ตามหาหิมะขาว ตอน 1

กระทู้สนทนา
“ แก้ว...แก้ว  ปีนี้เที่ยวที่ไหนดีจ้า  วางแผนแล้วยังเพื่อน” 

               ฉันถามพานแก้วเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล  จนจบมหาวิทยาลัยเดียวกันและพักคอนโดมิเนียมห้องเดียวกันอีกตอนนี้  เธอเป็นเพื่อนขาลุยมาก  ชอบเที่ยวพอๆกับฉัน  จะเที่ยวเมื่อไหร่ให้บอกพานแก้ว  เดี๋ยวพานแก้วจัดให้

              “ เราว่าไปยุโรปกันดีกว่านะ แต่มีเวลาแค่ 7 วันเองขวัญ” พานแก้วมีแผนเที่ยวมาเสนอทันทีเมื่อฉันกระตุ้นต่อมเที่ยวของเธอ

              “ งั้นเราไปยุโรปกัน  แต่เวลามีน้อย  ต้องเจาะเที่ยวประเทศเดียวนะ แก้วว่าอย่างไร” 

               ฉันตอบสนองแผนการเที่ยวเช่นกัน  เพราะขาลุยเที่ยวแนวแบ็คแพ็ค  ต้องวางแผน  และหาข้อมูลก่อนไปเที่ยว 

               เป็นการเที่ยวที่สนุกและท้าทายมาก  ทำให้ตื่นเต้นและเร้าใจ  ถูกใจคนที่ชอบผจญภัยและพวกขาลุย

               “เราว่าปีนี้ไปตะลุยหิมะกันดีกว่า  หนาวสะใจดีแก้ว” ฉันเสนอต่อเพราะไม่ได้หนาวมานานแล้ว  เนื่องจากช่วงหลังเที่ยวต่างประเทศฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเป็นส่วนใหญ่

               “ว้าว..ว้าว  ดีๆ เราก็อยากไปจูบหิมะเหมือนกัน” พานแก้วดีใจที่ฉันคิดเหมือนกัน

               “เลือกประเทศมาเลย..  ว่าจะไปจูบและตะกุยหิมะกันที่ไหนดี  ช่วงไหนดี” พานแก้วให้ฉันเสนอประเทศที่จะไปตามหาหิมะกัน

              “เราสนใจยอดเขา Brocken นะ” 

               ฉันเสนอตามหาหิมะที่นั่นเพราะไปอ่านเจอว่าน่าสนใจ  และเยอรมนีเป็นประเทศที่ยังไม่เคยไป  ปกติคนชอบเที่ยวมักจะคิดเสมอว่าที่ไหนไม่เคยไปต้องไป  ความรู้สึกของคนชอบเที่ยวจะรู้สึกเหมือนการสะสมของที่ชอบ  จะสะสมให้มากที่สุด  เพราะเป็นความสุขทางใจที่ใครๆก็อยากสัมผัส

              “ใช่เลย... เรายังไม่เคยไปเยอรมนี  เพราะฉะนั้นต้องไปเหยียบที่นั่นกัน”

              ..... พานแก้วสนับสนุน  เพราะเวลาไปเที่ยว  พานแก้วจะไปเที่ยวกับฉันทุกครั้ง  เราเที่ยวด้วยกันมาตลอด  

             ....... และเป็นนักเที่ยวที่หาข้อมูลพร้อมก่อนจะไปเที่ยว  ขณะเที่ยวบันทึกข้อมูล  กลับมาเก็บข้อมูลการท่องเที่ยวเป็นอัลบั้มไว้ 

             ...... ถึงจะเป็นนักเที่ยวมือสมัครเล่น  แต่ทุกอย่างเซทพร้อม  อยากเนียนเป็นนักท่องเที่ยวมืออาชีพ  ฮ่าๆๆๆๆ...อนาคตไม่แน่อาจได้เป็นตามฝัน

              เสียงเพลงจิงเกอร์เบลดังลอยมา  ลมเย็นโชยมาเบาๆ  ทำให้กมลขวัญเกิดความคิดโผล่ขึ้นมาทันที

              "แก้ว..เราไปช่วงคริสต์มาสกันดีกว่า  น่าจะได้บรรยากาศหนาวเหน็บแห่งวันคริสต์มาสนะ” 

              ฉันเสนอช่วงเวลาที่น่าจะไปสัมผัสหิมะช่วงวันคริสต์มาสให้พานแก้ว

              “กรี๊ด....กรี๊ด....ดีเลยขวัญ  ฉันฝันอยากไปร้องเพลงจิงเกอร์เบลที่ต่างประเทศมานานแล้ว  เคยได้แต่ร้องตอนเป็นนักเรียนในห้องเรียน  ครานี้เราจะไปร้องที่เยอรมนีละ” 

               พานแก้ว  ดีใจที่ความฝันของเธอจะเป็นจริง

               “เราจะได้ไปเห็นต้นคริสต์มาส  ในเทศกาลคริสต์มาสด้วย  เพราะต้นคริสต์มาส  ประเทศเยอรมันนี  เป็นต้นกำเนิดที่นั่นเลยน้าแก้ว” ฉันบอกแก้ว

              “ใช่ๆ เราจำได้หละ มาร์ติน  ลูเธอร์เป็นคนคิดคนแรก” พานแก้วเคยร่วมร้องเพลงและเล่าประวัติวันคริสต์มาสในห้องเรียนตอนเรียนมัธยมปลาย

               “ตกลงตามนั้นขวัญ  เราเตรียมการกันเลยจ้า  อิอิ..” 

                พานแก้วนักลุยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เริ่มวางแผนและหาข้อมูลทันที  ฉันก็ได้เพื่อนซี้คู่ใจนี่แหละพาเที่ยว  และคอยช่วยเหลือทุกเรื่องเมื่อเริ่มมีการคิดวางแผนเที่ยว

               เหลือเวลาอีก 3 สัปดาห์ก็จะได้ไปหาความสุขที่เยอรมนีแล้ว ดีที่ทำวีซ่าเชงเก้นแบบ Multiple Entry Visa เอาไว้  ทำให้เดินทางไปยุโรปได้ภายในเวลา 5 ปี สะดวกสบายสำหรับนักเที่ยวที่ชอบเที่ยวยุโรป

                ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย  ทั้งพานแก้วและฉันช่วยกัน  อีกสองวันพร้อมเที่ยวหาประสบการณ์ที่เยอรมนี  แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว  ถึงแม้จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศเป็นประจำ 

                แต่ทุกครั้งที่ได้ไปก็จะรู้สึกสนุกสนาน  อย่างที่เขาว่าไว้ว่าคนที่ชอบท่องเที่ยวจะเป็นคนกระชุ่มกระชวย  ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  แค่เตรียมการก็มีความสุขแล้ว  ยิ่งสุขมากขึ้นเมื่อได้ไปสัมผัสกลิ่นไอสถานที่จริง

               “แก้ว..เป็นอะไรนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  เราเห็นแก้วนั่งยิ้มนานแล้วนะ”  ฉันสังเกตเห็นพานแก้วยิ้มอยู่คนเดียวมาสัก 5 นาทีได้

               “ ฮ่าๆๆ  ก็คิดเรื่องเที่ยวนี่แหละ  ใจไปเที่ยวแล้วตอนนี้  รอกายตามไป” 

                พานแก้ว  นักเที่ยวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  พูดไปหัวเราะไป  เป็นความสุขของคนชอบเที่ยวก็จะมีอาการแบบนี้แหละ  ใครที่รักการท่องเที่ยวจะเข้าใจดีอาการเช่นนี้

                จากสุวรรณภูมิถึงสนามบินที่ลอนดอน  โดยสายการบินบริติชแอร์เวย์  และไปต่อที่ฮันโนเวอร์  เหนื่อยได้ใจเลย  

                 แต่ช่วงที่เราเดินทางกันเป็นช่วงที่พวกเราหาข้อมูลเจาะลึกลงไปเพื่อให้ได้อรรถรสในการเดินทาง 

                ..... เดินทางแบบแบ็คแพ็คจะสนุกก็ตรงนี้แหละ 

                ..... ทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้นต่อการติดต่อสื่อสาร 

                ...... พานแก้วได้ภาษาฝรั่งเศสด้วย  จะมีประโยชน์ได้ใช้บ้าง 

               ....... แต่มาเยอรมนีใช้ภาษาอังกฤษได้สบาย  เพราะคนยุโรปจะได้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว  

                เข้าที่พักเรียบร้อย  นอนหลับพักผ่อน  และต้องปรับตัวเข้ากับเวลาของเยอรมัน  ซึ่งฤดูหนาวจะห่างจากประเทศไทยไป 6 ชั่วโมง  ถึงแม้จะไม่ใช่เวลานอนแต่ด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางเป็นเวลานาน  ทำให้พานแก้วกับฉันหลับสนิทประเภทม้วนเดียวจบกันเลย

                “เช้าแล้วจ้าแก้ว  ได้เวลาตื่นแล้ว  ต้องไปยอดเขาBrocken กันแล้ว  เดี๋ยวไม่ทันขบวนรถไฟไอน้ำเที่ยวแรก” 

                ฉันปลุกพานแก้ว  ให้พร้อมไปผจญภัยกันต่อ  

                “หิมะบนยอดเขา Brocken รอพวกเราอยู่  อยากเล่นหิมะแย่แล้ว” ฉันพูดเบาๆ

                “อุปกรณ์ครบนะ  รองเท้าตะลุยหิมะห้ามลืมเด็ดขาดขวัญ” 

                พานแก้วเตือนฉันไม่ให้ลืมสิ่งสำคัญ  เพราะเดินบนหิมะต้องมีรองเท้าตะลุยหิมะ  ไม่อย่างนั้นจะเลื่อนล้มและไถลบนพื้นได้  อาจทำให้เกิดอันตราย 

                ......การเดินทางครั้งนี้เรามีเป้ใบใหญ่สะพายหลังคนละใบ  หน้าหนาวแบบนี้ไม่ต้องห่วงสวย  ต้องอบอุ่นเข้าไว้ .....

                .....ชุดลองจอน  ถุงเท้า  หมวก  ถุงมือ  ผ้าพันคอ ต้องพร้อม  เวลาอากาศติดลบ 

                ..... ร่างกายต้องอบอุ่นเอาไว้  มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

               “ พร้อมจ้าแก้ว  แว่นกันแดดที่ซื้อมาใหม่ได้เอามาโชว์คราวนี้แหละ” 

               ..... ฉันโชว์แว่นกันแดดให้แก้วดู  เลนส์ดำมากเพราะการมาเล่นหิมะ  ต้องมีแว่นกันแดด  เนื่องจากสีขาวโพลนของหิมะ 
                จะทำให้มองอะไรไม่เห็น  ยิ่งตอนแสงแดดส่องกระทบความขาวของหิมะ  จะสะท้อนจนตามองภาพไม่ชัด .... 

                พานแก้วกับฉันเดินทางจากเมืองฮันโนเวอร์ไปรัฐซัคเซิน-อันฮัลท์  โดยรถไฟรัฐนี้มีเมืองหลวงชื่อเมืองมัคเดอบวร์ค  เป็นรัฐทางตอนเหนือสุดของเยอรมนี  

               เป็นที่ตั้งของยอดเขา Brocken เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาฮาร์ซและยอดเขาที่สูงที่สุดของภาคเหนือของเยอรมนี 

               เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Harzและเป็นที่ตั้งของสวนพฤกษศาสตร์เก่าแก่ที่มีพืชบนภูเขาสูงประมาณ 1,600 ต้น 
               ..... มีรถไฟไอน้ำพาขึ้นไป ความสูงของเขา 1,125 เมตร .....

               ถึงทันเวลาอย่างสบายๆ  พอถึงเราก็ตรงไปสถานีรถไฟ  เพื่อซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟไอน้ำ  ช่วงเทศกาลคริสต์มาส  มีขบวนพิเศษเพื่อบริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

               มีนักท่องเที่ยวมาจากหลายที่เพื่อมาขึ้นรถไฟไอน้ำในวันนี้  

             “นักท่องเที่ยวเยอะจัง  พวกเราไม่เหงาหละ  มีเพื่อนร่วมทาง สนุกดี” 

             “ มีกี่โบกี้เนี่ย... แก้วนับดูซิ” ฉันบอกให้แก้วนับตู้รถไฟที่จะขึ้นเขาไปยอดเขาBrocken

             “ มี 8 โบกี้  คนคงขึ้นกันเต็มหมดดูแล้วนะ  เพราะมีสถานีระหว่างทางหลายสถานีนะ” แก้วชวนฉันให้รีบขึ้นไปบนขบวนก่อนจะไม่มีที่นั่ง  เพราะเป็นช่วงเทศกาลคนจะมากเป็นพิเศษ

              “เลือกที่นั่งด้านที่ไปทางเดียวกับรถไฟไอน้ำวิ่ง  ไม่งั้นเวียนหัว ฮ่าๆๆๆ” ฉันบอกกับแก้ว  เพราะขึ้นก่อนมีโอกาสเลือกที่นั่งได้  แต่แก้วชอบนั่งติดหน้าต่าง  จะได้เห็นทิวทัศน์ข้างทาง

               ได้ยินเสียงนายสถานีประกาศว่าได้เวลารถไฟไอน้ำจะออกจากสถานีแล้ว

              “ ว้าว..ได้เวลาส่องหิมะข้างทางหละ” แก้วพูดอย่างตื่นเต้นจะได้เห็นหิมะข้างทาง  ในขบวนรถไฟเปิดฮีตเตอร์  อุณหภูมิกำลังดี  แต่อุณหภูมิข้างนอกเย็นมากตอนนี้

             “ ฮ่าๆๆ เริ่มอุ่นเกินไปละซิ”  ฉันเห็นแก้วเอาผ้าพันคอออก  เพราะเริ่มอุ่นเกินไป

             รถไฟเริ่มขยับล้อ  เสียงหวูดรถไฟดัง  ทำให้คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็ก  รถไฟไทยใช้รถไฟไอน้ำ  เวลารถไฟไอน้ำวิ่งจะมีเสียงดัง....ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง...  ถึงแม้จะดังแบบนั้นก็ยังถึงที่หมาย เหมือนคำพูดที่ว่ามาช้าดีกว่าไม่มา  ฮ่าๆๆๆ...

              พอรถไฟเริ่มเคลื่อนที่  ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว  เริ่มทยอยเดินมาหาที่นั่ง 

             “ขอโทษครับที่นั่งตรงนี้ว่างไหมครับ”  เสียงผู้ชายโทนเสียงนุ่มถามอย่างสุภาพ  

              “ว่างค่ะ เชิญนั่งเลยนะค่ะ”  ฉันตอบรับด้วยความยินดีเช่นกัน  แต่ยังไม่ได้มองหน้าคนที่ถาม  พานแก้วก็มีความสุขกับการมองวิวข้างทาง  เพลิดเพลินใจ

              เขานั่งลงข้างๆฉัน  ฉันยังคงไม่ละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทางรถไฟ  ช่วงนี้เป็นต้นทาง  หิมะยังไม่มีให้เห็น 

              แต่จะเห็นต้นไม้ที่แห้ง  ใบไม้ร่วงหมดต้น  มีบ้านคนบ้างแต่อยู่ห่างกันมาก  นานๆจะเห็นสักหลัง 

             ทางรถไฟไอน้ำนี้เป็นทางรถไฟที่ค่อนข้างแคบ  วิ่งเลาะไปตามทางที่ค่อยๆขึ้นเขา  ระยะทาง 170 กิโลเมตร

             รถไฟจอดสถานีแรก  ฉันละสายตาจากวิวข้างทางไปมองสถานีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง มีคนขึ้นระหว่างทางบ้าง 5-6 คน  ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว

             “สวัสดีครับ  คุณขึ้นถึงยอดเขาไหมครับ” ชายหนุ่มเจ้าของเสียงที่นั่งข้างๆ  เริ่มบทสนทนากับฉัน  คงเป็นเพราะเห็นฉันหน้าตาแถบเอเชีย
              
             ฉันหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่