ทุกขาปฏิปทา กับ การกล่าวตู่บิดเบือน(พระธรรมวินัย)

คนที่มีนิสัย "กะล่อน" มันก็สามารถ "กลิ้งกลอก" ได้เรื่อยๆ สุดแต่ "ความด้าน" จะชักพาไป นะครับ

กรณีนี้ ก็เช่นกัน !

แรกเริ่มเดิมที มันก็แถกแถอย่างสุดกำลังว่า อนาคามี ตายกายแตก ไปพรหมโลกได้โดยไม่ต้องมี "ฌาน"
แต่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ปรากฏว่า ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน อัตตโนมัติโง่ๆ ของมันได้เลย
คราวนี้ จึงจำต้องใช้ท่า "ไม้ตาย" นั่นคือ การสร้าง "เงื่อนไข" ผสมกับ "นิยายน้ำเน่า" เพื่อแถกแถแก้ตัวในทำนองว่า

เขาไม่ได้โง่นะ หรือ เขาไม่ผิดนะ !

ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากเมื่อคราวที่ยังใช้ล็อกอินอันเดิมนั่นแหละ คราวนั้น นายคนนี้ อ้างว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอน "ศีลเบื้องต้น" แก่ภิกษุ
เมื่อมีผู้นำหลักฐานว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอน ศีล แก่ภิกษุเป็นปกติอยู่แล้ว มันก็รีบตั้งเงื่อนไขขึ้นมาทันทีว่า ..........

ต้องเป็นหลักฐานที่ตรัสสอน "ศีล" เท่านั้น หากมี สมาธิ และ ปัญญา อยู่ด้วย ถือว่า ใช้ไม่ได้ !

นี่คือ วิธีสร้างเงื่อนไข เพื่อ แถกแถ เอาตัวรอดของคนๆ นี้ นะครับ

และเมื่อมีการนำ "จุลศีล" มาแสดง มันก็อ้างอีกว่า ในพระสูตรไม่ได้มีแต่ จุลศีล แต่มี มัชฌิมศีล มหาศีลด้วย ดังนั้นถือว่าใช้ไม่ได้
เพราะเงื่อนไขของมันก็คือ ต้องเป็นหลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเฉพาะศีลเบื้องต้นแก่ภิกษุเท่านั้น



จนเมื่อยกหลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเฉพาะศีลเบื้องต้นแก่ภิกษุมาแสดง
ปรากฏว่า คนๆ นี้ กลับไม่ยอมรับว่า มัน กล่าวตู่พระพุทธเจ้า แต่ แถกแถ อย่างไม่อายว่า มันแค่เข้าใจผิดเท่านั้น !



และนี่ก็คือ ธาตุแท้ คือ ความไร้ยางอาย ของคนๆ นี้นะครับ
ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว และเชื่อแน่ว่า มันก็จะเป็นของมันอย่างนี้ต่อไป อีกนานแสนนานทีเดียว

******************************************************************************************

ทีนี้ เรามาดู การแถกแถ รอบใหม่ ของนายคนนี้ กันบ้าง นะครับ
เขาอ้างอย่างนี้ว่า ................

(๑) ข้อมูลจากพระอภิธรรมปิฎก แสดงไว้ชัดเจนว่า ขณะเกิดมรรคจิต จิตย่อมรวมเป็น ฌาน ณ ขณะนั้น
(๒) อรรถกถา อธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนว่า แม้ อรหันต์สุกขวิปัสสก ล้วนเป็นมรรคจิตที่ประกอบด้วย ปฐมฌานขึ้นไปทั้งนั้น



******************************************************************************************

ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกตให้ดีว่า การที่นายคนนั้นยกหลักฐานจากพระอภิธรรมปิฎกมาอ้างนี้ ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เคยทำมา
นั่นคือ ถ้าไม่เกิดจาก (๑) ยกมาอ้างอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อ้าง ก็น่าจะเกิดจาก (๒) มี เจตนา จะบิดเบือนข้อเท็จจริงจากพระอภิธรรม

ที่ผมกล่าวอย่างนี้ ก็เพราะ หลักฐานที่นายนั่นยกมาอ้าง มันเป็นเรื่อง "ทุกขาปฏิปทา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ปฏิปทา ๔"



ดังนั้น การยกเรื่องนี้ขึ้นอ้าง จึงน่าจะเป็นการอ้างแบบ ผิดฝาผิดตัว เสียมากกว่า

ทุกขาปฏิปทา หมายถึง ฌานที่ปฏิบัติได้ลำบาก ด้วยสาเหตุคือ ......

(๑) นิวรณ์ฟุ้งขึ้น ข่มได้ยาก
(๒) ไม่ได้ตัดปลิโพธิ
(๓) ถูกตัณหา อวิชชา ครอบงำ
(๔) มีกิเลสกล้า
(๕) ไม่ทำสมถะ ฯลฯ



กล่าวโดยสรุป ก็คือ หลักฐานที่ยกขึ้นอ้างนี้ มิได้เป็นหลักฐานที่สนับสนุนว่า แม้ไม่เจริญฌาน ฌาน ก็สามารถเกิดขึ้นได้เอง หรอกนะครับ

ขอให้ ท่านทั้งหลาย พิจารณาดังนี้ว่า ...................

แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ทุกขาปฏิปทา เนื่องจาก ไม่ได้ทำสมถะเอาไว้ก่อน นี้ยังหมายถึง ผู้ที่ "พยายาม" จะเจริญสมถะ แต่ไม่สำเร็จ นะครับ
กล่าวคือ อรรถกถาจารย์ อธิบายถึงกรณีนี้ เอาไว้ว่า โยคาวจรบางคน พยายามเจริญสมถะ แต่ไปไม่ถึงขั้นอัปปนา ได้เพียงแค่ อุปจาระ

ก็โดยอาศัย สมาธิขั้นอุปจาระ นี้เป็นบาทฐาน จึงสามารถเกิด ฌาน หรือ อัปปนาสมาธิ ในขณะมรรค(เมื่อมรรคสมังคี)
กรณีอย่างนี้ หรือ ในขณะนี้ นี่เอง ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิขั้นอัปปนา ที่เกิดในบางขณะ หรือ ชั่วขณะ
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นกรณีที่ เกิด ฌาน ได้อย่างยากลำบาก จึงเรียกว่า ทุกขาปฏิปทา

ในที่นี้ ไม่มี ฌาน ที่เกิดขึ้นได้เอง แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่อย่างใดเลยนะครับ !

ชัดเจน แล้ว นะครับ

******************************************************************************************

ทีนี้ การที่นายคนนี้ ยกข้อความจากอรรถกถา มาอ้างว่า แม้แต่ สุกขวิปัสสก ล้วนเป็นมรรคจิตที่ประกอบด้วย ปฐมฌานขึ้นไปทั้งนั้น
นี้เป็นการกล่าวผิด ๒ ประเด็น นะครับ คือ

(๑) อรรถกถา ระบุว่า ...... ย่อมเป็นมรรค ที่ประกอบด้วย ปฐมฌานทั้งนั้น
แต่นายคนนี้ กลับกล่าวแบบเลยเถิดว่า .........ล้วนเป็นมรรคจิตที่ประกอบด้วย ปฐมฌานขึ้นไปทั้งนั้น

นี่แสดงว่า มันไม่เข้าใจในสิ่งที่ยกมาอ้างเลยว่า แม้แต่เพียงแค่ให้ได้ ปฐมฌาน มันก็ "ยากลำบาก" แก่โยคาวจร กลุ่มนี้อย่างที่สุดแล้ว
ดังนั้น จึงไม่ต้องไปกล่าวถึง ฌาน ๒ ๓ และ ๔ ให้เสียเวลาเปล่า ........ เข้าใจไหมครับ ?

(๒) ที่อรรถกถา ระบุว่า ............. "ย่อมเป็นมรรค ที่ประกอบด้วย ปฐมฌาน" มันก็มีความหมาย ตามที่ท่านกล่าวไว้จริงๆ คือ "เฉพาะในมรรค เท่านั้น"
ทั้งนี้ ขอให้ ท่านทั้งหลาย พิจารณา พระสูตรและอรรถกถา ในอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า อรหันต์สุขกวิปัสสก เป็นผู้ที่ไม่ได้ ฌาน



ชัดเจนไหมครับว่า ที่ระบุถึง "ฌาน" นี้ท่านหมายถึงเฉพาะในขณะเจริญ มรรค เท่านั้น แต่โดยสภาวะตามปกติแล้ว
พวกวิปัสสนายานิก หรือ พวก ทุกขาปฏิปทา ในกลุ่มที่ไม่ได้ทำสมถะ หรือ ทำได้ลำบากนั้น ไม่สามารถเจริญฌานได้โดยตรง เหมือนพวก สมถะยานิก

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านจะไปเอา ฌาน ที่ไหนมาเป็นเหตุปัจจัยแก่ภพ(พรหมโลก) ได้เล่า ?

เพราะ ฌาน จะเกิดกับคนกลุ่มนี้ได้ ก็เฉพาะแต่ในขณะเจริญมรรค เท่านั้น
ซึ่งในโลกนี้ ไม่เคยปรากฏว่า มีใคร ตายกายแตก ในขณะอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ กำลังเจริญ(อริย)มรรค

หรือมิใช่ ?

ก็ถ้าหาก ฌาน(มัคคสมาธิ) เกิดขึ้นกับบุคคลกลุ่มนี้ ย่อมหมายความว่า เป็น ฌาน ในขณะท่านกำลังเจริญมรรค ซึ่งหนทางเดียวที่เป็นไปได้ ก็คือ

(๑) ความสิ้นอาสวะ และความสิ้นชีวิตของเขา ไม่ก่อนไม่หลังกัน
(๒) (บรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไม่ได้) ทีนั้น จะบรรลุในเวลาใกล้ตาย



กล่าวโดยสรุป ก็คือ คนกลุ่มนี้ ไม่มีทางไปเกิดในพรหมโลกได้หรอกนะครับ เนื่องจาก ไม่มี ฌาน ที่เป็นเหตุปัจจัยแก่ อุปบัติภพ
เพราะแม้แต่ ฌาน ที่จะเกิดในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ก็เป็น ฌาน ในขณะมรรค ซึ่งย่อมนำไปสู่ความสิ้นอาวสะ
โดยไม่เคยปรากฏว่ามี ใครตาย ในขณะมรรค ดังนั้น การคิดเลยเถิดในทำนองว่า ฌานนี้ จะนำไปสู่ภพ จึงเป็นไปไม่ได้ !

เข้าใจไหมครับ ?

******************************************************************************************

จะว่าไปแล้ว กรณีของวิปัสสนายานิกนี้ ท่านปยุตโต ก็ได้อธิบายความเอาไว้ "น่าฟัง" พอสมควร ดังนี้ว่า ......

สมาธิที่ใช้เป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนานั้น เรียกอย่างวิชาการว่า (๑) สมาธิที่เป็นองค์แห่งมรรค หรือ (๒) สมาธิในมรรค(มัคคสมาธิ)
โดยสมาธิชนิดนี้ มีชื่อเรียกพิเศษว่า "อานันตริกสมาธิ" แปลว่า สมาธิที่ให้ผลต่อเนื่องไปทันที คือ ทำให้บรรลุอริยผลทันที ไม่มีอะไรคั่น
หรือแทรกระหว่างได้ (รายละเอียดอื่นๆ ท่านทั้งหลาย สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ได้ด้วยตนเอง นะครับ)



ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอย่างไรครับ ?

(๑) หลักฐานเรื่อง ทุกขาปฏิปทา ที่ยกขึ้นอ้างนี้ ไม่ใช่หลักฐานที่จะนำมาใช้ยืนยันว่า ไม่มีการเจริญสมถะ เพื่อให้ได้ฌาน นะครับ
ในทางตรงข้าม นี่กลับเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า ถึงอย่างไรๆ วิปัสสนาญาณในพระพุทธศาสนาก็ยังต้องอาศัย สมาธิในระดับ ฌาน

ประเด็นความแตกต่าง มันมีอยู่แค่เพียงว่า หากเจริญสมถะแล้วเกิด ฌาน ได้ยาก(ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ก็เรียกว่า ทุกขาปฏิปทา
หากสามารถทำให้เกิด ฌาน ได้ง่าย ก็เรียกว่า สุขาปฏิปทา

(๒) ทุกขาปฏิปทา เป็นกรณีของ วิปัสสนายานิก ที่ใช้ วิปัสสนา นำหน้า สมถะ ซึ่งมิได้หมายความว่า ไม่มีการเจริญสมถะ(เพื่อให้ได้ ฌาน) นะครับ
ทำสมถะ นะครับ เพียงแต่มันเกิด ฌาน ได้ยาก โยคาวจรกลุ่มนี้ มิได้(และไม่สามารถ)เจริญ สมถะ โดยตรงแบบพวก สมถยานิก
แต่อาศัย ธรรมในวิปัสสนานั้นเองเป็นอารมณ์(สมถะ) จนเกิด สมาธิขั้น ฌาน เป็นสมาธิในมรรค(มัคคสมาธิ)

ดังนั้น คนกลุ่มนี้ จึงไม่สามารถทำองค์ฌานให้เกิดขึ้นได้โดยตรง สมาธิขั้น ฌาน ก็เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อในขณะเจริญมรรค เท่านั้น

(๓) สมาธิในมรรค นี้เอง ที่ท่านปยุตโต อธิบายว่า หมายถึง สมาธิที่ให้ผลต่อเนื่องไปทันที คือ ทำให้บรรลุอริยผลทันที ไม่มีอะไรคั่น หรือแทรกระหว่างได้

ใจคอ คนพวกนี้ จะให้ อนาคามี ตายกายแตก ในขณะเจริญ(อริย)มรรค หรืออย่างไร มิทราบ !

เข้าใจ ที่ผมพูด ไหมครับ ?

.
.
.

สุดท้ายนี้ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
นายล็อกอินตัวเลข คนนี้ จะละเลิก การกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย เสียที นะครับ

ธรรมสวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่