ถ้าต้องทำฌาน(สมาบัติ)ก่อนถึงวิปัสสนาได้จริงทำไมพระดีๆอย่างหลวงพ่อชา,พระสังฆราชองค์ก่อนหลวงพ่อพุธหลวงตาบัวถึงว่าไม่จำเป็น

คือจะมีหลายๆท่านบอกเฮ้ยจะเดินปัญญาจะเจริญสติปัฏฐานได้จริงต้องฌานแบบสมาบัติก่อนคือต้องสมมุติบัญญัติเดียวๆให้จิตนิ่ง(ระงับนิวรณ์5ชั่วคราว)ก่อนถึงจะเดินปัญญาได้ ถ้าไม่ถือว่าเดินผิด พร้อมกับอ้างสัมมาสมาธิคือรูปฌาน4ในสมาบัติ8ที่เกิดจากการเพ่งสมมุติบัญญัติเดียว คือจะยัดเยียดให้ทำตรงนั้นก่อน แต่พอค้นคว้าจริงกลายเป็นว่า

"สมาธิอบรมปัญญา" และ "ปัญญาอบรมสมาธิ"
BY SOMCHATCHAI IN สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช NO COMMENTS
 
..อารมณ์ของวิปัสสนานั้น เป็นอารมณ์จิตที่ใคร่ครวญหาเหตุและผลในสังขารธรรมทั้งหลายจนรู้แจ้งเห็นจริงว่าเป็น พระไตรลักษณ์ คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา และเมื่อใดที่จิตยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาจริง เรียกว่าจิตตกระแสธรรมตัด กิเลสได้
ปัญญาที่จะเห็นสภาพความเป็นจริงดังกล่าว ไม่ใช่แต่เพียงปัญญาที่จะนึกคิดและคาดหมายเอาเท่านั้น แต่ย่อมมีตาวิเศษหรือตาใน ที่พระท่านเรียกว่า "ญาณทัสสนะ" เห็นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ซึ่งจิตที่ได้ผ่านการอบรมสมาธิมาจนมีกำลังดีแล้ว ย่อมมีพลังให้เกิดญาณทัสสนะหรือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงดังกล่าวได้ เรียกกันว่า "สมาธิอบรมปัญญา" คือ สมาธิทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น
และเมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว ย่อมถ่ายถอนกิเลสให้เบาบางลง จิตก็ย่อมจะเบาและใสสะอาดบางจากกิเลสทั้งหลายไปตามลำดับ สมาธิจิตก็จะยิ่งก้าวหน้าและตั้งมั่นมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก เรียกว่า "ปัญญาอบรมสมาธิ"
ฉะนั้นทั้งสมาธิและวิปัสสนาจึงเป็นทั้งเหตุและผลของกันและกันและอุปการะซึ่งกันและกันจะมีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นโดยขาดกำลังสมาธิสนับสนุนมิได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องใช้กำลังของขณิกสมาธิเป็นบาทฐานในระยะแรกเริ่ม
สมาธิจึงเปรียบเสมือนกับหินลับมีด ส่วนวิปัสสนานั้นเหมือนกับมีดที่ได้ลับกับหินคมดีแล้ว ก็ย่อมมีอำนาจถากถางตัดฟันบรรดากิเลสทั้งหลายให้ขาดและพังลงได้ อันสังขารธรรมทั้งหลายนั้นล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวเราของเราแต่อย่างใด..
บางส่วนจาก หนังสือวิธีสร้างบุญบารมี พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 19 วัดบวรนิเวศวิหาร
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6411.0

http://notedhamma.blogspot.com/2017/06/blog-post_11.html  =อันนี้ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนกลายเป็นว่าบอกว่าใช้ขณิกสมาธิเดินปัญญาหรือวิปัสสนาได้ เอ้าพระระดับสุดยอดได้รับการยกย่องไปทั่วโลกยังสอนแบบนี้เลย พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบระดับพระองค์ท่านคงไม่สอนผิดมากเรารู้กันดีนะครับว่าทรงมีภูมิธรรมภูมิจิตขนาดไหน

นี่อีกแหล่งที่ทรงตรัสว่าสัมมาสมาธิต้องเกิดจากองค์มรรค7ข้อก่อนเป็นบริการจึงจะเป็นสัมมาสมาธิจริง

เพราะฉะนั้น ธรรมะที่มีมากมาย จนถึงที่ตรัสหรือที่เรียกกันว่าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็เพราะเหตุนี้ แต่ว่าในความตรัสรู้จริงๆ นั้น รวมอยู่เป็นอันเดียวกัน แว๊บเดียวกัน คือขณะจิตเดียว ญาณอันเดียวเท่านั้น แต่ว่ารวมอยู่หมด ผุดขึ้นแก่พระพุทธเจ้า จึงได้ทรงเป็นพุทโธคือเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว และก็ได้ทรงแสดงสั่งสอนประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ในปฐมเทศนา
เพราะฉะนั้นปฐมเทศนาจึงเป็นหลักสำคัญในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสแสดงอริยสัจจ์เป็นหลักของพุทธศาสนา และก็ได้มีตรัสแสดงไว้ในที่ต่างๆ ในคราวต่างๆ แก่บุคคลต่างๆ โดยปริยายคือทางแสดงที่เป็นอย่างนั้นบ้าง ที่เป็นอย่างนี้บ้าง อย่างโน้นบ้าง แต่ว่าก็สรุปลงอยู่ในอริยสัจจ์ ๔ นี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่าเปรียบเหมือนอย่างรอยเท้าช้าง
ที่ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งปวง รอยเท้าสัตว์ทั้งปวงรวมลงในรอยเท้าช้างได้ ธรรมะที่ทรงสั่งสอนทั้งหมดก็รวมลงในอริสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ได้ อริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้จึงเป็นธรรมะหมวดใหญ่ เป็นที่รวมของธรรมะที่ทรงสั่งสอนไว้ทั้งหมด ดั่งนี้
ฉะนั้นแม้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็จบลงด้วยอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ ก็มีมรรคเป็นข้อสุดท้าย คือมรรคมีองค์ ๘ และมรรคมีองค์ ๘ นี้ ก็มีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ ๑ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบเป็นที่ ๒ ทั้งสองนี้ก็นับว่าเป็นปัญญาสิกขา สัมมาวาจาเจรจาชอบเป็นที่ ๓ สัมมากัมมันตะการงานชอบเป็นที่ ๔ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบเป็นที่ ๕ สามข้อนี้ก็เป็นสีลสิกขา สัมมาวายามะเพียรชอบเป็นข้อที่ ๖ สัมมาสติ สติระลึกชอบเป็นข้อที่ ๗ สัมมาสมาธิตั้งใจชอบเป็นข้อที่ ๘ ทั้งสามข้อนี้เป็นจิตตสิกขาหรือสมาธิ เพราะฉะนั้นก็รวมเข้าเป็นศีลสมาธิปัญญานั้นเอง แต่ในมรรคมีองค์ ๘ นี้ แสดงปัญญาเป็นที่หนึ่ง ศีลเป็นที่สอง สมาธิเป็นที่สาม ซึ่งมีสัมมาสมาธิสมาธิชอบเป็นข้อสุดท้าย
เพราะฉะนั้น สัมมาสมาธิจึงเป็นข้อสำคัญ เพราะจิตที่เป็นสมาธินั้นคือจิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในทางที่ถูกที่ชอบ ย่อมเป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลายได้ด้วย พึงพิจารณาเทียบกันดูว่าเหมือนอย่างมือแบของบุคคล เมื่อบุคคลแบมือ และวางของอะไรลงไปในมือ ถ้ามือสะบัดแกว่ง ของที่มีอยู่ในมือนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็จะต้องตกหล่นไป แต่ถ้ามือสงบนิ่ง ของที่ตั้งอยู่ในมือนั้นก็ตั้งอยู่ได้ ฉันใดก็ดี จิตที่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย กุศลธรรมทั้งหลายก็ตั้งอยู่ในจิตไม่ได้ แต่ว่าจิตที่สงบแน่วแน่กุศลธรรมทั้งหลายจึงตั้งอยู่ในจิตได้ นี้ว่าในฝ่ายดี แม้ในฝ่ายชั่วก็เหมือนกัน ถ้าจิตไม่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำ แม้ความชั่วเองก็ไม่ตั้งอยู่ในจิต
ต่อเมื่อจิตตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำ ความชั่วเองจึงตั้งอยู่ในจิตได้ เพราะฉะนั้นแม้ในการกระทำความชั่วทั้งหลาย ก็ต้องมีสมาธิในการทำ แต่ว่านั่นท่านแสดงว่าเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิที่ผิด ส่วนสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องนั้น ต้องตั้งอยู่ในทางดี กระทำความดี
เพราะฉะนั้น จึงมีพระสูตรที่แสดงว่า สัมมาสมาธินั้นเป็นตัวหลักซึ่งประกอบด้วยบริขาร คือข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องประกอบเข้ามาอีก ๗ ข้อ ก็คือมรรคมีองค์ ๘ เจ็ดข้อข้างต้นนั้นเอง ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ จนถึงสัมมาสติ สติตั้งระลึกชอบ ทั้ง ๗ ข้อนี้ตรัสเรียกว่าเป็นบริขาร คือเครื่องประกอบ เครื่องที่จะต้องใช้สอยของสมาธิ ก็เหมือนอย่างบริขารเครื่องใช้สอยสำหรับพระภิกษุสามเณรเช่นบาตรจีวรเป็นต้น เรียกกันว่าบริขาร หรือสมณบริขาร
แม้สัมมาสมาธิก็ต้องมีบริขาร ก็คือมรรคมีองค์ ๘ เจ็ดข้อข้างต้นนี้เอง ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นความว่า สัมมาสมาธิในพุทธศาสนานั้น จะต้องประกอบด้วยมรรคอีก ๗ ข้อเข้ามาด้วย พูดง่ายๆ ก็คือว่าจะต้องเป็นความตั้งจิตมั่นอยู่ในทางที่ชอบ ที่จะกระทำความดีความชอบต่างๆ ที่จะให้เกิดปัญญาที่ชอบ ให้เกิดความประพฤติที่ชอบ จึงจะต้องมีปัญญาที่ชอบ ต้องมีความประพฤติที่ชอบ จะต้องมีสติที่ชอบ ความเพียรที่ชอบประกอบเข้ามา จึงจะเป็นสัมมาสมาธิในพุทธศาสนา คือเป็นสมาธิอันถูกต้อง
ถ้าหากว่าไม่มีองค์ประกอบอีก ๗ ข้อเข้ามาประกอบด้วยแล้ว ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิในทางที่ผิดได้ เหมือนอย่างสมาธิของผู้ที่กระทำความชั่วทั้งหลาย ของโจรทั้งหลาย ซึ่งผู้กระทำความชั่วทั้งปวงนั้นต้องมีสมาธิ แต่ว่าเป็นมิจฉาสมาธิ และแม้ว่าจะเป็นความดี ไม่ใช่ความชั่ว ความดีก็ยังเป็นชั้นๆ เป็นชั้นกามาพจรหยั่งลงในกาม ชั้นรูปาพจรหยั่งลงในรูปคือขั้นที่ได้สมาธิมีรูปเป็นอารมณ์ ชั้นอรูปาพจรคือสมาธิที่มีอรูปเป็นอารมณ์ ก็ยังเป็นขั้นๆ ขึ้นไปอีกเหมือนกัน
รวมความก็คือว่าสมาธิในขั้นทั้งปวงที่กล่าวมานี้ ก็ยังเป็นโลกิยะสมาธิ ต่อเมื่อพ้นจาก กามาพจร รูปาพจร อรูปาวจร
 จึงจะเป็น โลกุตรสมาธิ เป็นสมาธิอันประกอบด้วยมรรคอีก ๗ ข้อ เป็น ๘ กำจัดกิเลสอันเป็นเครื่องผูกพันใจ อันเรียกว่าสัญโยชน์ได้ตั้งแต่ ๓ ขึ้นไป ดั่งนี้ จึงจะก้าวขึ้นเป็นโลกุตรสมาธิซึ่งเป็นสมาธิขั้นสูง
แต่ว่าผู้ปฏิบัตินั้นเมื่อปฏิบัติในทางที่เป็นกุศล ที่เป็นสัมมาสมาธิไปโดยลำดับ ประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๗ อีกๆ ๗ ข้อ รวมเป็น ๘ ด้วยกันไปโดยลำดับ ก็ใช้ได้ และในทางของการปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นขั้นๆ ขึ้นไป คือหยาบไปหาละเอียดไปโดยลำดับ แล้วก็เป็นไปเอง เหมือนอย่างขึ้นบันไดไปทีละขั้น ก็ถึงขั้นสูงสุดขึ้นเอง ในทีแรกก็ต้องก้าวขึ้นขั้นต่ำก่อน จะไม่ก้าวขึ้นขั้นต่ำไปให้ขึ้นขั้นสูงสุดทีเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นความสำคัญจึงอยู่ที่ว่า แม้ในการปฏิบัติเบื้องต้นที่เป็นสมาธิในพุทธศาสนานั้น ต้องเป็นสัมมาสมาธิ และจะเป็นสัมมาสมาธิได้ ก็ต้องประกอบด้วยมรรคอีก ๗ ข้อข้างต้น คือต้องมีทั้งปัญญา ต้องมีทั้งศีล และต้องมีทั้งสมาธิมาประกอบกัน ตามควรแก่ทางปฏิบัติ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิอันถูกต้องในพุทธศาสนา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-053.htm

นี่แสดงให้เห็นชัดสัมมาสมาธิไม่ใช่ฌานในสมาบัติแบบที่หลายๆท่านเข้าใจกัน ถึงจะมีวิตก วิจารณ์ อะไรก็ตามเหมือนกันแต่หาใช่อันเดียวกันไม่ พระระดับพระองค์ท่านตีความเลยนะฮะ

นี่ข้อมูลเสริมจากพระปฏิบัติชอบอย่างหลวงพ่อชา หลวงพ่อพุธ หลวงตามหาบัว 
ฌานกับอริยสัจ ... พระหลวงตามหาบัว
 
 
ฌานกับอริยสัจ
(หนังสือพ่อแม่ครูอาจารย์บัว  ญาณสัมปันโน)

“ฌาน” แปลว่า การเพ่ง  ไม่มีความจำเป็นสำหรับการบรรลุมรรคผลเหมือนกับ  "อริยสัจ”  ฌานมีความจำเป็นเฉพาะ ผู้มีนิสัยเกี่ยวกับทางฌานเท่านั้น 

พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อผู้ที่ได้รับประโยชน์ จากการอาศัยฌานนั้น  ถ้าไม่เกี่ยวแล้ว  ส่วนมากพระองค์จะทรงสอนหยั่งลงไปในอริยสัจ ท่านสอนพุ่งๆ ตรงนี้  

ส่วนมากฌานไม่ค่อยจำเป็นนัก ทำให้หลงได้เหมือนกัน

http://tamma-anatta.blogspot.com/2012/04/blog-post_7449.html

         

ในการปฏิบัติของเรา จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่
           ไม่  ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) แล้วอาศัยอันนี้สำรวจตนเอง ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน  แต่อย่าไปหลงติดอยู่ในฌาน หลายคนชะงักติดอยู่ในฌาน มันทำให้เพลิดเพลินได้มากเมื่อไปเล่นกับมัน  ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌาน เช่นเดียวกับที่ท่านรู้ขั้นความสามารถของเด็ก และขั้นความสามารถของผู้ใหญ่ 

http://www.nkgen.com/Cha.htm
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่