ได้มรรคผลก่อนแล้ว จึงเจริญสมถะเพิ่มเติมจนได้ฌานสมาบัติ ได้หรือไม่?
ตอบว่า ได้มรรคผลก่อนแล้ว จึงมาเจริญสมถะทีหลังเพิ่มเติมได้
บางคนได้มาก่อน แต่ว่าไม่รู้ว่าได้มายังไง ก็ต้องกลับไปศึกษาว่าได้มายังไง
ยกตัวอย่าง มีคนโยนของให้เรา เรารับสิ่งของนั้นได้ แต่เรารู้ว่าตรงนี้กินได้ เช่น เป็นสตรอว์เบอร์รี่ กิน แต่เราไม่รู้ว่าสตรอว์เบอร์รี่เป็นมายังไง ปลูกยังไง มาจากไหน เป็นพืชอะไรเราไม่รู้นี่
ถ้าอย่างนี้เราได้ก็ได้แบบอุปโลกน์นะสิ?
ไม่ใช่อุปโลกน์ แต่ไปตามภาวะธรรมของภูมิของเรา เช่น เป็นของกินได้ไหม? ก็กินได้ ก็ตามภูมิตรงนี้ของเรานั่นแหละ ถ้าเราจะรู้มากกว่านี้อีก ภูมิของเราจะยกระดับสูงขึ้นไปอีก ไม่ใช่เป็นการอุปโลกน์ แต่เป็นของจริงตามภูมิ คือ ภูมิเราแค่นี้ ก็ต้องรู้แค่นี้ จะเอายังไง?
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง เรากินข้าวได้ไหม? แต่ว่าเราหุงเป็นไหมล่ะ? ปลูกเป็นไหมล่ะ? ก็เพราะภูมิเรามีอยู่แค่นี้ รู้ว่ากินได้ แต่เราหุงไม่เป็น เราไม่เคยหุงข้าว เขาเรียกว่า ตามภูมิ
คนทั่วไปชอบอุปโลกน์ คือ ตัวเองหุงไม่ได้แต่ทะลึ่งจะไปหุงข้าว ข้าวก็ออกมาเละแหละ
ได้มรรคผลก่อนแล้ว จึงเจริญสมถะเพิ่มเติมจนได้ฌานสมาบัติ ได้หรือไม่?
ตอบว่า ได้มรรคผลก่อนแล้ว จึงมาเจริญสมถะทีหลังเพิ่มเติมได้
บางคนได้มาก่อน แต่ว่าไม่รู้ว่าได้มายังไง ก็ต้องกลับไปศึกษาว่าได้มายังไง
ยกตัวอย่าง มีคนโยนของให้เรา เรารับสิ่งของนั้นได้ แต่เรารู้ว่าตรงนี้กินได้ เช่น เป็นสตรอว์เบอร์รี่ กิน แต่เราไม่รู้ว่าสตรอว์เบอร์รี่เป็นมายังไง ปลูกยังไง มาจากไหน เป็นพืชอะไรเราไม่รู้นี่
ถ้าอย่างนี้เราได้ก็ได้แบบอุปโลกน์นะสิ?
ไม่ใช่อุปโลกน์ แต่ไปตามภาวะธรรมของภูมิของเรา เช่น เป็นของกินได้ไหม? ก็กินได้ ก็ตามภูมิตรงนี้ของเรานั่นแหละ ถ้าเราจะรู้มากกว่านี้อีก ภูมิของเราจะยกระดับสูงขึ้นไปอีก ไม่ใช่เป็นการอุปโลกน์ แต่เป็นของจริงตามภูมิ คือ ภูมิเราแค่นี้ ก็ต้องรู้แค่นี้ จะเอายังไง?
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง เรากินข้าวได้ไหม? แต่ว่าเราหุงเป็นไหมล่ะ? ปลูกเป็นไหมล่ะ? ก็เพราะภูมิเรามีอยู่แค่นี้ รู้ว่ากินได้ แต่เราหุงไม่เป็น เราไม่เคยหุงข้าว เขาเรียกว่า ตามภูมิ
คนทั่วไปชอบอุปโลกน์ คือ ตัวเองหุงไม่ได้แต่ทะลึ่งจะไปหุงข้าว ข้าวก็ออกมาเละแหละ