บ
ทความวันจันทร์ (1 เมษายน 2562)
เรื่อง เพราะอย่างนี้จึงต้องมีสติ
โดย วรา วราภรณ์
บางเรื่องราวที่เกิดกับเด็กชายและเด็กหญิงบ้านเราในรอบสามเดือนหลังปีใหม่ ที่ทำให้ข้าพเจ้าสะเทือนใจและสังเวชใจทั้งที่ตนเองก็ไม่มีทายาทหรือเยาวชนที่ต้องดูแลก็คือ เด็กชายวัยมัธยมต้นรายหนึ่งที่เลือกเอารางรถไฟเป็นสถานที่นั่งพัก และจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟเตือนก่อนจะจบชีวิตลงในสภาพอเนจอนาถ กับรายล่าสุดที่เห็นจากข่าวก็คือ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีจมน้ำตายหลังจากเล่นน้ำกับเพื่อนบริเวณจุดอันตรายซึ่งตนเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ส่วนเด็กหญิง มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายกันสองราย แต่ที่มาของเรื่องต่างกัน นั่นคือรายหนึ่งอายุสิบสี่ปี หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตกับเพื่อนของพ่อที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน อีกรายหนึ่งวัยเพียงสิบปี หนีออกจากบ้านไปอยู่ร่วมห้องและมีสัมพันธ์ทางเพศกับชายแปลกหน้าวัยสี่สิบซึ่งรู้จักกันทางโซเชียลมีเดีย
สำหรับข้าพเจ้า เรื่องราวเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าหากเด็กๆ ได้รับการปลูกฝังจนมีภูมิคุ้มกันติดตัว เบื้องต้นก็คือ เด็กทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง
จำเป็นที่สุดที่จะต้องมี “สติ” หมายถึงการระลึกรู้อยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่อที่จะรู้ว่า “ต้องทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไรต่อไป
เด็กต้องรู้ว่า รางรถไฟไม่ใช่ที่นั่งเล่น และเด็กต้องยอมรับว่าเมื่อใจของเขาจดจ่อกับโทรศัพท์ เขาจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น และไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น ดังนั้น การที่จะนั่งดูโทรศัพท์เพื่อฆ่าเวลา หรือต้องการดูอย่างจริงจัง จึงไม่ใช่การไปนั่งบนรางรถไฟที่จะต้องมีรถไฟแล่นผ่านไปมา
เช่นเดียวกัน เด็กที่ชอบเล่นน้ำ หรือรู้สึกร้อนจนอยากคลายร้อนด้วยสายน้ำ ถ้าเขามีสติ เขาต้องรู้ว่า เขาควรลงเล่นน้ำบริเวณไหนที่มีความปลอดภัย หากเป็นคนนอกพื้นที่หรือไม่รู้จักแหล่งน้ำตรงนั้น เขาก็ต้องมีสติพอที่จะรั้งตนเองไว้ให้ได้ความมั่นใจเสียก่อนที่จะลงไปเล่น
หรือบรรดาเด็กหญิงรวมทั้งที่กำลังจะโตเป็นสาว หากเธอได้รู้จักครองสติ เธอย่อมรู้ว่า การคุยกับชายแปลกหน้าควรทำหรือไม่ ถ้าทำได้ ต้องมีขอบเขตแค่ไหน และการที่จะปล่อยให้จิตใจเผลอไผลไปกับอารมณ์ในแต่ละขณะ นั่นก็คือสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นผู้หญิง และถ้าเพียงแต่พวกเธอจะมีสติ
ในฐานะที่ได้เรียนรู้วิธีการเจริญสติมาบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นคุณค่าของการอบรมเรื่องการเจริญสติให้แก่เด็กๆ ผ่านการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ จดจ่อกับลมหายใจ และการฟังบรรยายธรรม อาจดูเป็นเรื่องโบราณ ไกลตัว น่าเบื่อ หรือเป็นวิชาการ ทว่า เมื่อเด็กแต่ละคนได้สัมผัสด้วยตนเองแล้ว พวกเขาจะเริ่มเรียนรู้ และค่อยตระหนักได้เองในที่สุดว่า นี่คือสิ่งที่เป็นคุณค่าของชีวิต เป็นทั้งทรัพย์และอาวุธที่นำติดตัวไปได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีนัดหมายชักชวนผู้ปกครองและเด็กๆ ในหมู่บ้านไปเจริญสติ ผ่านคำชวนง่ายๆ ว่า “ไปค่ายธรรมะ” ในเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ช่วงกลางเดือนนี้ ที่จังหวัดหนึ่งซึ่งห่างออกไปจากจังหวัดของเราประมาณสี่ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง
จากการพบปะพูดคุย ทำให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงทัศนะของผู้ปกครอง และได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กๆ ซึ่งทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
คนเป็นแม่รายแรกที่ไปชวนและได้รับคำตอบรับในทันที เธอเพิ่งแยกทางกับสามีและย้ายจากเมืองใหญ่กลับมาอยู่ในหมู่บ้านของเราไม่นานมานี้ แม่วัยใกล้ห้าสิบกับลูกชายเก้าขวบตั้งใจจะไปเจริญสติด้วยกัน ทั้งที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านห้าตัว เธอบอกว่าจะวานแม่ของเธอที่อยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งที่ไม่ไกลกันมาช่วยให้อาหารสุนัข
ส่วนแม่ค้าขายแกงรายหนึ่งมีหลานชายจบมัธยมต้นแล้ว เธอห่วงใยเขามาก กระทั่งการไปนั่งเล่นกับเพื่อนยามเย็นก็เกรงจะเป็นช่องทางนำพากันไปให้เสื่อมเสีย เธอตั้งใจยอมหยุดขายของเพื่อพาเขาและน้องชายไปด้วยกัน และหวังว่าทั้งคู่จะได้รับภูมิคุ้มกันที่ดีติดตัวกลับมา แต่ความทุกข์ของเธอตอนนี้คือ กว่าจะถึงวันนั้น เกรงว่าหลานชายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน เพราะว่าเด็กหนุ่มมีเพื่อนสาวที่เรียกว่าแฟนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าจึงพยายามหาวิธีชักชวนให้เพื่อนสาวของเขาไปด้วยอีกคนหนึ่ง ถือว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก แต่ก็ท้าทาย และถึงวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะสนใจกิจกรรมนี้หรือไม่
ป้าคนหนึ่งเป็นแม่บ้าน เลี้ยงหลานห้าคน ตั้งแต่วัยสองขวบจนถึงสิบห้าปี เมื่อทราบเรื่องนี้ เธออยากไปมากแต่แล้วก็พูดออกมาเองทันทีว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหลานของเธอจะต้องทำให้สถานการณ์ยุ่ง วุ่นวายแน่นอน ข้าพเจ้าท้วงติงเธอว่า วิทยากรและผู้จัดครั้งนี้มีเมตตาต่อเยาวชนมาก ตั้งใจจัดเพื่อเยาวชนในช่วงปิดเทอมโดยเฉพาะ ดังนั้น เธอจงสลัดความความคิดเหล่านี้ทิ้งไปเสีย และควรจะพาเด็กๆ ไปซึมซับบรรยากาศความสงบและความผ่อนคลายบ้าง ขณะนั้นเองหลานตัวน้อยๆ ของเธอพากันยืนฟังหูผึ่ง มีสองคนที่โตพอสมควรแสดงท่าทีสนใจมากพร้อมกับขอเดินทางไปกับข้าพเจ้าด้วย ป้าคงจะงุนงง และตัดสินใจด้วยความยากลำบากว่าควรจะให้ข้าพเจ้าพาไปหรือไม่ในกรณีที่ป้าไม่ไป เรียกว่าบ้านนี้ก็น่าตื่นเต้นสำหรับคนชวนเช่นกัน
และข้าพเจ้าก็เตรียมพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ปกครอง ถ้าเด็กตกลงใจ
ป้าอีกคนหนึ่ง เธอเป็นย่าของเด็กชายวัยแปดขวบที่พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังไม่เกิด เธอมาบอกข้าพเจ้าว่า อยากพาหลานไป เพราะ “ฉันไม่อยากให้มันก้าวร้าว ไม่อยากเห็นมันโตขึ้นมาแล้วเกเร เตะหม้อข้าวใส่ฉัน” รายนี้ชักชวนลูกสาวของตนเองไปด้วย และคงไม่เปลี่ยนใจ
ไม่ว่าจะมีจำนวนมากหรือน้อย สำหรับผู้ปกครองที่คิดพาลูกหลานไปร่วมกิจกรรมนี้ ก็ถือว่าได้ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขในเบื้องต้น คิดง่ายๆ ว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านก็คือลูกหลานของเรา เมื่อเด็กดี สักวันเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี
(ขอเชิญชวนผู้ปกครองพาลูกหลานไปร่วมกิจกรรมเจริญสติ 16-23 เมษายน 2562 ณ สำนักวิปัสสนาสอนทวี อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากเดินทางไป-กลับเอง ผู้สนใจติดต่อ อ.นิศารัตน์ ลาวัณยากุล โทร. 08-9892-2612)
........................................................................
(ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ)
บทความวันจันทร์ (1 เม.ย. 62) : เพราะอย่างนี้จึงต้องมีสติ
เรื่อง เพราะอย่างนี้จึงต้องมีสติ
โดย วรา วราภรณ์
บางเรื่องราวที่เกิดกับเด็กชายและเด็กหญิงบ้านเราในรอบสามเดือนหลังปีใหม่ ที่ทำให้ข้าพเจ้าสะเทือนใจและสังเวชใจทั้งที่ตนเองก็ไม่มีทายาทหรือเยาวชนที่ต้องดูแลก็คือ เด็กชายวัยมัธยมต้นรายหนึ่งที่เลือกเอารางรถไฟเป็นสถานที่นั่งพัก และจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟเตือนก่อนจะจบชีวิตลงในสภาพอเนจอนาถ กับรายล่าสุดที่เห็นจากข่าวก็คือ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีจมน้ำตายหลังจากเล่นน้ำกับเพื่อนบริเวณจุดอันตรายซึ่งตนเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ส่วนเด็กหญิง มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายกันสองราย แต่ที่มาของเรื่องต่างกัน นั่นคือรายหนึ่งอายุสิบสี่ปี หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตกับเพื่อนของพ่อที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน อีกรายหนึ่งวัยเพียงสิบปี หนีออกจากบ้านไปอยู่ร่วมห้องและมีสัมพันธ์ทางเพศกับชายแปลกหน้าวัยสี่สิบซึ่งรู้จักกันทางโซเชียลมีเดีย
สำหรับข้าพเจ้า เรื่องราวเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าหากเด็กๆ ได้รับการปลูกฝังจนมีภูมิคุ้มกันติดตัว เบื้องต้นก็คือ เด็กทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง
จำเป็นที่สุดที่จะต้องมี “สติ” หมายถึงการระลึกรู้อยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่อที่จะรู้ว่า “ต้องทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไรต่อไป
เด็กต้องรู้ว่า รางรถไฟไม่ใช่ที่นั่งเล่น และเด็กต้องยอมรับว่าเมื่อใจของเขาจดจ่อกับโทรศัพท์ เขาจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น และไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น ดังนั้น การที่จะนั่งดูโทรศัพท์เพื่อฆ่าเวลา หรือต้องการดูอย่างจริงจัง จึงไม่ใช่การไปนั่งบนรางรถไฟที่จะต้องมีรถไฟแล่นผ่านไปมา
เช่นเดียวกัน เด็กที่ชอบเล่นน้ำ หรือรู้สึกร้อนจนอยากคลายร้อนด้วยสายน้ำ ถ้าเขามีสติ เขาต้องรู้ว่า เขาควรลงเล่นน้ำบริเวณไหนที่มีความปลอดภัย หากเป็นคนนอกพื้นที่หรือไม่รู้จักแหล่งน้ำตรงนั้น เขาก็ต้องมีสติพอที่จะรั้งตนเองไว้ให้ได้ความมั่นใจเสียก่อนที่จะลงไปเล่น
หรือบรรดาเด็กหญิงรวมทั้งที่กำลังจะโตเป็นสาว หากเธอได้รู้จักครองสติ เธอย่อมรู้ว่า การคุยกับชายแปลกหน้าควรทำหรือไม่ ถ้าทำได้ ต้องมีขอบเขตแค่ไหน และการที่จะปล่อยให้จิตใจเผลอไผลไปกับอารมณ์ในแต่ละขณะ นั่นก็คือสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นผู้หญิง และถ้าเพียงแต่พวกเธอจะมีสติ
ในฐานะที่ได้เรียนรู้วิธีการเจริญสติมาบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นคุณค่าของการอบรมเรื่องการเจริญสติให้แก่เด็กๆ ผ่านการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ จดจ่อกับลมหายใจ และการฟังบรรยายธรรม อาจดูเป็นเรื่องโบราณ ไกลตัว น่าเบื่อ หรือเป็นวิชาการ ทว่า เมื่อเด็กแต่ละคนได้สัมผัสด้วยตนเองแล้ว พวกเขาจะเริ่มเรียนรู้ และค่อยตระหนักได้เองในที่สุดว่า นี่คือสิ่งที่เป็นคุณค่าของชีวิต เป็นทั้งทรัพย์และอาวุธที่นำติดตัวไปได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีนัดหมายชักชวนผู้ปกครองและเด็กๆ ในหมู่บ้านไปเจริญสติ ผ่านคำชวนง่ายๆ ว่า “ไปค่ายธรรมะ” ในเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ช่วงกลางเดือนนี้ ที่จังหวัดหนึ่งซึ่งห่างออกไปจากจังหวัดของเราประมาณสี่ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง
จากการพบปะพูดคุย ทำให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงทัศนะของผู้ปกครอง และได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กๆ ซึ่งทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
คนเป็นแม่รายแรกที่ไปชวนและได้รับคำตอบรับในทันที เธอเพิ่งแยกทางกับสามีและย้ายจากเมืองใหญ่กลับมาอยู่ในหมู่บ้านของเราไม่นานมานี้ แม่วัยใกล้ห้าสิบกับลูกชายเก้าขวบตั้งใจจะไปเจริญสติด้วยกัน ทั้งที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านห้าตัว เธอบอกว่าจะวานแม่ของเธอที่อยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งที่ไม่ไกลกันมาช่วยให้อาหารสุนัข
ส่วนแม่ค้าขายแกงรายหนึ่งมีหลานชายจบมัธยมต้นแล้ว เธอห่วงใยเขามาก กระทั่งการไปนั่งเล่นกับเพื่อนยามเย็นก็เกรงจะเป็นช่องทางนำพากันไปให้เสื่อมเสีย เธอตั้งใจยอมหยุดขายของเพื่อพาเขาและน้องชายไปด้วยกัน และหวังว่าทั้งคู่จะได้รับภูมิคุ้มกันที่ดีติดตัวกลับมา แต่ความทุกข์ของเธอตอนนี้คือ กว่าจะถึงวันนั้น เกรงว่าหลานชายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน เพราะว่าเด็กหนุ่มมีเพื่อนสาวที่เรียกว่าแฟนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าจึงพยายามหาวิธีชักชวนให้เพื่อนสาวของเขาไปด้วยอีกคนหนึ่ง ถือว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก แต่ก็ท้าทาย และถึงวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะสนใจกิจกรรมนี้หรือไม่
ป้าคนหนึ่งเป็นแม่บ้าน เลี้ยงหลานห้าคน ตั้งแต่วัยสองขวบจนถึงสิบห้าปี เมื่อทราบเรื่องนี้ เธออยากไปมากแต่แล้วก็พูดออกมาเองทันทีว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหลานของเธอจะต้องทำให้สถานการณ์ยุ่ง วุ่นวายแน่นอน ข้าพเจ้าท้วงติงเธอว่า วิทยากรและผู้จัดครั้งนี้มีเมตตาต่อเยาวชนมาก ตั้งใจจัดเพื่อเยาวชนในช่วงปิดเทอมโดยเฉพาะ ดังนั้น เธอจงสลัดความความคิดเหล่านี้ทิ้งไปเสีย และควรจะพาเด็กๆ ไปซึมซับบรรยากาศความสงบและความผ่อนคลายบ้าง ขณะนั้นเองหลานตัวน้อยๆ ของเธอพากันยืนฟังหูผึ่ง มีสองคนที่โตพอสมควรแสดงท่าทีสนใจมากพร้อมกับขอเดินทางไปกับข้าพเจ้าด้วย ป้าคงจะงุนงง และตัดสินใจด้วยความยากลำบากว่าควรจะให้ข้าพเจ้าพาไปหรือไม่ในกรณีที่ป้าไม่ไป เรียกว่าบ้านนี้ก็น่าตื่นเต้นสำหรับคนชวนเช่นกัน
และข้าพเจ้าก็เตรียมพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ปกครอง ถ้าเด็กตกลงใจ
ป้าอีกคนหนึ่ง เธอเป็นย่าของเด็กชายวัยแปดขวบที่พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังไม่เกิด เธอมาบอกข้าพเจ้าว่า อยากพาหลานไป เพราะ “ฉันไม่อยากให้มันก้าวร้าว ไม่อยากเห็นมันโตขึ้นมาแล้วเกเร เตะหม้อข้าวใส่ฉัน” รายนี้ชักชวนลูกสาวของตนเองไปด้วย และคงไม่เปลี่ยนใจ
ไม่ว่าจะมีจำนวนมากหรือน้อย สำหรับผู้ปกครองที่คิดพาลูกหลานไปร่วมกิจกรรมนี้ ก็ถือว่าได้ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขในเบื้องต้น คิดง่ายๆ ว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านก็คือลูกหลานของเรา เมื่อเด็กดี สักวันเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี
(ขอเชิญชวนผู้ปกครองพาลูกหลานไปร่วมกิจกรรมเจริญสติ 16-23 เมษายน 2562 ณ สำนักวิปัสสนาสอนทวี อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากเดินทางไป-กลับเอง ผู้สนใจติดต่อ อ.นิศารัตน์ ลาวัณยากุล โทร. 08-9892-2612)
........................................................................
(ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ)