สร้างบารมีถึงเพียงนี้แล้ว จะให้อภัยบุตรหลานของข้าได้หรือไม่”
ชายคนนั้นนิ่งไปสักครู่ แล้วมีเสียงพูดอย่างตกลงปลงใจขึ้น
“บริวารเราได้เสวยกรรมตามที่มันกระทำความผิดแล้ว เรามาที่นี่มิได้มาเอาแค้นจากผู้ใด เพียงแต่อยากมาพบมนุษย์ธรรรมดาผู้มีบุญญาเวช ถึงขั้นฆ่าบริวารเราได้เท่านั้น”
“”ปัทโธ่” คุณลุงอุทาน คล้ายๆท้วงติงมิตรสหาย “แล้วท่านนรคินทร์จะมาทั้งทีก็มาดีๆไม่ได้ มาทำให้ลูกหลานมันตกใจทำไมเปล่าๆปลี้ๆ เสียเวลาข้าแท้ๆ”
มีเสียงกระอ้อมกระแอ้มดังมาจากชายหนุ่มคนนั้นคล้ายขวยเขิน
“ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับมนุษย์มนานัก ลืมตัว ก็เลยมาในสภาพที่แท้ของข้า นางหนูมนุษย์ตนนั้นคงเสียขวัญแย่แล้ว มานี้เถอะ ข้าจะมีของรับขวัญให้”
น้องนาถยาทำหน้าเลิ่กลั่ก ขยับเข้าชืดเจ้าหยกอย่างลืมตัว คุณลุงหันมามองแล้วยิ้มขันๆอย่างเอ็นดู
“ไปสินางหนู อย่ากลัวไป ท่านนรคินทร์มีเมตตาก็เป็นบุญของเอ็งแล้ว”
นาถยามองสบตาพี่สาวคุณพิมแบบทำอะไรไม่ถูก คุณพิมพยักหน้าให้ สาวน้อยจึงได้คลานเข้าไปหาท่านพญานาคอย่างกล้าๆกลัวๆ
ท่านนรคินทร์เอื้อมมือแตะเรือนผมหญิงสาวอย่างปราณี สัมผัสอบอุ่นของท่านทำให้เธอคลายความหวาดกลัวลง
“อย่ากลัวไปใย แม่หนูเอ๋ย เราต้องขอโทษด้วยที่มาในร่างงูที่แท้จริง เราจะมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้าเพื่อชดเชย”
แล้วท่านก็ยื่นสิ่งหนึ่งให้ น้องนาถยาอึกอักรับมาโดยไม่กล้าเงยหน้า บรรดาคนที่เหลือก็เพียงแต่เหลือบตา ไม่กล้ามองเช่นกัน เพียงเห็นแว่บเดียวว่าเป็นมรกตเลอค่า
“บ้ะ” ท่านอสุนีอดไม่ได้หลุดเสียงออกมา” บุญของเอ็งอย่างที่สุดแล้วนางหนู ท่านนรคินทร์ถึงกับมอบเกล็ดแก้วมรกตให้ ต่อจากนี้ไปบรรดาอสรพิษใดๆไม่กล้ากล้ำกรายใกล้หนีห่างเอ็งเป็นโยชน์ ตกน้ำก็ไม่จม บรรดาผีสาง ของเสนียดจะแตะต้องเอ็งไม่ได้เป็นอันขาด เป็นของบริสุทธิ์คุณของคนที่ประกอบคุณงามความดี บูชาให้ดีๆนะนางหนู”
แม้จะบำเพ็ญภาวะที่พ้นอารมณ์ทั้งเจ็ดมานานแล้ว ท่านนรคินทร์ก็อดพึงใจในคำเยินยอของชายชราไม่ได้
“เป็นไรไม่ได้ดอกท่านอสุนี ของรับหน้าหลานสาวเล็กๆเท่านั้น อ๋อ ถ้านางหนูเอ็งเจอใครโดนงูพิษกัด ให้เอาเกล็ดแห่งข้าไปทาบที่ปากแผล พิษจะไหลหลั่งออกมาเอง แต่ถ้าเป็นใครที่ชะตาถึงฆาตก็ช่วยไม่ได้”
แล้วท่านก็มองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นอย่างปลงอนิจจัง
“ใจจริงข้าอยากจะคายพิษไว้รอบๆนิวาสสถานของพวกเจ้า คนชั่วร้ายจะได้เข้ามาไม่ได้ แต่มีท่านอสุนีอยู่แล้ว คงไม่มีเภทภัยใดล่วงล้ำเข้ามาได้ดอก เอาเยี่ยงนี้แล้วกัน หากมีสิ่งชั่วช้าใดคุกคามพวกเจ้าให้เอ่ยชื่อเรา แล้วเราจะมา”
พูดจบท่านก็หายวับไปกับตาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ผมกับทุกคนหันหน้ามองกันไปมาโดยไม่มีคำพูด ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันนับตั้งแต่เย็นยันล่วงครึ่งคืนไม่มีใครได้ตั้งตัวทัน
ลุงหัวร่อหึๆ แล้วพูดขึ้น
“ไปล่ะโว้ย คราวนี้ได้ไปจริงๆสะที” แล้วแกก็หันหน้าเดินออกไปจากห้องโถงบ้านโดยไม่มีการร่ำลาซ้ำสอง ทุกคนยกมือไหว้ลากันแทบไม่ทัน
เราที่เหลือมองหน้ากันอย่างไม่มีคำพูดใดๆ น้องนาถยาแบมือออกมาทำให้เห็นสีมรกตเปล่งประกาย เป็นวัตถุพยานว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ฝันไปเอง
คุณพิมเหมือนคืนสติได้ก่อนใครเพื่อน บอกกับน้องสาวว่า
“เก็บไว้กับตัวให้ดีๆนะน้องยา ทุกคน ทานข้าวกันนะค่ะ”
หลังจากอาหารมื้อค่ำที่ช้าแสนจะล่วงเลยผ่านไป เวลาการส่งตัวเข้าห้องหอก็มาถึง เจ้าหยกออกมานอนข้างนอกกับเจ้าจ๋านในห้องโถง ทั้งสองไม่ได้หลับได้นอนกันจริงๆหรอก คงติดลมกินไวน์ต่อกันอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้เช่นนั้น เจ้าหยกก็ไม่ละทิ้งหน้าที่ดูแลหญิงสาวผู้ซึ่งเกือบเป็นเหยื่ออาชญากรรมของการโดนรุมข่มขืน เมื่อตรวจดูอุณหภูมิแล้วว่าไม่มีไข้ขึ้น ขวัญเรือนยังคงหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา เจ้าหยกจึงกลับมากินไวน์กับเจ้าจ๋านอย่างวางใจ
ภายในห้อง นรากับกับมาลัยนั่งกันบนเตียงนอนอย่างทำอะไรไม่ถูก ทั้งคู่พูดกันโดยไม่มองหน้า กระดากซึ่งกันและกัน
“วิมาลา เธออยากนอนติดหน้าต่างหรือนอนฝั่งนี้” นราปลุกปลอบใจพูดขึ้น หญิงสาวมาลัยก้มหน้าเอียงอาย
“ฉันนอนตรงนี้ก็ได้ “
“ฉันนอนกรนนะ คงไม่รังเกียจ”ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างอายๆ แอบชำเลืองมองสาวสวย
“ไม่เป็นไรหรอกนรา ฉันขอสารภาพว่าเคยแอบมาดูเธอตอนหลับตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นผีอยู่ เธอนอนกรนเสียงดังทีเดียว แถมยังละเมอด้วย” คราวนี้มาลัยลืมเขิน หันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาเปล่งประกายความรักอย่างเผลอตัว
นรายกมือประคองรูปหน้าเรียวสวยของหญิงสาวโดยสัญชาติญาณ
“วิมาลา มาลัย ฉันขอโทษที่สับสนชื่อ แต่จะชื่ออะไรก็ได้ ขอให้รู้ว่าฉันรักเธอด้วยทั้งหมดของชีวิตฉัน”
แล้วผู้ชายขี้อายที่ชื่อนราก็ประทับจูบลงบนวงแก้มขาวเนียน จนถึงปากกระจับ มันเป็นธรรมชาติของความรักที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มาลัยหลับตาพริ้ม ตอบรับรอยริมฝีปากเขาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้ จะเรียกว่าเป็นความรักหรือความใคร่ก็ไม่ต่างกันในเมื่อชายหญิงคู่นี้ก็ได้พิสูจน์จิตใจกันแท้จริงถึงขีดสุดแล้ว
รุ่งอรุณอัมรินทร์ หลังจากพาสาวขวัญเรือนผู้ซึ่งเกือบเคราะห์ร้ายไปตรวจร่างกายอีกทีที่อนามัยและพบว่าไม่มีอะไรแทรกซ้อน เจ้าจ๋านกับเจ้าหยกก็พาหญิงสาวไปส่งที่บ้าน หญิงสาวขอร้องไม่ให้แจ้งความเพราะจนปัญญาที่จะอธิบายกับเจ้าหน้าที่เรื่องยักษ์ใหญ่ผู้มาช่วยเหลือ
ลุงเจ้าของบ้านไม่กล้าลงมาสู้หน้ากับเจ้าจ๋าน ด้วยรู้วีรกรรมที่ลูกชายก่อไว้เป็นอย่างดี ได้แต่ส่งลูกสาวขวัญใจมารับหน้า ตัวแกซ่อนตัวอยู่บนเรือน ไม่คิดแม้แต่ที่จะมาขอโทษทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าลูกตนเป็นฝ่ายผิด
ขวัญใจมารับขวัญเรือนญาติผู้พี่ตรงรั้ว หญิงสาวรู้สึกลำบากใจเพราะไม่กล้าเชิญสองสหายเข้าบ้าน ทั้งๆที่ทั้งสองมีบุญคุณกับบ้านเธอ เจ้าจ๋านไม่อยากให้หญิงสาวกระอักกระอ่วนใจจึงบอกว่าบ้านของเขายินดีต้อนรับขวัญเรือนเสมอแล้วลากลับ
หลังจากทั้งคู่กลับมาบ้าน
“ไม่ต้องทำงานโว้ย” เจ้าจ๋านเดินถือแก้วไวน์แก้วเดิมที่มันถือมาทั้งคืน แต่เติมไม่มีจบ สภาพมันดูออกว่า ไม่ได้ผ่านการหลับนอนมาทั้งคืน ขวดไวน์เปิดไว้แล้ววางไว้บนโต๊ะกินข้าวข้างๆ
“ไม่ต้องนอนก็ไม่เป็นไร วันนี้ฉลองกันให้มันไปเลย สะใจไอ้ชาญนอนป่วยระบมเป็นไข้เพราะแผลไฟไหม้ ฮ่า ฮา พลังกษิณไฟคุณมาลัยเธอแน่จริงๆ”
“ใจเย็น เพลาๆไวน์ลงหน่อย เมื่อคืนแกไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนจนถึงตอนนี้” เจ้าหยกซึ่งสภาพไม่น่าจะดูดีไปกว่ากันเท่าไหร่เดินมาประคองเจ้าจ๋านที่เดินเซ ทั้งๆที่อาการตัวเองก็น่าเป็นห่วง
“ยังไม่ต้องไปทำงานหรอกค่ะ” คุณพิมแต่งตัวสวยแต่เช้า เดินผ่านมาแล้วพูดยิ้มๆ” ช่วงเวลามงคล หยุดกันสักสาม สี่วัน สวนไม่หนีไปไหนหรอก”
เจ้าหยกดันเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา ยกมือเสยผมที่ปรก ดกหนา
“ขอโทษด้วยครับ คุณพิม ที่เมื่อคืนไม่ได้ห้ามจ๋านไว้ กินไวน์กันหนักไปหน่อย วันนี้ไม่น่าจะทำงานได้”
คุณพิมส่งสายตาจริงใจให้กับเจ้าหยก ประกายที่สะท้อนนั้นไม่มีการหลอกลวงกันแม้แต่น้อย
“โถ เมื่อวานก็เจอแต่เรื่องทั้งวัน เช้านี้พวกคุณก็เข้าอำเภอไปอนามัยแต่เช้า หยุดพักผ่อนกันจะเป็นไรไปค่ะ ให้โอกาสคุณนรา กับคุณมาลัยอยู่ด้วยกันด้วย”
“ครับ” เจ้าหยกไม่ใช่คนช่างพูด เห็นความจริงใจของคุณพิมเช่นนั้น ได้แต่ซึ้งใจ เดินไปตอกไวน์เป็นเพื่อนเจ้าจ๋าน
แลเห็นสาวน้อยนาถยากำลังจะเดินออกจากบ้าน ด้วยความเป็นห่วงว่าหญิงสาวจะมีธุระปะปังไปไหนไกลจึงถามขึ้น
“จะไปไหนหรือน้องยาเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
น้องยามองเจ้าหยกอย่างขบขันในอาการยังไม่สร่างเมาของมัน
“จะไปนั่งริมคลองค่ะ แป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว
“พี่ไปเป็นเพื่อน” เจ้าหยกรีบพูด แต่หญิงสาวปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไปเป็นเพื่อนพี่จ๋านดีกว่า กำลังได้ที่ทีเดียว”
เจ้าจ๋านเดินตุปัดตุเป๋ แต่ท่าทางของมันมีความสุขอย่างมาก น้องนาถยาเห็นแล้วก็ อดอมยิ้มไม่ได้ พลางกล่าวว่า
“ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวยาไปแป๊บเดียว จะไปทบทวนงานกลุ่มกับเพื่อน”
“โธ่ พี่กับจ๋านคงกินไวน์กันเอะอะเสียงดังไปหน่อย ในบ้านน้องยาเลยไม่มีสมาธิ”
“ไม่หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบค้าน “ นาถต่างหากต้องวี.ดี.โอ คอลกับเพื่อนหลายคนเสียงอาจจะดังรบกวนพวกพี่ๆมากกว่า”
น้องนาถยามานั่งที่ริมคลองได้สักครู่ ระหว่างจะใช้โทรศัพท์ เห็นเด็กชายละแวกนี้หลายคนกำลังเล่นน้ำอยู่ บางคนยังเล็กนักก็เปลือยกายล่อนจ้อน
ไปๆมาๆ มีเด็กชายคนหนึ่งเล่นน้ำในกลุ่มเพื่อนๆ แล้วจมหายลงไปดื้อๆ เหมือนถูกฉุดลงใต้น้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
น้องนาถยาได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ก็หยุดใช้โทรศัพท์โดยทันใด เห็นบรรดาเด็กชายที่เหลือลงดำน้ำหากันจ้าละหวั่น
เด็กๆพากันส่งเสียงระงมเซ็งแซ่ น้องนาถยาผลุดลุกขึ้น เสียงตะโกนแว่วได้ยินถนัดหูว่ามีเด็กจมน้ำ สงสัยจะเป็นตะคริว
อย่าได้ดูถูกว่าน้องนาถยาเป็นสาวแค่วัยสิบเก้าปี เธอมีความแข็งแกร่งของเพศอิถถีอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถึงเวลาคับขันก็ตัดสินใจเฉียบขาด
ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนอยู่ในบริเวณนั้นเลย ถ้าขืนรอก็คงไม่ทันการ โดยไม่รอรีน้องนาถยารีบวิ่งไปตรงจุดนั้นและกระโจนลงน้ำทันที ไม่ได้คิดว่าตัวเองว่ายน้ำแข็งพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือไม่ เพียงแต่จิตใจที่งดงามไม่ต้องการเห็นใครจมน้ำเสียชีวิต
นาถยาดำผุด ดำว่ายในท้องน้ำอยู่ชั่วขณะ ก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งจมอยู่ใต้ผิวน้ำดิ้นทุรนทุรายอยากจะโผล่ขึ้นมา แต่มีสิ่งโยงใยยึดขาไว้ ลมหายใจเป็นปุ่มฟองอากาศขึ้นมา แต่เอาตัวไม่หลุดพ้นจากสิ่งที่ยึดเอาไว้ ไม่ต้องสงสัยอะไรอีก สิ่งนั้นไม่ใช่คนอย่างแน่นอน
เป็นร่างของอมนุษย์ที่ใช้มือดึงขาเด็กไว้ ผมนางสยายดุจดังสาหร่ายใต้น้ำ ดวงตาของเธอดุดันไม่มีแววของความประสงค์ดีแม้แต่น้อย
สายตานั้นมีอำนาจสะกดร่างของเธอให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ทำให้ร่างของหญิงสาวดำดิ่งลงไป ณ จุดเดียวกับเด็กชายที่ถูกจับไว้แน่นด้วยอุ้งมือยาวแหลมเปี๊ยบ หมดความหวังที่จะหลุดรอดได้
อีกไม่นาน เด็กผู้น่าสงสารคนนั้นคงถูกน้ำเข้าปอดแทนอากาศที่ขาดไปจนตาย ตัวเธอเองก็คงไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน วินาทีนั้นอยู่ดีๆเธอก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ เพราะหมดปัญญาที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
พอนึกถึง ฉับพลันก็มีแสงสีมรกตเฉิดฉายเรืองรองจนสว่างไสวทั้งท้องน้ำ
สาวน้อยนาถยารู้สึกว่าใต้น้ำไม่มืดมนอีกต่อไป เห็นทุกอย่างกระจ่างแจ้งดุจกลางวันแสกๆ อีกทั้งหายใจใต้น้ำได้อย่างปลอดโปร่ง ลมหายใจไม่ขาดห้วงแม้แต่น้อยราวกับอยู่บนบก
มีเสียงกัมปนาทที่น่าเกรงขามดังกึกก้องคุ้งน้ำโดยไม่เห็นร่าง
“อ้าย อี ผีพรายตนใด บังอาจมาทำร้ายนางหนู ข้าพญานรคินทร์ จะให้มันเห็นดีในบัดดล”