ฝันมรณะ
Story by Ancient Blue
(Blue Bravenick)
Chapter IV
Complication
คฤหาสน์สีขาว ป่าสนและสระน้ำ...
“โลกแห่งนี้คือโลกแห่งความฝัน ฝันของเธอ...อาเธอร์”
เชโลม่าเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาตน ก่อนก้มลงอ่านหนังสือในมือตามเดิม
เด็กสาวผมยาวสีขี้เถ้าที่เต็มไปด้วยปริศนา ทุกอย่างที่อาเธอร์ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอและโลกแห่งความฝันที่เห็น
เขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเชโลม่าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะไม้สีเบจ
ร่างเล็กวางหนังสือบนโต๊ะ เดินออกไปยังระเบียงที่ยืนออกไปด้านนอกตัวคฤหาสน์ ก่อนก้มมองสระน้ำด้านล่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่กระแสลมปะทะเข้าที่ใบหน้าของเธอ
“เฮเนอร์กับเธอคือคนคนเดียวกัน แต่เพราะเธอสูญเสียความทรงจำในโลกแห่งความจริง ทำให้เธออาศัยสัมปชัญญะของเฮเนอร์ในโลกแห่งความฝัน” เธอเหลียวเด็กหนุ่มก่อนจะพูดต่อ “แต่อยู่ที่นี่เธอจะปลอดภัย”
“หมายความว่าฉันกับเฮเนอร์คือคนคนเดียวกัน” เจ้าของความฝันถามอย่างไม่แน่ใจ
เชโลม่าปรบมือสองครั้งแทนคำตอบ
สิ้นเสียง นกพิราบขาวที่อยู่บนสระน้ำถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว กระแสลมปั่นป่วน ป่าสนพลิ้วไหวเป็นจังหวะราวกับร่ายรำตามแรงลม ขณะที่เมฆเริ่มก่อตัวหนาจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี
เปรี้ยง!
อาเธอร์ก้มตัวลงด้วยความตกใจกับเสียงสายฟ้าฟาด
ทุกอย่างหยุดนิ่ง สายลม ต้นสนและฝูงนกพิราบไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงเด็กสาวในชุดยาวสีขาวตรงหน้าที่ยังขยับตัวได้
“เธอได้รับความฝันมาจากรีน่า หลังจากเกิดอุบัติเหตุในตอนนั้นทำให้เฮเนอร์ถือกำเนิดขึ้นมาในตัวของเธอ” เชโลม่าอธิบาย
“รีน่าคือใคร”
ไม่มีชื่อของ ‘รีน่า’ อยู่ในความทรงจำของเขา เธอเป็นใครกัน บางทีอาจจะเป็นเด็กสาวผมยาวสีเทาที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าในความทรงจำของเฮเนอร์
ไม่แน่ว่าบางที ‘เธอ’ ที่เรย์พูดในโรงพยาบาลอาจจะหมายถึงรีน่า
“รีน่าก็คือตัวตนของฉันในโลกแห่งความจริง” สีหน้าเธอเศร้า น้ำตาลื่นขึ้นไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง “ฉันไม่มีทางตื่นขึ้นได้ในโลกแห่งความจริง”
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ...กับรีน่า”
“วันนั้นเป็นวันที่พวกเราจะไปเที่ยวกันสามคน ทั้งเธอ ฉันแล้วก็เรย์ พวกเรากำลังจะซื้อตั๋วขึ้นรถไฟกันฉันเกิดหิวน้ำขึ้นมาเลยตั้งใจว่าจะไปซื้อที่ร้านขายของฝั่งตรงข้ามสถานี รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่ฉันอย่างรวดเร็ว แต่ว่า...” เจ้าของเสียงสะดุดลงตรงท่อนสุดท้าย
“แต่ว่าอะไรเหรอ” เด็กหนุ่มถามต่อ
“แต่ว่าเธอกระโดดเข้าไปช่วยฉันจนตัวเองพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ทำให้เธอความจำเสื่อม”
อาเธอร์รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังผ่านเข้ามาในหัว ลักษณะเหมือนภาพสไลด์ที่ซ้อนทับกันไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพของเด็กสาวผมยาวสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวกำลังยืนอยู่กลางถนน มีบางสิ่งขัดจังหวะการเดินข้ามถนนของเธอ แต่ยังไม่ทันได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ภาพทั้งหมดก็หายไป แทนที่ด้วยสีดำมืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
ความรู้สึกปวดหัวแล่นวูบเข้ามากะทันหัน มันปวดแปลบจนหัวแทบจะระเบิด
อาเธอร์กุมหัวแน่นด้วยความเจ็บปวด ล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน ไม่นานก็มีตัวหนังสือบางอย่างเหมือนข้อความปรากฏขึ้นในหัว วิ่งวนไปมาไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่จะมีข้อความหนึ่งหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า
Memory transfers 20%
บางทีข้อความที่เห็นต้องมีความหมายบางอย่าง
เมื่อลืมตาขึ้นเด็กหนุ่มกลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในสภาพเหงื่อท่วมตัว หอบหายใจเร็ว
ที่นี่คือโรงพยาบาลที่เขาเพิ่งคุยกับเรย์ในโลกแห่งความจริง หลักฐานที่ยืนยันคือผ้าพันแผลที่ยังอยู่บนร่างกายกับความรู้สึกเจ็บจากบาดแผลบางส่วนที่ยังเหลืออยู่
หากทุกสิ่งที่ได้ฟังจากเชโลม่าเป็นเรื่องจริงที่นี่ก็จะเป็นความจริง
อาเธอร์รู้สึกสับสนไปหมด ในตอนนี้เขาเริ่มแยกไม่ออกเสียแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นความฝัน หรือมันอาจจะเป็นเรื่องจริงทั้งสองเรื่อง
หรือที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นทั้งสองเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเลยทั้งสองเรื่อง
เรย์ถือกาแฟกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดเข้ามาในโรงพยาบาล ตั้งใจว่าจะซื้อมาฝากอาเธอร์ บางทีหากได้เครื่องดื่มเย็น ๆ คงจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง
อุบัติเหตุในวันนั้นทำให้เรย์รู้สึกไม่สบายใจ เขาทำได้เพียงยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนทั้งสองคนได้เลย
‘ฉันขอออกไปดูรีน่าก่อนนะ’ ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของเพื่อน
ระหว่างที่ตนกำลังยืนซื้อตั๋วรถไฟจากสถานี...
ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาห้ามไว้รีน่าก็คงต้องตายเพราะรถคันนั้น แม้ว่าจะสามารถช่วยชีวิตเธอไว้ได้แต่ผลที่ได้รับกลับไม่ต่างกันนัก เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงนิทรา หมอบอกว่าร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีการกระทบกระเทือนทางสมอง เพียงแค่หลับไปเท่านั้น
บางทีรีน่าอาจไม่มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย
ส่วนเพื่อนอีกคนได้รับบาดเจ็บหนัก บาดแผลเต็มตัว ทั้งที่สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร ซ้ำยังพูดถึงเรื่องประหลาดเต็มไปหมด โชคยังดีที่กระดูกไม่หักหรือสาหัสจนไม่รู้สึกตัวเหมือนอย่างรีน่า
หนุ่มผมแดงหยุดยืนรอลิฟต์อยู่หน้าทางเดินใหญ่ระหว่างคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
“ให้ตายสินี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ” เจ้าตัวยืนสบถออกมาเบา ๆ
ประตูลิฟต์เปิดออก ภายในว่างเปล่า เมื่อเดินเข้าไปแล้วเรย์กดปุ่มเลือกชั้นไปที่ชั้นหกเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์ปิดพอดี
ชั้นหกเป็นทางเดินยาว ทั้งสองฝั่งเป็นห้องพักสำหรับผู้ป่วย ทำให้ค่อนข้างเงียบแม้เป็นเวลากลางวัน
เด็กหนุ่มเดินเลี้ยวไปจนถึงห้องของอาเธอร์ ทว่าเขากลับหยุดมือไว้ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเพราะความเงียบที่ทำให้เขาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากในห้อง
ชายหญิงสองคนกำลังสนทนากัน เรย์แอบมองผ่านกระจกประตูก็พบผู้ชายผมสีน้ำตาลตัดสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนพาดเสื้อสูทสีดำไว้บ่นบ่า ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวผมยาวตรงสีเดียวกันแต่ดูอ่อนกว่า ทั้งสองคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีดำ
“สองคนนั้น...” คนแอบดูพึมพำกับตัวเอง “ทำไมถึงมาอยู่ในห้องของอาเธอร์”
เรื่องที่ชายหญิงกำลังคุยกันนั้นไม่ได้อยู่นอกเหนือสิ่งที่เจ้าตัวคาดคิดไว้ ทั้งเครื่องสร้างความฝันจำลองหรือ MDSP และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสองคน
เครื่องสร้างความฝันจำลองนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ดอกเตอร์โรเบิร์ตผู้คิดค้นวิจัย MDSP ถูกพบว่าเสียชีวิตอย่างปริศนาภายในบ้านพักของตนเอง แม้ตำรวจยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ ฆาตกรรมหรือว่าการฆ่าตัวตาย
สองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่จาก APCO หรือ Anti-Psychological Crime Organization ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นองค์กรต่อต้านและป้องกันการก่ออาชญากรรมทางจิต
“หรือว่าคนพวกนี้จะ...” เรย์กำกระป๋องกาแฟในมือแน่น
ทว่ายังไม่ทันทำอะไรดูเหมือนสองคนในห้องทำท่าจะเดินออกมา เขาจึงรีบหาที่ซ่อน
ประตูเปิดออกเป็นจังหวะเดียวกับที่เรย์เข้าไปซ่อนด้านหลังทางเดินฝั่งตรงข้ามลิฟต์พอดี
“แล้วนายคิดจะไปไหนต่อโจ” หญิงสาวพูดพลางหันกลับไปมองร่างของอาเธอร์ที่นอนหลับอยู่ในห้อง
ชายหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาครู่หนึ่งอย่างระมัดระวัง “ฉันว่าเราเปลี่ยนไปนั่งกินกาแฟกันต่อดีกว่า สืบไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอยู่ดี”
“จะเอายังไงกันแน่”
“บางทีถ้าหัวเบาลงบ้างอาจจะนึกอะไรดี ๆ ออกก็ได้”
“แต่นายก็เห็นแล้วว่า MDSP รุ่นใหม่สามารถแพร่ขยายความฝันไปสู่คนอื่นได้ ถ้ามัวแต่ชักช้าอยู่ละก็พวกเราอาจโดนหมายหัวจากคนร้ายตัวจริงก็ได้นะ”
“ไม่หรอก ฉันแน่ใจว่าอย่างน้อยก็คงอีกสักพัก ถ้าหากว่าสิ่งที่ฉันคิดไม่ผิดตราบใดที่เด็กคนนั้นยังไม่ตายเราน่าจะหาคำตอบได้”
“แล้วแต่นายละกัน”
เมื่อสนทนากันจบ ทั้งสองเดินลงบันไดจากทางเดินข้างลิฟต์
เรย์ที่แอบฟังอยู่เดินออกมาจากที่ซ่อน ก่อนผละความสนใจเดินกลับไปยังห้องของอาเธอร์ พยายามทำให้เงียบเสียงที่สุด
‘ยังหลับอยู่เหรอ’ เขาคิด
“นายเองเหรอเรย์ นึกว่าจะลงไปตามหมอซะอีก”
ทว่าอาเธอร์กลับไม่ได้หลับ ร่างในชุดคนไข้สีฟ้าพลิกตัวกลับมาในสภาพลืมตาตื่น บางทีเด็กหนุ่มอาจได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่สองคนที่กำลังคุยกัน รวมถึงเรื่องความฝันและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
เรย์พยายามควบคุมสติให้อยู่ “อ๋อ...ฉันเรียกแล้วแต่หมอบอกว่านายหลับอยู่”
“ฉันได้ยินใครก็ไม่รู้คุยกัน เรื่องอุบัติเหตุ เรื่องเครื่องสร้างความฝันจำลอง สองคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ” อาเธอร์ขมวดคิ้วมุ่น
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด เพื่อนของตนได้ยินการสนทนาเมื่อครู่นี้
“นายพูดเรื่องอะไรเหรอเพื่อน” หนุ่มผมแดงยักไหล่ “ไม่เห็นจะมีใครเลย”
“แต่ฉัน...”
“เออจริงสิ ฉันซื้อกาแฟกระป๋องมาให้นาย” เรย์รีบยื่นกระป๋องกาแฟในมือส่งให้เพื่อน “บางทีนายอาจจะอยากกินอะไรเย็น ๆ”
“ขอบใจนะเรย์”
อีกฝ่ายรับกระป๋องกาแฟมาพลางส่งยิ้มให้
“จริงสิเรย์ นายช่วยเล่าเรื่องของฉันกับนายตอนที่ยังอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าให้ฟังหน่อยสิ” อาเธอร์พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ฉันเริ่มจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ฉันเคยอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากับนาย”
“เอามานี่สิเพื่อน เดี๋ยวเปิดให้” คนถูกถามคว้ากระป๋องกาแฟมาเปิดก่อนส่งคืนให้
“ขอบใจ”
เรย์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เป่าออกมาเบา ๆ รวบรวมความคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน สมัยที่ตนและเพื่อนสนิทอยู่ด้วยกันที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
ภาพรั้วสีขาวขนาดเล็กล้อมรอบเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของสวนที่อยู่ติดชายป่า กำแพงคอนกรีตสูงกั้นเป็นแนวยาวจากเขตป่าสน บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าขนาดใหญ่เป็นไม้ทั้งหลัง ชานบ้านยื่นออกมากั้นเอาไว้ด้วยระเบียงสูงพ้นอกของเด็กตัวเล็ก ๆ พอประมาณ ด้านหน้ามีชิงช้าห้อยอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล
“ฉันจำได้แล้ว” อาเธอร์จำเสียงชิงช้าไม้ที่ผูกไว้ใต้ต้นแอปเปิ้ลได้
“ช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนที่พวกเราสองคนจะสนิทกัน” เรย์อธิบาย “นายที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเข้ากับใครไม่ได้”
“เข้ากับใครไม่ได้เหรอ”
ภาพของเด็กชายตัวเล็ก แต่งตัวเรียบ ๆ ด้วยเสื้อผ้าโทนสีขาวเก่า ๆ ผมสีดำ ท่าทางเงียบขรึม นั่งเหม่ออยู่หน้าชานบ้านทุกวัน
ช่วงเวลาที่เขาไม่สามารถเข้ากับใครได้ ไม่มีทั้งเพื่อนสนิท ไม่มีแม้แต่คนที่ยืนอยู่เคียงข้าง
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น...
ฝันมรณะ : Chapter IV Complication
“โลกแห่งนี้คือโลกแห่งความฝัน ฝันของเธอ...อาเธอร์”
เชโลม่าเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาตน ก่อนก้มลงอ่านหนังสือในมือตามเดิม
เด็กสาวผมยาวสีขี้เถ้าที่เต็มไปด้วยปริศนา ทุกอย่างที่อาเธอร์ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอและโลกแห่งความฝันที่เห็น
เขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเชโลม่าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะไม้สีเบจ
ร่างเล็กวางหนังสือบนโต๊ะ เดินออกไปยังระเบียงที่ยืนออกไปด้านนอกตัวคฤหาสน์ ก่อนก้มมองสระน้ำด้านล่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่กระแสลมปะทะเข้าที่ใบหน้าของเธอ
“เฮเนอร์กับเธอคือคนคนเดียวกัน แต่เพราะเธอสูญเสียความทรงจำในโลกแห่งความจริง ทำให้เธออาศัยสัมปชัญญะของเฮเนอร์ในโลกแห่งความฝัน” เธอเหลียวเด็กหนุ่มก่อนจะพูดต่อ “แต่อยู่ที่นี่เธอจะปลอดภัย”
“หมายความว่าฉันกับเฮเนอร์คือคนคนเดียวกัน” เจ้าของความฝันถามอย่างไม่แน่ใจ
เชโลม่าปรบมือสองครั้งแทนคำตอบ
สิ้นเสียง นกพิราบขาวที่อยู่บนสระน้ำถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว กระแสลมปั่นป่วน ป่าสนพลิ้วไหวเป็นจังหวะราวกับร่ายรำตามแรงลม ขณะที่เมฆเริ่มก่อตัวหนาจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี
เปรี้ยง!
อาเธอร์ก้มตัวลงด้วยความตกใจกับเสียงสายฟ้าฟาด
ทุกอย่างหยุดนิ่ง สายลม ต้นสนและฝูงนกพิราบไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงเด็กสาวในชุดยาวสีขาวตรงหน้าที่ยังขยับตัวได้
“เธอได้รับความฝันมาจากรีน่า หลังจากเกิดอุบัติเหตุในตอนนั้นทำให้เฮเนอร์ถือกำเนิดขึ้นมาในตัวของเธอ” เชโลม่าอธิบาย
“รีน่าคือใคร”
ไม่มีชื่อของ ‘รีน่า’ อยู่ในความทรงจำของเขา เธอเป็นใครกัน บางทีอาจจะเป็นเด็กสาวผมยาวสีเทาที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าในความทรงจำของเฮเนอร์
ไม่แน่ว่าบางที ‘เธอ’ ที่เรย์พูดในโรงพยาบาลอาจจะหมายถึงรีน่า
“รีน่าก็คือตัวตนของฉันในโลกแห่งความจริง” สีหน้าเธอเศร้า น้ำตาลื่นขึ้นไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง “ฉันไม่มีทางตื่นขึ้นได้ในโลกแห่งความจริง”
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ...กับรีน่า”
“วันนั้นเป็นวันที่พวกเราจะไปเที่ยวกันสามคน ทั้งเธอ ฉันแล้วก็เรย์ พวกเรากำลังจะซื้อตั๋วขึ้นรถไฟกันฉันเกิดหิวน้ำขึ้นมาเลยตั้งใจว่าจะไปซื้อที่ร้านขายของฝั่งตรงข้ามสถานี รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่ฉันอย่างรวดเร็ว แต่ว่า...” เจ้าของเสียงสะดุดลงตรงท่อนสุดท้าย
“แต่ว่าอะไรเหรอ” เด็กหนุ่มถามต่อ
“แต่ว่าเธอกระโดดเข้าไปช่วยฉันจนตัวเองพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ทำให้เธอความจำเสื่อม”
อาเธอร์รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังผ่านเข้ามาในหัว ลักษณะเหมือนภาพสไลด์ที่ซ้อนทับกันไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพของเด็กสาวผมยาวสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวกำลังยืนอยู่กลางถนน มีบางสิ่งขัดจังหวะการเดินข้ามถนนของเธอ แต่ยังไม่ทันได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ภาพทั้งหมดก็หายไป แทนที่ด้วยสีดำมืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
ความรู้สึกปวดหัวแล่นวูบเข้ามากะทันหัน มันปวดแปลบจนหัวแทบจะระเบิด
อาเธอร์กุมหัวแน่นด้วยความเจ็บปวด ล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน ไม่นานก็มีตัวหนังสือบางอย่างเหมือนข้อความปรากฏขึ้นในหัว วิ่งวนไปมาไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่จะมีข้อความหนึ่งหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า
Memory transfers 20%
บางทีข้อความที่เห็นต้องมีความหมายบางอย่าง
เมื่อลืมตาขึ้นเด็กหนุ่มกลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในสภาพเหงื่อท่วมตัว หอบหายใจเร็ว
ที่นี่คือโรงพยาบาลที่เขาเพิ่งคุยกับเรย์ในโลกแห่งความจริง หลักฐานที่ยืนยันคือผ้าพันแผลที่ยังอยู่บนร่างกายกับความรู้สึกเจ็บจากบาดแผลบางส่วนที่ยังเหลืออยู่
หากทุกสิ่งที่ได้ฟังจากเชโลม่าเป็นเรื่องจริงที่นี่ก็จะเป็นความจริง
อาเธอร์รู้สึกสับสนไปหมด ในตอนนี้เขาเริ่มแยกไม่ออกเสียแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นความฝัน หรือมันอาจจะเป็นเรื่องจริงทั้งสองเรื่อง
หรือที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นทั้งสองเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเลยทั้งสองเรื่อง
เรย์ถือกาแฟกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดเข้ามาในโรงพยาบาล ตั้งใจว่าจะซื้อมาฝากอาเธอร์ บางทีหากได้เครื่องดื่มเย็น ๆ คงจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง
อุบัติเหตุในวันนั้นทำให้เรย์รู้สึกไม่สบายใจ เขาทำได้เพียงยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนทั้งสองคนได้เลย
‘ฉันขอออกไปดูรีน่าก่อนนะ’ ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของเพื่อน
ระหว่างที่ตนกำลังยืนซื้อตั๋วรถไฟจากสถานี...
ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาห้ามไว้รีน่าก็คงต้องตายเพราะรถคันนั้น แม้ว่าจะสามารถช่วยชีวิตเธอไว้ได้แต่ผลที่ได้รับกลับไม่ต่างกันนัก เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงนิทรา หมอบอกว่าร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีการกระทบกระเทือนทางสมอง เพียงแค่หลับไปเท่านั้น
บางทีรีน่าอาจไม่มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย
ส่วนเพื่อนอีกคนได้รับบาดเจ็บหนัก บาดแผลเต็มตัว ทั้งที่สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร ซ้ำยังพูดถึงเรื่องประหลาดเต็มไปหมด โชคยังดีที่กระดูกไม่หักหรือสาหัสจนไม่รู้สึกตัวเหมือนอย่างรีน่า
หนุ่มผมแดงหยุดยืนรอลิฟต์อยู่หน้าทางเดินใหญ่ระหว่างคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
“ให้ตายสินี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ” เจ้าตัวยืนสบถออกมาเบา ๆ
ประตูลิฟต์เปิดออก ภายในว่างเปล่า เมื่อเดินเข้าไปแล้วเรย์กดปุ่มเลือกชั้นไปที่ชั้นหกเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์ปิดพอดี
ชั้นหกเป็นทางเดินยาว ทั้งสองฝั่งเป็นห้องพักสำหรับผู้ป่วย ทำให้ค่อนข้างเงียบแม้เป็นเวลากลางวัน
เด็กหนุ่มเดินเลี้ยวไปจนถึงห้องของอาเธอร์ ทว่าเขากลับหยุดมือไว้ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเพราะความเงียบที่ทำให้เขาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากในห้อง
ชายหญิงสองคนกำลังสนทนากัน เรย์แอบมองผ่านกระจกประตูก็พบผู้ชายผมสีน้ำตาลตัดสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนพาดเสื้อสูทสีดำไว้บ่นบ่า ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวผมยาวตรงสีเดียวกันแต่ดูอ่อนกว่า ทั้งสองคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีดำ
“สองคนนั้น...” คนแอบดูพึมพำกับตัวเอง “ทำไมถึงมาอยู่ในห้องของอาเธอร์”
เรื่องที่ชายหญิงกำลังคุยกันนั้นไม่ได้อยู่นอกเหนือสิ่งที่เจ้าตัวคาดคิดไว้ ทั้งเครื่องสร้างความฝันจำลองหรือ MDSP และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสองคน
เครื่องสร้างความฝันจำลองนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ดอกเตอร์โรเบิร์ตผู้คิดค้นวิจัย MDSP ถูกพบว่าเสียชีวิตอย่างปริศนาภายในบ้านพักของตนเอง แม้ตำรวจยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ ฆาตกรรมหรือว่าการฆ่าตัวตาย
สองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่จาก APCO หรือ Anti-Psychological Crime Organization ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นองค์กรต่อต้านและป้องกันการก่ออาชญากรรมทางจิต
“หรือว่าคนพวกนี้จะ...” เรย์กำกระป๋องกาแฟในมือแน่น
ทว่ายังไม่ทันทำอะไรดูเหมือนสองคนในห้องทำท่าจะเดินออกมา เขาจึงรีบหาที่ซ่อน
ประตูเปิดออกเป็นจังหวะเดียวกับที่เรย์เข้าไปซ่อนด้านหลังทางเดินฝั่งตรงข้ามลิฟต์พอดี
“แล้วนายคิดจะไปไหนต่อโจ” หญิงสาวพูดพลางหันกลับไปมองร่างของอาเธอร์ที่นอนหลับอยู่ในห้อง
ชายหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาครู่หนึ่งอย่างระมัดระวัง “ฉันว่าเราเปลี่ยนไปนั่งกินกาแฟกันต่อดีกว่า สืบไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอยู่ดี”
“จะเอายังไงกันแน่”
“บางทีถ้าหัวเบาลงบ้างอาจจะนึกอะไรดี ๆ ออกก็ได้”
“แต่นายก็เห็นแล้วว่า MDSP รุ่นใหม่สามารถแพร่ขยายความฝันไปสู่คนอื่นได้ ถ้ามัวแต่ชักช้าอยู่ละก็พวกเราอาจโดนหมายหัวจากคนร้ายตัวจริงก็ได้นะ”
“ไม่หรอก ฉันแน่ใจว่าอย่างน้อยก็คงอีกสักพัก ถ้าหากว่าสิ่งที่ฉันคิดไม่ผิดตราบใดที่เด็กคนนั้นยังไม่ตายเราน่าจะหาคำตอบได้”
“แล้วแต่นายละกัน”
เมื่อสนทนากันจบ ทั้งสองเดินลงบันไดจากทางเดินข้างลิฟต์
เรย์ที่แอบฟังอยู่เดินออกมาจากที่ซ่อน ก่อนผละความสนใจเดินกลับไปยังห้องของอาเธอร์ พยายามทำให้เงียบเสียงที่สุด
‘ยังหลับอยู่เหรอ’ เขาคิด
“นายเองเหรอเรย์ นึกว่าจะลงไปตามหมอซะอีก”
ทว่าอาเธอร์กลับไม่ได้หลับ ร่างในชุดคนไข้สีฟ้าพลิกตัวกลับมาในสภาพลืมตาตื่น บางทีเด็กหนุ่มอาจได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่สองคนที่กำลังคุยกัน รวมถึงเรื่องความฝันและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
เรย์พยายามควบคุมสติให้อยู่ “อ๋อ...ฉันเรียกแล้วแต่หมอบอกว่านายหลับอยู่”
“ฉันได้ยินใครก็ไม่รู้คุยกัน เรื่องอุบัติเหตุ เรื่องเครื่องสร้างความฝันจำลอง สองคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ” อาเธอร์ขมวดคิ้วมุ่น
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด เพื่อนของตนได้ยินการสนทนาเมื่อครู่นี้
“นายพูดเรื่องอะไรเหรอเพื่อน” หนุ่มผมแดงยักไหล่ “ไม่เห็นจะมีใครเลย”
“แต่ฉัน...”
“เออจริงสิ ฉันซื้อกาแฟกระป๋องมาให้นาย” เรย์รีบยื่นกระป๋องกาแฟในมือส่งให้เพื่อน “บางทีนายอาจจะอยากกินอะไรเย็น ๆ”
“ขอบใจนะเรย์”
อีกฝ่ายรับกระป๋องกาแฟมาพลางส่งยิ้มให้
“จริงสิเรย์ นายช่วยเล่าเรื่องของฉันกับนายตอนที่ยังอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าให้ฟังหน่อยสิ” อาเธอร์พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ฉันเริ่มจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ฉันเคยอยู่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากับนาย”
“เอามานี่สิเพื่อน เดี๋ยวเปิดให้” คนถูกถามคว้ากระป๋องกาแฟมาเปิดก่อนส่งคืนให้
“ขอบใจ”
เรย์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เป่าออกมาเบา ๆ รวบรวมความคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน สมัยที่ตนและเพื่อนสนิทอยู่ด้วยกันที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
ภาพรั้วสีขาวขนาดเล็กล้อมรอบเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของสวนที่อยู่ติดชายป่า กำแพงคอนกรีตสูงกั้นเป็นแนวยาวจากเขตป่าสน บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าขนาดใหญ่เป็นไม้ทั้งหลัง ชานบ้านยื่นออกมากั้นเอาไว้ด้วยระเบียงสูงพ้นอกของเด็กตัวเล็ก ๆ พอประมาณ ด้านหน้ามีชิงช้าห้อยอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล
“ฉันจำได้แล้ว” อาเธอร์จำเสียงชิงช้าไม้ที่ผูกไว้ใต้ต้นแอปเปิ้ลได้
“ช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนที่พวกเราสองคนจะสนิทกัน” เรย์อธิบาย “นายที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเข้ากับใครไม่ได้”
“เข้ากับใครไม่ได้เหรอ”
ภาพของเด็กชายตัวเล็ก แต่งตัวเรียบ ๆ ด้วยเสื้อผ้าโทนสีขาวเก่า ๆ ผมสีดำ ท่าทางเงียบขรึม นั่งเหม่ออยู่หน้าชานบ้านทุกวัน
ช่วงเวลาที่เขาไม่สามารถเข้ากับใครได้ ไม่มีทั้งเพื่อนสนิท ไม่มีแม้แต่คนที่ยืนอยู่เคียงข้าง
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น...