FT 5 | เรื่องสั้น ปาฏิหาริย์คืนสิ้นปี ตอนที่ 9

-9-

ยี่สิบเจ็ดปีผ่านไป...
วันที่ 10 ธันวาคม 
ผมวิ่งฝ่าลมหนาวบนท้องถนน ทั่วบริเวณมีเพียงสองสามคน
หมู่เมฆกระจายสูงเป็นควันขาว บดบังดวงจันทร์มิด
หิมะโปรยลงบนทางเท้าเบา ๆ... ยังไม่หนาเท่าใดนัก
ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ก้มมองนาฬิกาข้อมือ 

"งานจะเริ่มตอนสองทุ่ม ยังทันน่า" ผมพูดขณะพ่นลมหายใจเป็นสีขาว

บัดนี้ผมกลายเป็นนักเขียนโด่งดัง 
มีผลงานเรื่องสั้นกว่า ห้าร้อยห้าสิบเรื่อง นวนิยายสามสิบเจ็ดเรื่อง บทภาพยนต์อีกสี่สิบเก้าเรื่อง
เมื่อเอ่ยถึงนามปากกาผม ทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียว
"ภาษาจะงดงามมาก เมื่อเขาเป็นผู้ประพันธ์"

ผมก้าวไปในหอประชุมกรุงสต็อกโฮล์ม เช็คตั๋วในมือ เดินไปยังเก้าอี้ 
"มาช้าจังเลยนะคะ" แองจี้ถาม จากที่นั่งข้าง ๆ 
"พอดีมัวแจกลายเซ็นให้แฟนหนังสือนะ" ผมยกไหล่
ทรุดกายลงนั่งอย่างเหนื่อยหอบ  แต่มีมาดเกินกว่าจะแสดงออก 

สามสิบสามนาทีต่อมา พิธีกรกล่าวกับไมค์ท่าทางคล่องแคล่ว  
เขามีผมบลอนด์ทั่วศีรษะ ใส่สูทผูกหูกระต่าย
"สวัสดียามค่ำคืน ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่ พิธีรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2010" พิธีกรพูดต่อน้ำเสียงใส
"มีเวลาบางชั่วขณะ... ที่สามารถกำหนดชีวิตคนเรา และนี่คือชั่วขณะวินาทีนั้น ของเหล่านักเขียนที่จะจารึกชื่อใว้ในประวัติศาสตร์..." เสียงพิธีกรดังขึ้นเรื่อย ๆ 
"ผลงานเขานั้น... นอกจากโดดเด่นในการถ่ายทอดเรื่องเล่าจินตนาการ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเร้าอารมณ์แล้ว 
เขายังเป็นอัจฉริยะ ที่ขัดเกลาฝีมือขึ้นจากการฝึกฝนล้วน ๆ ขอต้อนรับตำนานที่ยังมีชีวิต อาเธอร์ โอเนล!!!" 

ชื่อผมถูกประกาศขึ้น
เสียงปรบมือดังสนั่นทั่วหอประชุม 
ผมลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น สายตาทุกคู่จับจ้อง จนลมหายใจสะดุด
ผมข่มความรู้สึกไว้ เดินฝ่าฝูงชนไปกลางเวที

ค่ำคืนนี้ มีพวกนักวิชาการ ปริญญาเอกหลายแขนง รวมไปถึงบรรดานักเขียน ศิลปิน ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก
ทุกคนมองผมชื่นชมยกย่อง

พิธีกรยื่นเหรียญรางวัลโนเบลพร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
ผมรับแผ่วเบา มือซ้ายชูเหรียญทองขึ้นสูงเหนือหัว   
ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ที่สาดเข้ามา 
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับรางวัลโนเบล...
ในอาชีพนักเขียน ใจทุ่มเทให้งานเขียนเท่านั้น 
ผมมีความสุขกับสิ่งนี้...
แต่ถึงอย่างไร รางวัลนี้ก็เป็นของขวัญยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติ มีค่าสำหรับผม  
และขณะนี้ จะเป็นคืนแห่งความมหัศจจรย์ ที่ผมจะไม่มีวันลืม...
 
ผมเดินไปทีไมค์ กระแอมให้โล่งคอ กล่าวสุนทรพจน์...
"เวลาคุณมองใครสักคนที่ประสบความสำเร็จ คุณมักมองเห็นแต่ภาพความหรูหรา เจิดจรัสของคนผู้นั้น...
ทำให้เกิดความอยากมี อยากเป็น ประสบความสำเร็จเช่นนั้นบ้าง" ผมพูดช้า ๆ "แต่แท้จริงแล้ว เปลือกความสำเร็จ...
มักเต็มไปด้วยรอยแผล ขวากหนามและร่องรอยความเจ็บปวด ที่คนผู้นั้นต้องเผชิญ ฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึงปลายทาง" ผมสูดลมหายใจลึก

"ที่ผมรู้... เพราะครั้งนึง เคยสูญงานเขียนทั้งหมดไปกับรถไฟ...
คืนนั้นฝันต้องดับไป ดั่งรถไฟตกราง... ผมมองเห็นแต่ความมืดมิด
วินาทีนั้น ไม่รู้เลย ปลายอุโมงค์ยาวไกลแค่ใหน" 
ผมมองไปที่แองจี้ เธอระบายยิ้มอ่อนโยน ผมพูดต่อ
"แต่ผมเชื่อ ว่าถ้าเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หนทางย่อมเปิดออกแน่นอน
ที่ผมจะบอกก็คือ ถ้าไม่เสี่ยงในวันนั้น คงไม่มีผมในคืนนี้..." ผมยิ้มออกมา
"คุณอาจไม่เคยเจอเรื่องแบบผม แต่เราต่างรู้ ชีวิตไม่เคยยุติธรรม วันนึงชีวิตจะมอบบทเรียนพิเศษให้คุณ
และคุณต้องโดนทดสอบอย่างหนักหน่วง..." เสียงผมหนักแน่นขึ้น "วันใดที่คุณผ่านการดิ้นรนไปได้ นั่นละ! คือช่วงเวลาที่จะได้รับสิ่งที่คาดหวัง!!
ขอบคุณครับ"

หลังกล่าวจบ เสียงปรบมือดังกึกก้องยาวนาน 
ผมเดินกลับไปที่นั่ง เห็นแองจี้น้ำตาคลอ เมื่อทรุดกายลง เธอกุมมือผมแสดงความยินดี

"ท่ามกลางดาวเด่นแต่ละสาขา คุณดูเจิดจรัสที่สุด" แองจี้พูดใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
เวลานี้เธอเป็นนักแสดงมีชื่อเสียง ได้รับรางวัลออสการ์ถึงสามครั้ง 
แสดงภาพยนต์เรื่องใหนก็ทำเงินเกิน ร้อยล้านดอลลาร์

นอกจากนี้เธอยังให้กำเนิดลูกชาย ที่ร่าเริงแข็งแรงแก่ผม
และผมยังมีแฟลตในลอนดอน  มีบ้านพักอีกสองแห่งบนเชิงเขากับริมฝั่งทะเลสาบ
ซึ่งใช้พักเป็นครั้งคราว สำหรับแต่งหนังสือ ส่วนเรื่องเงินนะเหรอ หึ อย่าให้พูดเลย...

หลังพิธีเสร็จสิ้น ผมก็ขอตัวกลับ  คืนนี้ตั้งใจเดินทางโดยนั่งรถไฟไปบ้านพักบนภูเขา
"ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง" ผมบอกแองจี้ 
"คุณแน่ใจนะคะ ว่าจะไม่กลับไปกับเรา" แองจี้ว่าพลางหันไปมองลีมูซีนคันขาวที่จอดรอ
"ไม่ล่ะ คืนนี้อยากเขียนนิยายต่อ ก็เคยบอกแล้วนี่ ว่าต้องการที่เงียบ ๆ นะ"
"ฉันรู้ค่ะ เหมือนที่คุณเคยบอก ความโดดเดี่ยวนั้นดีต่อจิตวิญญาณ"

ลมหนาวจากท้องถนนพัดมา... ผมสีเงินของผมปลิวเรี่ยตามลม
อเล็กช์ ถอดหมวกไหมพรมบนหัวออก พลางยื่นให้ผม 
เขาอายุสิบเจ็ด ผมสีน้ำตาลตัดสั้น ดวงตาน้ำตาลอมแดง กำลังจะเข้ามหาลัยปีหน้า
"ใส่หมวกสิครับพ่อ ในลีมูซีนมันอุ่น " 
"หึ ขอบใจนะ" ผมรับมาสวมที่ศีรษะ
"ฉันหวังว่าจะได้อยู่ฉลองกับคุณในคืนนี้เสียอีก" แองจี้กล่าว
"โธ่แองจี้ เราตกลงกันแล้วไง ผมจะไปค้างที่นั่นแค่สองสามวันเท่านั้น เมื่อทุกอย่างลงตัวก็จะกลับนะ"
"ก็ได้ค่ะ ดูแลตัวเองให้ดีน่ะค่ะ" เธอพยักหน้ารับ
"คุณก็เหมือนกัน ดูแลลูกแทนผมด้วยนะ" ผมตอบ 

ผมสวมกอดพวกเขา จากนั้นเราโบกมือร่ำลา
ผมเดินเข้าไปในสถานี ต่อคิวปลายแถว ซึ่งเป็นแถวแนวยาวจากที่จำหน่ายตั๋ว  

แปดนาทีถัดมา ผมไปยืนรอรถไฟที่ชานชาลาหมายเลขเก้า
ผมเช็คตั๋วในมืออีกครั้ง มันบอกที่นั่ง "บีหนึ่งเก้าเก้าศูนย์"
ลมหนาวกรรโชกตามชานชาลาจนร่างสั่นสะท้าน อากาศเย็นมาก หิมะโปรยไม่ขาดสาย 
มือทั้งสองเริ่มเย็นเฉียบ ริมฝีปากแห้งแตก ผมซุกมือซ้ายเข้าไปในเสื้อสูท
เอื้อมหยิบไฟแช็คในกระเป๋า จุดบุหรี่สูบ 
มันช่วยคลายหนาวได้มาก รู้สึกอบอุ่นขึ้นเยอะทีเดียว...

ขณะพ่นควันสีขาวออกจากปอด 
ภาพความหลัง ภาพแล้วภาพเล่า แวบเข้ามาในห้วงคำนึง ภาพวัยเด็กซึ่งเต็มไปด้วยเพื่อนฝูง  
ภาพวัยรุ่น กอดกับแฟนคนแรกบนเตียง นอนคุยกันตลอดคืน
ภาพจดหมายและการ์ดอวยพร ที่ได้รับจากเพื่อนต่างแดน...
ภาพเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในสมอง ไม่ว่าตอนหกขวบหรือหกสิบสี่ ยังไงก็ยังจำได้...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่