26.12.19
.
ความเดิมตอนที่แล้วจาก https://ppantip.com/topic/39563473 ที่เราพูดถึง overall ของทริป 5 ประเทศ 8 คืน วันนี้เราขอเริ่มที่จุดหมายแรกของทริปนี้ ซึ่งก็คือ เมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง .
สตราสบูร์ก (Strasbourg) เป็นเมืองในฝรั่งเศสที่หลายคนพูดถึงถึงว่าเป็นเมืองเล็กๆที่น่ารัก และที่สำคัญคือเป็นเมืองที่หลายคนรู้จักจากความโด่งดังของตลาดคริสต์มาสที่นี่ เราเองเลือกมาที่เมืองนี้ด้วยเหตุผลทุกด้านที่พูดมา แม้ว่าเราจะเดินทางมาถึงในวันที่ 26 ธันวาคม แต่ลองเช็คตารางตลาดคริสต์มาสแล้ว ยังคงมีร้านค้าเปิดขายอยู่บ้างประปราย จึงตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นจุดหมายแรกของการเดินทาง
.
เราจองตั๋วรถไฟผ่านทางเว็บไซต์ไว้ล่วงหน้า แต่ด้วยเหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ทำให้ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม มีขบวนรถไฟที่ถูกยกเลิกไม่น้อย และหนึ่งในนั้นก็คือขบวนรถไฟจากปารีสไปสตราสบูร์กของเรา เราจำใจต้องเลื่อนตั๋วไปรอบถัดไปซึ่งจะทำให้เราไปถึงเมืองสตราสบูร์กค่อนข้างค่ำ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นเพราะรอบก่อนหน้าที่มีนั้นเราจะยังเดินทางมาไม่ถึงปารีส
.
วันที่ 26 ธันวาคม เราเดินทางจากกรุงปารีสมาเมืองสตราสบูร์กด้วยรถไฟ สถานีรถไฟ Gare de l'Est เป็นสถานีต้นทางมีความแตกต่างจาก Gare du Nord ค่อนข้างมาก ที่นี่จะคึกคักน้อยกว่า และส่วนมากจะเป็นคนในพื้นที่ที่เดินทางกลับบ้านในช่วงวันหยุดยาว ป้ายต่างๆล้วนเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ยังโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่รถไฟสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้าง ช่วยทำให้เราหาขบวนรถไฟเจอและขึ้นรถได้ทันเวลา
.
.
บนรถไฟเราได้นั่งเป็น Family seat แต่โชคดีที่ไม่มีใครนั่งตรงข้ามกับเรา ส่วน Family seat ข้างๆเราเป็นครอบครัวที่ดูเหมือนจะเดินทางไปเยี่ยมญาติกันที่เมืองนี้ ดูอบอุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว การเดินทางบนรถไฟนี้ใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ถือว่าเร็วใช้ได้เมื่อเทียบกับระยะทางทั้งหมด
.
สำหรับเมืองนี้ เราเลือกจองที่พักผ่าน Airbnb เนื่องจากราคาถูกกว่าโรงแรมทั่วไป และตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ทันทีที่ลงรถไฟเราก็รีบเดินไปยังที่พัก ตะกุกตะกักกับการเช็คอินนิดหน่อย แต่ในที่สุดก็เข้าไปเก็บกระเป๋าและพร้อมจะออกไปลุยตลาดคริสต์มาสที่คาดว่าจะยังพอหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย
.
เราเดินออกมาตามกูเกิ้ลแมพได้ระยะหนึ่ง ก็พบกับแสงไฟระยิบระยับและผู้คนเดินขวักไขว่ จะว่าเยอะก็เยอะ แต่ก็ไม่ได้แน่นจนไม่มีทางเดิน เราตัดสินใจเดินไปดูตลาดคริสต์มาสตรงบริเวณ The cathedral of Notre-Dame ยังพอมีร้านเปิดอยู่ 2-3 ร้าน แน่นอนล่ะ รีบเค้าไปซื้อไวน์ร้อนมาก่อนเลย ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสไวน์ พ่อค้าก็ปิดหน้าต่างร้านไปเป็นที่เรียบร้อย (ในใจคือตั้งใจจะลองไวน์ขาวอีกแก้ว) นักท่องเที่ยวอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ทำหน้างง อดกินไปตามระเบียบ ส่วนเราก็ได้แก้วไปเป็นที่ระลึกแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะโดยปกติจะมีค่ามัดจำแก้ว แล้วเราก็เอาแก้วไปคืนพร้อมกับรับเงินมัดจำ ครั้งนี้เลยได้ของที่ระลึกมาแบบงงๆ
.
The cathedral of Notre-Dame, Strasbourg
.
มารีวิวที่พักกันหน่อย สำหรับ Airbnb ที่นี่ถือว่าโลเคชั่นโอเคเลย แต่วิธีการเช็คอินตะกุกตะกักนิดหน่อย สื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ เราถามโฮสว่าม่านที่นี่ปิดยังไง โฮสบอกว่ามันง่ายมาก แต่ฉันอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูกหรอก เธอลองดึงๆดูน่าจะง่ายกว่าให้ฉันพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ เอ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่สุดท้ายเราก็ลองเล่นจนปิดได้นั่นแหละ (และค้นพบว่าตลอดทั้งทริป ทุกบ้านที่ยุโรป เค้าใช้นวัตกรรมม่านแบบเดียวกันหมดเลย) ที่หนักไปกว่านั้นคือ ฮีตเตอร์ ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ สิ่งที่คนไทยอย่างเราเป็นกังวลก็คือการใช้ฮีตเตอร์ เพราะระบบแต่ละที่มันก็ต่างกันไปเนอะ หลังจากที่ถามไปก็คือได้ความว่าให้หมุนไปที่เลข 1, 2, 3 แล้วมันก็จะอัตโนมัติเอง เอาล่ะ เปิดไปเบอร์ 3 ก็แล้ว ไม่เห็นจะอุ่นเลย
แล้วสิ ใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อหนาๆนอนกันเลยทีนี้ ข้อเตือนใจสุดท้ายของการพัก Airbnb คือ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เราเห็นรูปเตียงสองชั้นที่คาดว่าอย่างน้อยก็น่าจะนอนได้สองคน แต่ความเป็นจริงก็คือมีผ้าห่มผืนเดียว ทำให้เราต้องขึ้นไปเบียดกันที่ชั้นสอง (ชั้นล่างเป็นโซฟาที่ความยาวไม่พอกับขา (สั้นๆ) ของเรา) และเมื่อเราปีนขึ้นไปบนชั้นสองก็พบว่า เราสามารถนอนเบียดกันได้ โดยที่ไม่สามารถขยับตัวได้อีกเลย
.
และค่ำคืนที่แสนอบอุ่นก็ผ่านพ้นไป เราซื้ออาหารเช้าเล็กๆน้อยไว้กินก่อนออกเดินทาง และวันนี้เราจะเข้าไปเดินเล่นในเมือง และตัดสินใจว่าถ้าพอมีเวลาเหลือเราจะนั่งรถราง (tram) ข้ามไปฝั่งเยอรมันกัน
.
ต้องยอมรับว่าอากาศในวันนี้ไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไร ฝนตกปรอยๆตั้งแต่เช้า ท้องฟ้าหม่นหมอง ภาพที่เก็บมาได้เลยจะไม่เหมือนกับในกูเกิ้ลสักเท่าไร แต่ไม่เป็นไรถือว่าเก็บบรรยากาศและได้สัมผัสความน่ารักของเมืองในอีกมุม เมื่อเราเข้าไปในเมืองก็พบว่าตลาดคริสต์มาสในเมืองทยอยถูกเก็บกวาด ส่วนมากเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก มักจะมีตลาดคริสต์มาสจนถึงแค่วันคริสต์มาสเท่านั้น การเดินดูงานเทศกาลรื่นเริงถูกพรากไปให้ความรู้สึกประหลาดไปอีกแบบ
.
The cathedral of Notre-Dame, Strasbourg
.
เราเดินดูความสวยงามของเมืองและแม้ว่าจะเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราก็ตัดสินใจนั่งรถรางข้ามไปยังเยอรมัน เป็นความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันเหมือนการนั่งรถรางปกติ แล้วมันก็พาเราข้ามไปอีกประเทศแบบงงๆ เราลงที่สถานีแรกหลังจากข้ามประเทศไป ไม่มีการตรวจเช็คพาสปอร์ต วีซ่า หรืออะไรทั้งนั้น เหมือนเป็นแค่การเดินทางข้ามจังหวัดในบ้านเรา ป้ายต่างๆเหมือนปรับโหมดเป็นภาษาเยอรมัน เราเดินสูดอากาศในประเทศเยอรมันไม่ถึงสิบนาทีก็เดินข้ามแม่น้ำกลับไปยังฝั่งฝรั่งเศส แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนได้บรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่างแล้ว
.
.
หมดเวลาแล้วสำหรับเมืองสตราสบูร์กแห่งนี้ ขอนิยามให้เป็นฝรั่งเศสอีกมุมที่ไม่ใกล้เคียงกับปารีสเลย แต่เรากลับเพลิดเพลินในความเรียบง่ายและน่ารักของเมืองนี้ แม้ว่าครั้งนี้เราจะไม่พบเจอกับประสบการณ์ที่น่ากลัวใดใดต่างจากปารีสครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองนี้จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครที่ไปเที่ยวก็ต้องระมัดระวังตัวเช่นกัน แต่บอกเลยว่าเดินสบายตัวกว่าปารีสเยอะ มีเวลาให้หายใจหายคอและซึบซับกับบรรยากาศโดยปราศจากความระแวง เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้จากปารีสจริงๆ
.
ยังไงก็ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ เราจะเดินทางต่อไปยังประเทศลักเซมเบิร์กกันค่ะ
ถ้าใครสนใจทริป 5 ประเทศ 8 คืนของเรา สามารถเข้าไปอ่าน EP 0 | overall ได้ที่
https://ppantip.com/topic/39563473 นะคะ
แล้วก็ขออนุญาตฝากเพจ
https://www.facebook.com/hareung/ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
[CR] Christmas Trip EP. 1 | สตราสบูร์ก Strasbourg
.
เราจองตั๋วรถไฟผ่านทางเว็บไซต์ไว้ล่วงหน้า แต่ด้วยเหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ทำให้ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม มีขบวนรถไฟที่ถูกยกเลิกไม่น้อย และหนึ่งในนั้นก็คือขบวนรถไฟจากปารีสไปสตราสบูร์กของเรา เราจำใจต้องเลื่อนตั๋วไปรอบถัดไปซึ่งจะทำให้เราไปถึงเมืองสตราสบูร์กค่อนข้างค่ำ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นเพราะรอบก่อนหน้าที่มีนั้นเราจะยังเดินทางมาไม่ถึงปารีส
.
วันที่ 26 ธันวาคม เราเดินทางจากกรุงปารีสมาเมืองสตราสบูร์กด้วยรถไฟ สถานีรถไฟ Gare de l'Est เป็นสถานีต้นทางมีความแตกต่างจาก Gare du Nord ค่อนข้างมาก ที่นี่จะคึกคักน้อยกว่า และส่วนมากจะเป็นคนในพื้นที่ที่เดินทางกลับบ้านในช่วงวันหยุดยาว ป้ายต่างๆล้วนเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ยังโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่รถไฟสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้าง ช่วยทำให้เราหาขบวนรถไฟเจอและขึ้นรถได้ทันเวลา
.
.
บนรถไฟเราได้นั่งเป็น Family seat แต่โชคดีที่ไม่มีใครนั่งตรงข้ามกับเรา ส่วน Family seat ข้างๆเราเป็นครอบครัวที่ดูเหมือนจะเดินทางไปเยี่ยมญาติกันที่เมืองนี้ ดูอบอุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว การเดินทางบนรถไฟนี้ใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ถือว่าเร็วใช้ได้เมื่อเทียบกับระยะทางทั้งหมด
.
สำหรับเมืองนี้ เราเลือกจองที่พักผ่าน Airbnb เนื่องจากราคาถูกกว่าโรงแรมทั่วไป และตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ทันทีที่ลงรถไฟเราก็รีบเดินไปยังที่พัก ตะกุกตะกักกับการเช็คอินนิดหน่อย แต่ในที่สุดก็เข้าไปเก็บกระเป๋าและพร้อมจะออกไปลุยตลาดคริสต์มาสที่คาดว่าจะยังพอหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย
.
เราเดินออกมาตามกูเกิ้ลแมพได้ระยะหนึ่ง ก็พบกับแสงไฟระยิบระยับและผู้คนเดินขวักไขว่ จะว่าเยอะก็เยอะ แต่ก็ไม่ได้แน่นจนไม่มีทางเดิน เราตัดสินใจเดินไปดูตลาดคริสต์มาสตรงบริเวณ The cathedral of Notre-Dame ยังพอมีร้านเปิดอยู่ 2-3 ร้าน แน่นอนล่ะ รีบเค้าไปซื้อไวน์ร้อนมาก่อนเลย ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสไวน์ พ่อค้าก็ปิดหน้าต่างร้านไปเป็นที่เรียบร้อย (ในใจคือตั้งใจจะลองไวน์ขาวอีกแก้ว) นักท่องเที่ยวอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ทำหน้างง อดกินไปตามระเบียบ ส่วนเราก็ได้แก้วไปเป็นที่ระลึกแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะโดยปกติจะมีค่ามัดจำแก้ว แล้วเราก็เอาแก้วไปคืนพร้อมกับรับเงินมัดจำ ครั้งนี้เลยได้ของที่ระลึกมาแบบงงๆ
.
มารีวิวที่พักกันหน่อย สำหรับ Airbnb ที่นี่ถือว่าโลเคชั่นโอเคเลย แต่วิธีการเช็คอินตะกุกตะกักนิดหน่อย สื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ เราถามโฮสว่าม่านที่นี่ปิดยังไง โฮสบอกว่ามันง่ายมาก แต่ฉันอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูกหรอก เธอลองดึงๆดูน่าจะง่ายกว่าให้ฉันพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ เอ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่สุดท้ายเราก็ลองเล่นจนปิดได้นั่นแหละ (และค้นพบว่าตลอดทั้งทริป ทุกบ้านที่ยุโรป เค้าใช้นวัตกรรมม่านแบบเดียวกันหมดเลย) ที่หนักไปกว่านั้นคือ ฮีตเตอร์ ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ สิ่งที่คนไทยอย่างเราเป็นกังวลก็คือการใช้ฮีตเตอร์ เพราะระบบแต่ละที่มันก็ต่างกันไปเนอะ หลังจากที่ถามไปก็คือได้ความว่าให้หมุนไปที่เลข 1, 2, 3 แล้วมันก็จะอัตโนมัติเอง เอาล่ะ เปิดไปเบอร์ 3 ก็แล้ว ไม่เห็นจะอุ่นเลย แล้วสิ ใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อหนาๆนอนกันเลยทีนี้ ข้อเตือนใจสุดท้ายของการพัก Airbnb คือ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เราเห็นรูปเตียงสองชั้นที่คาดว่าอย่างน้อยก็น่าจะนอนได้สองคน แต่ความเป็นจริงก็คือมีผ้าห่มผืนเดียว ทำให้เราต้องขึ้นไปเบียดกันที่ชั้นสอง (ชั้นล่างเป็นโซฟาที่ความยาวไม่พอกับขา (สั้นๆ) ของเรา) และเมื่อเราปีนขึ้นไปบนชั้นสองก็พบว่า เราสามารถนอนเบียดกันได้ โดยที่ไม่สามารถขยับตัวได้อีกเลย
.
และค่ำคืนที่แสนอบอุ่นก็ผ่านพ้นไป เราซื้ออาหารเช้าเล็กๆน้อยไว้กินก่อนออกเดินทาง และวันนี้เราจะเข้าไปเดินเล่นในเมือง และตัดสินใจว่าถ้าพอมีเวลาเหลือเราจะนั่งรถราง (tram) ข้ามไปฝั่งเยอรมันกัน
.
.
.
หมดเวลาแล้วสำหรับเมืองสตราสบูร์กแห่งนี้ ขอนิยามให้เป็นฝรั่งเศสอีกมุมที่ไม่ใกล้เคียงกับปารีสเลย แต่เรากลับเพลิดเพลินในความเรียบง่ายและน่ารักของเมืองนี้ แม้ว่าครั้งนี้เราจะไม่พบเจอกับประสบการณ์ที่น่ากลัวใดใดต่างจากปารีสครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองนี้จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครที่ไปเที่ยวก็ต้องระมัดระวังตัวเช่นกัน แต่บอกเลยว่าเดินสบายตัวกว่าปารีสเยอะ มีเวลาให้หายใจหายคอและซึบซับกับบรรยากาศโดยปราศจากความระแวง เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้จากปารีสจริงๆ
.
ยังไงก็ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ เราจะเดินทางต่อไปยังประเทศลักเซมเบิร์กกันค่ะ
ถ้าใครสนใจทริป 5 ประเทศ 8 คืนของเรา สามารถเข้าไปอ่าน EP 0 | overall ได้ที่ https://ppantip.com/topic/39563473 นะคะ
แล้วก็ขออนุญาตฝากเพจ https://www.facebook.com/hareung/ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้