ฝันมรณะ
Story by Ancient Blue
(Blue Bravenickl)
Chapter II
Confusion
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านป่าสนสูงใหญ่เป็นแนวยาวไปตลอดผืนป่า เงาทอดลงมาถึงใจกลาง เป็นที่ตั้งคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวสะอาด
ตัวคฤหาสน์กินเนื้อที่พอประมาณเมื่อคำนวณด้วยสายตา ตรงกลางรายล้อมด้วยกำแพงสูงเปิดบริเวณทางเดินให้มองเห็นสวนด้านล่าง มีสระน้ำขนาดใหญ่ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวอ่อนในสวน ผิวน้ำใสเลียแสงแดดสะท้อนลงไปจนมองเห็นก้นสระอย่างชัดเจน
อาเธอร์กำลังนั่งมองนกพิราบสีขาวเกาะบริเวณต้นไม้และสระน้ำจากระเบียงชั้นสอง
เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสันทัด สูงพอประมาณ ผมและดวงตาสีดำสนิท สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ ข้อศอกทั้งสองข้างเท้าอยู่บนระเบียงหินอ่อนสีขาวสะอาดจนรู้สึกว่าผิวขาวของเขาคล้ำไปทันตา
“อาเธอร์...”
เด็กสาวร่างผอมบางกำลังยืนอยู่ด้านหลัง สวมชุดยาวสีขาว เส้นผมของเธอสีเทาเป็นเงาเล่นแสง เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง ตรงหน้ามีโต๊ะสีเบจ มีกระดาษหลายสิบแผ่นวางกระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะ
กระดาษทุกแผ่นว่างเปล่า แต่เด็กสาวยังนั่งมอง ราวกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในกระดาษเหล่านั้น
“อาเธอร์...” เธอเรียกชื่อเขาอีกครั้ง น้ำเสียงที่ผ่านริมฝีปากสีอ่อนแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
น้ำเสียงนั้นแฝงความอ่อนโยน เธอเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใส จ้องมาที่อาเธอร์นิ่ง
“อาเธอร์” เธอเรียกซ้ำอีกครั้ง
“ฉันเคยเห็นเธอ...”
เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหาเธออย่างไม่รีรอ...
“ชื่อของฉันคือเชโลม่า” เด็กสาวตอบ “แต่อีกไม่นานทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ความฝันกำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความจริง”
‘ไม่ใช่...’
เสียงหนึ่งตอบกับเด็กหนุ่มในใจ มีบางอย่างทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดนั้น แต่ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังลบมันออกไปจากความคิดของเขา
“หมายความว่ายังไง แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่าเชโลม่า” อาเธอร์ถาม
“แน่นอนเราต้องได้พบกัน” เชโลม่าส่งยิ้มให้ ขณะยื่นหน้าออกไปรับลมตรงระเบียง
ฝูงนกที่อยู่เบื้องล่างถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสลมปั่นป่วนไปทั่วทั้งบริเวณ ต้นสนและต้นไม้ชนิดอื่น ๆ ในสวนกำลังพลิ้วไหวตามแรงลม
ไม่กี่อึดใจแรงลมเริ่มโหมกระหน่ำจนกลายเป็นพายุ
เด็กหนุ่มจับระเบียงยึดไว้แน่น
“สัญญากับฉันได้หรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้สิฉันสัญญา” เด็กสาวคลี่ยิ้มบนใบหน้า
แม้จะเป็นเพียงคำพูดแต่เด็กหนุ่มก็ยิ้มรับให้กับคำสัญญานั้น
“ขอบคุณมากเลยนะ”
แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะจดจำคำสัญญานั้นได้หรือไม่
“นี่มัน...”
ความมืดค่อย ๆ บดบังเงาเมฆจนสนิท ทำให้บริเวณโดยรอบมืดลงทีละนิด ไม่นานก็กลืนกินทุกสิ่งเข้าไปจนรอบตัวเหลือเพียงแต่ความมืด มีเพียงเสียงของเชโลม่าที่แว่วดังในความคิด
ร่างของเด็กหนุ่มตกลงสู่ห้วงแห่งความมืด ไม่ต่างจากหลุมอากาศขนาดใหญ่ จนรู้สึกเหมือนเบื้องล่างเป็นเวิ้งขนาดใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
“อาเธอร์” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน
ทุกอย่างดับวูบลงในชั่วพริบตา...
เด็กหนุ่มหอบหายใจ ผุดลุกขึ้นนั่งในสภาพเหงื่อท่วมตัว มองไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะหันไปมองแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านจากช่องหน้าต่างพลิ้วไหวเป็นจังหวะ
“เราฝันเรื่องเดิมอีกแล้วเหรอ”
เขาฝันเห็นเด็กสาวผมยาวสีเทาและคฤหาสน์สีขาวติดต่อกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ความฝันที่คล้ายกับฉายภาพเก่าย้อนให้ดูซ้ำไปซ้ำมา
ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงครุ่นคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เฮเนอร์”
“เฮเนอร์”
เมื่อเสียงนั้นเรียกซ้ำเป็นคำรบสองเจ้าของห้องจึงหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว สายขนาดนี้แล้วเหรอ”
“เฮเนอร์อย่าบอกนะเพื่อนว่านายยังนอนอยู่” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู “รถไฟจะออกตอนเจ็ดโมงเช้านะเพื่อน”
เฮเนอร์โจนลงจากเตียงก่อนใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการเปลี่ยนชุดพร้อมกับมุ่งตรงไปเปิดประตู “ฉันกำลังแต่งตัวอยู่ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“โทษที ๆ” เฮเนอร์หัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อเปิดประตูห้อง มองหน้าเจ้าของเสียงที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูห้อง
สถานีรถไฟมีคนบางตา แม้ว่ามันจะเป็นการเดินทางที่ประหยัด แต่เพราะกินเวลาค่อนข้างนานเลยไม่เป็นที่นิยมนัก
หน้าประตูสถานีเป็นโครงเหล็กต่อด้วยไม้กั้นทำเป็นป้ายหน้าสถานีอย่างดี ด้านในเป็นลานโล่งขนาดกว้างพอประมาณเนื่องจากเป็นเมืองขนาดเล็ก ถัดมาเป็นส่วนโถงมีม้านั่งยาวไม่กี่ตัวรองรับผู้โดยสารที่มารอรับบริการจากสถานีรถไฟ
“มาเซลสามใบครับ” เฮเนอร์ยื่นธนบัตรและเหรียญรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขานับไว้เรียบร้อยแล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานี
พนักงานสาวพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ครู่เดียวตั๋วก็ถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องขายตั๋วสามใบ เธอฉีกออกก่อนจะหันกลับมารับเงินพร้อมกับยื่นตั๋วส่งให้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เด็กสาวร่างเล็กท่าทางคล่องแคล่ว สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวสดใสเข้ากับกางเกงขาสั้นสีดำดูทะมัดทะแมง ผมยาวตรงสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบไว้ด้วยผ้าผูกผมสีดำ เธอตรงเข้ามาหาเฮเนอร์แล้วดึงตั๋วไปจากมือเด็กหนุ่ม
“ให้ฉันจัดการเองนะเฮเนอร์” เด็กสาวส่งยิ้มด้วยเสียงขู่แกมบังคับ
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ” เฮเนอร์ยิ้มรับ
‘อาเธอร์...’
เด็กหนุ่มหยุดเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ฟังดูคุ้นหู แม้ว่าชื่อที่เรียกนั้นจะไม่ใช่ชื่อของเขา แต่เสียงเล็กใสนั้นเหมือนกับเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ภาพของเด็กสาวผมยาวสีเทา สวมชุดยาวสีขาว กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง เท้าศอกทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะไม้สีเบจ เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน หลับตานิ่ง
ภาพของเธอค่อย ๆ ชัดขึ้นทีละนิดในหัวของเฮเนอร์
ทว่าเขากลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเด็กสาวคนนั้นจากที่ไหน...
“เร็วหน่อยสิเฮเนอร์”
เสียงเรียกของคาเทียทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว ก่อนหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านหลัง
“รู้แล้ว ๆ”
“เร็วเข้าสิ มัวแต่ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ”
ไม่นานเขาก็กลับมาทันขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนที่ยืนรออยู่ตรงชานชาลา
ภายในขบวนรถไฟมีผู้โดยสารบางตาไม่ต่างจากที่สถานี แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเข้าไปในขบวนรถไฟนายตรวจก็เข้ามาบังหน้าประตูเสียก่อน
เมื่อคาเทียยื่นตั๋วรถไฟสามใบให้กับนายตรวจแล้วเขาก็หลีกทางให้
เฮเนอร์เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง เพื่อให้มองออกไปด้านนอกได้สะดวก ตู้ขบวนรถไฟเป็นตู้ปรับอากาศ แม้ว่าภายนอกจะดูเก่าจนสีขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา แต่ภายในก็ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเบาะสีส้มภายในนั้นให้ความรู้สึกนุ่มสบาย
ทัศนียภาพด้านนอกสะกดให้เคลิบเคลิ้มได้ภายในเวลาไม่นาน เฮเนอร์รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าบอกนะว่านายยังนอนไม่พออีก” เรย์สะกิดไหล่เมื่อเห็นท่าทางอดหลับอดนอนของเฮเนอร์
ส่วนคาเทียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ตื่นสายแล้วยังง่วงอีกเหรอ” เขาย้ำอีกครั้ง
เรย์หรือเด็กหนุ่มร่างสูง ผมสั้นชี้ตั้งสีแดงโดดเด่น สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อสีขาวตัวใน เขาเป็นคนอารมณ์ดี ปรับตัวง่ายและเป็นมิตร
“เปล่า...ฉันแค่รู้สึกง่วง” เฮเนอร์อ้าปากหาววอดใหญ่
ทั้งสามส่งเสียงดังได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากรถไฟเที่ยวเจ็ดโมงเช้านั้นแทบไม่มีผู้โดยสาร หากทั้งสามคนไม่ซื้อตั๋ว รถไฟไปมาเซลคงไม่แวะจอดที่สถานีนี้อย่างแน่นอนเพราะไม่มีคนอื่นซื้อตั๋วอีกเลย
เมื่อรถไฟเริ่มออกจากชานชาลาเสียงคุยเริ่มเงียบลง ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนออกไปช้า ก่อนที่ความเร็วจะเพิ่มขึ้นทีละนิดมุ่งหน้าสู่สถานีมาเซลปลายทาง
“ยังจะนอนอีก”
“นายเงียบไปเลยเรย์” เฮเนอร์ตอบ พลางขยี้ผมบนหัวของตัวเองจนยุ่งแก้ง่วง
“คราวนี้ฉันว่าเจ้าลิงหัวแดงพูดถูกนะ” คาเทียเสริมพลางใช้นิ้วชี้เกี่ยวผมสีน้ำตาลอ่อนเล่น “แล้วนายละเรย์”
เรย์ที่กำลังหัวเราะอยู่สะดุดกึกเมื่อถูกเรียกว่า ‘เจ้าลิงหัวแดง’
เจ้าตัวไม่ค่อยชอบฉายานี้นัก ผู้ที่คิดขึ้นมาคือเพื่อนสนิททั้งสองคน แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ฉันว่านายหมกมุ่นกับความฝันมากเกินไปแล้วนะ”
เฮเนอร์ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเรย์นัก เขาเพียงเสมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิมเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอให้รถไฟขบวนนี้ไปถึงมาเซล
“บางที่นายอาจจะพูดถูกนะ ฉันฝันประหลาดอีกแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายฝันประหลาดอีกแล้วเหรอเฮเนอร์” คาเทียกอดอกทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเฮเนอร์
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนทั้งสองคนได้ฟังความฝันประหลาดของเฮเนอร์ แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากรู้ว่าต้นเหตุทั้งหมดของความฝันนั้นคืออะไรกันแน่
เด็กสาวที่ชื่อ ‘เชโลม่า’ เป็นใครกันแน่...
ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะผมยาวสีเทาของอีกฝ่าย มันดูคุ้นเหมือนเคยเห็นใครอีกคนที่มีเส้นผมสีเทาแบบนี้มาก่อน
ไม่นานนักเสียงอัตโนมัติก็ดังขึ้นภายในขบวนรถ
“ขณะนี้ขบวนรถไฟกำลังจะถึงมาเซลซึ่งเป็นสถานีปลายทางแล้วค่ะ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเตรียมตัวและระวังอย่าลืมทิ้งสิ่งของมีค่าไว้บนขบวนรถ ขอบคุณค่ะ”
“เฮเนอร์...”
“เฮเนอร์ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” คาเทียโบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอย
“เปล่า” เฮเนอร์สั่นหัวทันควัน
“มัวเหม่ออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้บนรถไฟเลย” เพื่อนผมแดงเสริม
เฮเนอร์ส่ายหน้า “โทษที ๆ ฉันแค่คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่” เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษก่อนจะเดินตามเพื่อนไปที่ประตู
คาเทียลุกขึ้นตามไปรอหน้าประตูเช่นกัน เป็นจังหวะเดียวกับรถไฟจอดเทียบชานชาลาของสถานีมาเซลพอดี
ฝันมรณะ : Chapter II Confusion
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านป่าสนสูงใหญ่เป็นแนวยาวไปตลอดผืนป่า เงาทอดลงมาถึงใจกลาง เป็นที่ตั้งคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวสะอาด
ตัวคฤหาสน์กินเนื้อที่พอประมาณเมื่อคำนวณด้วยสายตา ตรงกลางรายล้อมด้วยกำแพงสูงเปิดบริเวณทางเดินให้มองเห็นสวนด้านล่าง มีสระน้ำขนาดใหญ่ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวอ่อนในสวน ผิวน้ำใสเลียแสงแดดสะท้อนลงไปจนมองเห็นก้นสระอย่างชัดเจน
อาเธอร์กำลังนั่งมองนกพิราบสีขาวเกาะบริเวณต้นไม้และสระน้ำจากระเบียงชั้นสอง
เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสันทัด สูงพอประมาณ ผมและดวงตาสีดำสนิท สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ ข้อศอกทั้งสองข้างเท้าอยู่บนระเบียงหินอ่อนสีขาวสะอาดจนรู้สึกว่าผิวขาวของเขาคล้ำไปทันตา
“อาเธอร์...”
เด็กสาวร่างผอมบางกำลังยืนอยู่ด้านหลัง สวมชุดยาวสีขาว เส้นผมของเธอสีเทาเป็นเงาเล่นแสง เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง ตรงหน้ามีโต๊ะสีเบจ มีกระดาษหลายสิบแผ่นวางกระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะ
กระดาษทุกแผ่นว่างเปล่า แต่เด็กสาวยังนั่งมอง ราวกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในกระดาษเหล่านั้น
“อาเธอร์...” เธอเรียกชื่อเขาอีกครั้ง น้ำเสียงที่ผ่านริมฝีปากสีอ่อนแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
น้ำเสียงนั้นแฝงความอ่อนโยน เธอเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใส จ้องมาที่อาเธอร์นิ่ง
“อาเธอร์” เธอเรียกซ้ำอีกครั้ง
“ฉันเคยเห็นเธอ...”
เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหาเธออย่างไม่รีรอ...
“ชื่อของฉันคือเชโลม่า” เด็กสาวตอบ “แต่อีกไม่นานทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ความฝันกำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความจริง”
‘ไม่ใช่...’
เสียงหนึ่งตอบกับเด็กหนุ่มในใจ มีบางอย่างทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดนั้น แต่ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังลบมันออกไปจากความคิดของเขา
“หมายความว่ายังไง แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่าเชโลม่า” อาเธอร์ถาม
“แน่นอนเราต้องได้พบกัน” เชโลม่าส่งยิ้มให้ ขณะยื่นหน้าออกไปรับลมตรงระเบียง
ฝูงนกที่อยู่เบื้องล่างถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสลมปั่นป่วนไปทั่วทั้งบริเวณ ต้นสนและต้นไม้ชนิดอื่น ๆ ในสวนกำลังพลิ้วไหวตามแรงลม
ไม่กี่อึดใจแรงลมเริ่มโหมกระหน่ำจนกลายเป็นพายุ
เด็กหนุ่มจับระเบียงยึดไว้แน่น
“สัญญากับฉันได้หรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้สิฉันสัญญา” เด็กสาวคลี่ยิ้มบนใบหน้า
แม้จะเป็นเพียงคำพูดแต่เด็กหนุ่มก็ยิ้มรับให้กับคำสัญญานั้น
“ขอบคุณมากเลยนะ”
แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะจดจำคำสัญญานั้นได้หรือไม่
“นี่มัน...”
ความมืดค่อย ๆ บดบังเงาเมฆจนสนิท ทำให้บริเวณโดยรอบมืดลงทีละนิด ไม่นานก็กลืนกินทุกสิ่งเข้าไปจนรอบตัวเหลือเพียงแต่ความมืด มีเพียงเสียงของเชโลม่าที่แว่วดังในความคิด
ร่างของเด็กหนุ่มตกลงสู่ห้วงแห่งความมืด ไม่ต่างจากหลุมอากาศขนาดใหญ่ จนรู้สึกเหมือนเบื้องล่างเป็นเวิ้งขนาดใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
“อาเธอร์” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน
ทุกอย่างดับวูบลงในชั่วพริบตา...
เด็กหนุ่มหอบหายใจ ผุดลุกขึ้นนั่งในสภาพเหงื่อท่วมตัว มองไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะหันไปมองแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านจากช่องหน้าต่างพลิ้วไหวเป็นจังหวะ
“เราฝันเรื่องเดิมอีกแล้วเหรอ”
เขาฝันเห็นเด็กสาวผมยาวสีเทาและคฤหาสน์สีขาวติดต่อกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ความฝันที่คล้ายกับฉายภาพเก่าย้อนให้ดูซ้ำไปซ้ำมา
ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงครุ่นคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เฮเนอร์”
“เฮเนอร์”
เมื่อเสียงนั้นเรียกซ้ำเป็นคำรบสองเจ้าของห้องจึงหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว สายขนาดนี้แล้วเหรอ”
“เฮเนอร์อย่าบอกนะเพื่อนว่านายยังนอนอยู่” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู “รถไฟจะออกตอนเจ็ดโมงเช้านะเพื่อน”
เฮเนอร์โจนลงจากเตียงก่อนใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการเปลี่ยนชุดพร้อมกับมุ่งตรงไปเปิดประตู “ฉันกำลังแต่งตัวอยู่ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“โทษที ๆ” เฮเนอร์หัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อเปิดประตูห้อง มองหน้าเจ้าของเสียงที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูห้อง
สถานีรถไฟมีคนบางตา แม้ว่ามันจะเป็นการเดินทางที่ประหยัด แต่เพราะกินเวลาค่อนข้างนานเลยไม่เป็นที่นิยมนัก
หน้าประตูสถานีเป็นโครงเหล็กต่อด้วยไม้กั้นทำเป็นป้ายหน้าสถานีอย่างดี ด้านในเป็นลานโล่งขนาดกว้างพอประมาณเนื่องจากเป็นเมืองขนาดเล็ก ถัดมาเป็นส่วนโถงมีม้านั่งยาวไม่กี่ตัวรองรับผู้โดยสารที่มารอรับบริการจากสถานีรถไฟ
“มาเซลสามใบครับ” เฮเนอร์ยื่นธนบัตรและเหรียญรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขานับไว้เรียบร้อยแล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานี
พนักงานสาวพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ครู่เดียวตั๋วก็ถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องขายตั๋วสามใบ เธอฉีกออกก่อนจะหันกลับมารับเงินพร้อมกับยื่นตั๋วส่งให้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เด็กสาวร่างเล็กท่าทางคล่องแคล่ว สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวสดใสเข้ากับกางเกงขาสั้นสีดำดูทะมัดทะแมง ผมยาวตรงสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบไว้ด้วยผ้าผูกผมสีดำ เธอตรงเข้ามาหาเฮเนอร์แล้วดึงตั๋วไปจากมือเด็กหนุ่ม
“ให้ฉันจัดการเองนะเฮเนอร์” เด็กสาวส่งยิ้มด้วยเสียงขู่แกมบังคับ
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ” เฮเนอร์ยิ้มรับ
‘อาเธอร์...’
เด็กหนุ่มหยุดเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ฟังดูคุ้นหู แม้ว่าชื่อที่เรียกนั้นจะไม่ใช่ชื่อของเขา แต่เสียงเล็กใสนั้นเหมือนกับเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ภาพของเด็กสาวผมยาวสีเทา สวมชุดยาวสีขาว กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง เท้าศอกทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะไม้สีเบจ เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน หลับตานิ่ง
ภาพของเธอค่อย ๆ ชัดขึ้นทีละนิดในหัวของเฮเนอร์
ทว่าเขากลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเด็กสาวคนนั้นจากที่ไหน...
“เร็วหน่อยสิเฮเนอร์”
เสียงเรียกของคาเทียทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว ก่อนหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านหลัง
“รู้แล้ว ๆ”
“เร็วเข้าสิ มัวแต่ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ”
ไม่นานเขาก็กลับมาทันขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนที่ยืนรออยู่ตรงชานชาลา
ภายในขบวนรถไฟมีผู้โดยสารบางตาไม่ต่างจากที่สถานี แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเข้าไปในขบวนรถไฟนายตรวจก็เข้ามาบังหน้าประตูเสียก่อน
เมื่อคาเทียยื่นตั๋วรถไฟสามใบให้กับนายตรวจแล้วเขาก็หลีกทางให้
เฮเนอร์เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง เพื่อให้มองออกไปด้านนอกได้สะดวก ตู้ขบวนรถไฟเป็นตู้ปรับอากาศ แม้ว่าภายนอกจะดูเก่าจนสีขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา แต่ภายในก็ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเบาะสีส้มภายในนั้นให้ความรู้สึกนุ่มสบาย
ทัศนียภาพด้านนอกสะกดให้เคลิบเคลิ้มได้ภายในเวลาไม่นาน เฮเนอร์รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าบอกนะว่านายยังนอนไม่พออีก” เรย์สะกิดไหล่เมื่อเห็นท่าทางอดหลับอดนอนของเฮเนอร์
ส่วนคาเทียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ตื่นสายแล้วยังง่วงอีกเหรอ” เขาย้ำอีกครั้ง
เรย์หรือเด็กหนุ่มร่างสูง ผมสั้นชี้ตั้งสีแดงโดดเด่น สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อสีขาวตัวใน เขาเป็นคนอารมณ์ดี ปรับตัวง่ายและเป็นมิตร
“เปล่า...ฉันแค่รู้สึกง่วง” เฮเนอร์อ้าปากหาววอดใหญ่
ทั้งสามส่งเสียงดังได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากรถไฟเที่ยวเจ็ดโมงเช้านั้นแทบไม่มีผู้โดยสาร หากทั้งสามคนไม่ซื้อตั๋ว รถไฟไปมาเซลคงไม่แวะจอดที่สถานีนี้อย่างแน่นอนเพราะไม่มีคนอื่นซื้อตั๋วอีกเลย
เมื่อรถไฟเริ่มออกจากชานชาลาเสียงคุยเริ่มเงียบลง ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนออกไปช้า ก่อนที่ความเร็วจะเพิ่มขึ้นทีละนิดมุ่งหน้าสู่สถานีมาเซลปลายทาง
“ยังจะนอนอีก”
“นายเงียบไปเลยเรย์” เฮเนอร์ตอบ พลางขยี้ผมบนหัวของตัวเองจนยุ่งแก้ง่วง
“คราวนี้ฉันว่าเจ้าลิงหัวแดงพูดถูกนะ” คาเทียเสริมพลางใช้นิ้วชี้เกี่ยวผมสีน้ำตาลอ่อนเล่น “แล้วนายละเรย์”
เรย์ที่กำลังหัวเราะอยู่สะดุดกึกเมื่อถูกเรียกว่า ‘เจ้าลิงหัวแดง’
เจ้าตัวไม่ค่อยชอบฉายานี้นัก ผู้ที่คิดขึ้นมาคือเพื่อนสนิททั้งสองคน แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ฉันว่านายหมกมุ่นกับความฝันมากเกินไปแล้วนะ”
เฮเนอร์ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเรย์นัก เขาเพียงเสมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิมเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอให้รถไฟขบวนนี้ไปถึงมาเซล
“บางที่นายอาจจะพูดถูกนะ ฉันฝันประหลาดอีกแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายฝันประหลาดอีกแล้วเหรอเฮเนอร์” คาเทียกอดอกทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเฮเนอร์
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนทั้งสองคนได้ฟังความฝันประหลาดของเฮเนอร์ แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากรู้ว่าต้นเหตุทั้งหมดของความฝันนั้นคืออะไรกันแน่
เด็กสาวที่ชื่อ ‘เชโลม่า’ เป็นใครกันแน่...
ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะผมยาวสีเทาของอีกฝ่าย มันดูคุ้นเหมือนเคยเห็นใครอีกคนที่มีเส้นผมสีเทาแบบนี้มาก่อน
ไม่นานนักเสียงอัตโนมัติก็ดังขึ้นภายในขบวนรถ
“ขณะนี้ขบวนรถไฟกำลังจะถึงมาเซลซึ่งเป็นสถานีปลายทางแล้วค่ะ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเตรียมตัวและระวังอย่าลืมทิ้งสิ่งของมีค่าไว้บนขบวนรถ ขอบคุณค่ะ”
“เฮเนอร์...”
“เฮเนอร์ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” คาเทียโบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอย
“เปล่า” เฮเนอร์สั่นหัวทันควัน
“มัวเหม่ออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้บนรถไฟเลย” เพื่อนผมแดงเสริม
เฮเนอร์ส่ายหน้า “โทษที ๆ ฉันแค่คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่” เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษก่อนจะเดินตามเพื่อนไปที่ประตู
คาเทียลุกขึ้นตามไปรอหน้าประตูเช่นกัน เป็นจังหวะเดียวกับรถไฟจอดเทียบชานชาลาของสถานีมาเซลพอดี