สารบัญ
https://ppantip.com/topic/39358562
“ตึง!/เหวอ!” [ความมืดมิด] ถูกกระแทกอย่างหนักหน่วง ทั้งยังโดนจับถลาเฉียงลงไปเบื้องหน้า ด้วยบางสิ่งที่พุ่งชนเต็มรักจากด้านหลังโดยพลัน ทั้งสองมือได้รวบลำตัวของเขาผ่านใต้รักแร้และเจ็บปวดมิใช่น้อย เพราะรู้สึกว่ามีอะไรแหลม ๆ มาแทงอีกต่างหาก
“ขะ ข้าไม่ใช่คนผิดนะ” ตัวการร่ำร้องขึ้น ณ ระยะประชิด ขณะเขี้ยวโง้งในปากแนบแผ่นหลังแล้ว สองคู่ซึ่งยาวเหนือปกติบนเหงือกด้านล่างเลยเสยทะลุเข้าไปถึงเศษหนึ่งส่วนสาม เขาแพะคม ๆ ที่ข้างหน้าผากก็ทิ่มลงไปด้วย ควันดำจึงทะลักตรงบาดแผลเหล่านี้ปานเกิดไฟไหม้ทีเดียว
“อั่ก! เสียงนี้! เจ้าเองรึ? บ้าไปแล้วหรือยังไง?” [ความมืดมิด] จำสำเนียงของผู้กระทำได้ เขาเลยตะโกนออกมาคาดโทษ เพราะคนร้ายบิดกายเสริมด้วย ร่างจึงหมุนควงทวนเข็มนาฬิกา
ในระหว่างที่ตัวติดกันและกำลังขับดันอยู่นั้น บรรยากาศถูกพลังเวทย์ของอีกฝ่ายเหนี่ยวนำ ทำให้ยุบตัวลงอย่างกะทันหัน จนสามารถแหวกมิติเป็นผลสำเร็จ พวกเขาหลุดเข้าไปในทันที จึงต้องเผชิญกับกลุ่มอนุภาคจำนวนมหาศาลเร่งเคลื่อนมาข้างหลังมิหยุด ประมาณ ยานอวกาศทะลวงอุโมงค์วาร์ปด้วยความเร็วแสง
แค่พริบตาเดียว ที่หมายใหม่ก็ปรากฏตรงหน้าแล้ว มันเป็นโลกยามเย็น ๆ ซึ่งมีแต่ซากปรักหักพังไร้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล อาทิเช่น บ้านเมืองยุคปัจจุบันสุดยับเยินจากการทำลายล้าง กะยานพาหนะเกะกะตามถนนหนอันทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เมฆาหนาปกคลุมน่านฟ้า ขนาดแสงสว่างส่องได้มิเกิน 10% ของ ๆ จริง
“โครมมม...!!! ๆ ๆ ๆ” พวกเขาปะทะเข้ากับตึกระฟ้าซึ่งเอียงเอนเกือบล้มลงตามรายทาง โดยทะลุผ่านกำแพงห้องต่าง ๆ สิ่งก่อสร้างเลยทลายต่อกันเป็นทอด ๆ
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนะ ความอุตสาหะ” [ความมืดมิด] พยายามแกะการกอดรัดของฝ่ายตรงข้ามกลางเวหา ทั้งตีศอกซ้ายขวาเต็มเหนี่ยวใส่ศีรษะแนบหลังที่ผมขาวกะเซิงหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็มิอาจคลายออก
“ฮึ่ม! นี่เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้” พอเหลียวหลังมาดู เขาต้องอุทานอย่างประหลาดใจ
“ข้าไม่ใช่คนผิด ๆ ๆ” [ความอุตสาหะ] กลับเปล่งประโยคเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นั่นแหละ ก่อนที่จะดิ่งลงมาประสานงากับพื้นพิภพอย่างเกรี้ยวกราด โดยไถลเป็นร่องรอยดั่งอุกกาบาตชนและกลิ้งโคโร่หลายตลบไปด้วย
แถมยังเผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางมากมาย แห่งแรกคือโซนดูหนังในห้างสรรพสินค้าก่อน ทั้งป้อมตำรวจเล็ก ๆ ณ ตัดสี่แยก ซากรถเมล์พลิกคว่ำและทะลุทะลวงพื้นถนนให้ถึงสถานีใต้ดิน โดยตกลงมาจำนวนมากชั้น ตัวของพวกเขาเองก็มิแยกห่างจากกันเลย แต่ท่วงท่ากลับเปลี่ยนแปลงตามแรงกระแทกทุกครา ครั้นจังหวะสุดท้ายจนแน่นิ่ง ฝุ่นคละคลุ้งเต็มไปหมด เศษหินร่วงหล่นตามความเสียหาย [ความอุตสาหะ] กำลังนอนทับ [ความมืดมิด] อยู่ข้างบนพอดี
“ขะ ข้าไม่ใช่คนผิด มะ มันต่างหากที่เป็นคนทำ” เขาเอ่ยออกมิยั้งปากที่ข้างลำคอของอีกฝ่าย สุ้มเสียงกระโชกโฮกฮาก มือทั้งคู่ก็จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายแน่น เพื่อดันตัวเล็กน้อย ทั้งยังไม่เกรงใจกระชากแรง ๆ ขึ้นลงแบบต่อเนื่อง
“ใช่! ๆ ตัวการที่สังหารเจ้าก็คือข้าคนนี้” ทำให้ [ความมืดมิด] อารมณ์เสียสุด ๆ แล้ว
หัวเข่าข้างขวาได้ดึงตั้งขึ้นมาเตรียมพร้อม กล้ามเนื้อตรงนั้นเลยขยายตัวถึงขีดจำกัด เพื่อถีบฝ่าเท้าเข้าไปที่หน้าอกของ [ความอุตสาหะ] จัง ๆ ทันที โดยขาของเขาชี้ฟ้าค้างอยู่สักครู่หนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามจึงกระเด็นตามแรงถีบตกลงบนเคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสารให้แตกเป็นสองเสี่ยง
“ในเมื่อต้องการตายมากนัก ข้าจะสนองตอบเอง” [ความมืดมิด] เลยพุ่งร่างตาม ณ ชั่วอึดใจเดียว
เมื่อเป้าหมายที่หยุดลงนอนแอ้งแม้งแล้วรู้สึกตัว โดยหมายจะคลานหลบหนี ขาข้างหนึ่งเลยเตะสกัดเข้าใส่ท้องน้อยเต็มเหนี่ยวซะก่อน จน [ความอุตสาหะ] กระเด็นอัดกำแพงยุบ แล้ว [ความมืดมิด] เดินตรงดิ่ง พร้อมด้วยยื่นมือไปคว้าลำคอและยกขึ้นมาเบื้องหน้าเหนือพื้น ส่วนอีกข้างได้ง้างหมัดขึ้นเตรียมซัดเต็มกำลัง ออร่าสีดำเคลือบกำปั้นพร้อมปล่อยออก
“ข้าเกลียดโลกใบนี้ยิ่งนัก แล้วเจ้ายังจะกล้าพามาที่นี่อีก” เขากล่าวแบบของขึ้น
“คนผิดไม่ใช่ข้า ๆ เชื่อด้วยเถิด” ทว่า [ความอุตสาหะ] กลับยังเพ้อโวยวายเรื่องเดิมอยู่เลย สองมือสั่นระริกที่เรียวเท่าไม้ตะเกียบจึงยกขึ้นมาจับข้อแขนซึ่งกำลังบีบเค้นคอมั่น ส่วนขาลีบกวัดแกว่งไปมาอย่างไร้การควบคุม
“... ดูท่าแล้ว เจ้าจะบ้าสถานหนักจริง ๆ ดี! เดี๋ยวข้าจะเป็นคนจบเรื่องให้ก็แล้วกัน” [ความมืดมิด] จึงต้องเปรยขึ้นเบา ๆ จากนั้นจึงลงมือตามความตั้งใจ
“มันสายเกินไปแล้ว” จังหวะนั้นเสียงลึกลับได้บังเกิดขึ้นมาเฉย ๆ ขณะเขากำลังต่อยด้วยความดุดัน
“โครมมม...!!!/ฮึ่ม!” ทำให้การจู่โจมคราวนี้ไม่โดนเป้าหมายเลยสักนิด ทว่าเบื่องหลังนั้นเกิดความเสียหายเกิดขึ้นเป็นแถบ ๆ
เพราะร่างของ [ความอุตสาหะ] ถูกมือสีขาวข้างหนึ่งจากทางซ้ายมือทะลวงมิติออกมาแค่แวบเดียว โดยแตกกระจายเป็นรูโหว่ใหญ่ ๆ เพื่อยื้อแย่งเหยื่อกลับเข้าไปในที่ของตนดื้อ ๆ และซึ่ง ๆ หน้าด้วยพละกำลังเหนือความคาดหมาย มันดูแข็งแกร่งมาก ช่วงนิ้วเรียวยาวเสมือนโครงกระดูกมารก็ว่าได้
คู่เนตรประกายสว่างจ้าภายในช่องว่างโผล่ให้ทรรศนาด้วย จากนั้นภาพที่ดวงตาของ [ความมืดมิด] มองเห็นก็แตกออกเป็นละอองแสง ดั่งดอทหลากหลายสีอันมีความละเอียดสูง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วจึงลามต่อออกไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ครั้นครอบคลุมได้ที่ พวกมันเลยประกอบเข้ากันใหม่ จนเป็นทิวทัศน์ในโลกอันเวิ้งว้าง ตำแหน่งดั่งเดิมก่อนที่จะถูกชนด้านหลังนั่นแหละ
“...” ทำให้ [ความมืดมิด] เหมือนจะต้องมนต์สะกดวิญญาณ
“ฮา ๆ ไม่ได้พบกันมาตั้งนานแล้วนะ สหายตัวดําปี๋ของข้า! ตั้งแต่ที่สภาแห่งเทพเจ้าเลยล่ะมั้ง?” ครั้น [ความอุตสาหะ] อีกคนกำลังพุ่งเข้าหาผู้อยู่เบื้องบนจากด้านล่าง หากแต่สุดก่งก๊ง ครั้นด้วยบินเฉไม่ตรงเอาซะเลย กว่าจะถูกทางได้เลยต้องเสียเวลาไปมิใช่น้อย
“...” ซึ่งการกระทำนี้ ทำให้เขาฟื้นคืนสติสัมปชัญญะ
(ข้าเป็นอะไรไปนะ?) [ความมืดมิด] นึกในใจอย่างสับสน ราวกับลืมเลือนเหตุการณ์เมื่อตะกี้นี้ไปหมดสิ้นแล้ว เลยต้องปล่อยวางซะก่อน เพื่อรับมือกับเพื่อนซึ่งอยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในแผนการลับได้อย่างไรก็มิรู้?
“อา! ปวดหัวมากจริง ๆ เลยนะ สงสัยจะยังคงแฮงค์ไม่หาย เพราะเจ้ามาขวางข้าไม่ให้ถอนต่อนั่นแหละ ความมืดมิดเอ๋ย!” เมื่อเข้ามาถึงระยะพอเหมาะแล้ว [ความอุตสาหะ] จึงเอ่ยตามประสามิตร ทว่าในมือกลับยังถือภาชนะซึ่งบรรจุของเหลวเมา ๆ อยู่สักค่อนขวด อีกข้างก็จับลูกงูสีดำที่ท้ายทอยของมันซึ่งกำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่เลย
“...”
“แด่สหายแห่งข้า เอื๊อก ๆ อืม! ของเบื้องล่างนี่ดีนะ มันยอดเยี่ยมรองจากนรกเท่านั้นเอง เจ้าว่าไหม? เอิ๊กกก...!!! ว่าแต่ท่านยังไม่เข็ดหลาบอีกรึ?” พอสุราสองอึกใหญ่ ๆ ไหลลงคอไปแล้ว เขาจึงต้องสอบถามต่อ ซึ่งส่งกลื่นเหม็นหึ่งชะมัดเลย ก็จากไอเหล้าตามตัวและลมหายใจที่เรออย่างไร้มารยาท
“อา! เป็นกับแกล้มดีนัก อะ! หวังว่าท่านคงมิโกรธเคืองข้านะ ของมันเคยคุ้นน่ะ” ต่อมาจึงดูดอสรพิษตัวน้อยที่ผู้ให้เพิ่งจะปล่อยออกไปมินานเข้าปากเป็น ๆ มันยังดิ้นรนต่อสู้อยู่เลย
“...” ทว่า [ความมืดมิด] กลับทำหน้าตายเป็นหลัก เขาเพียงเฝ้าดูแค่นั้นอย่างเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังต้องบี้จมูกของตนเอง เพื่อให้ความสามารถในการสูดดมลดน้อยลง
“... ยอดเยี่ยมมาก ขนาดถูกตักเตือนไปตั้งหลายรอบ ช่างกล้าหาญชาญชัยดีเหลือเกิน ฮา ๆ ๆ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาเยี่ยงนี้เข้า [ความอุตสาหะ] เลยหัวเราะด้วยเสียงอันดังสนั่น
“ถึงขั้นแอบดึงวิญญาณของพวกเหลือขอเข้ามาในโลกของท่าน เพื่อมอบพรแห่งความมืด โดยมิให้ช้ำมิให้ขุ่นเยี่ยงนี้ อะไรจะเตรียมพร้อมดีเกินถึงขนาดนั้น ถ้าข้าไม่ได้เจอจริง ๆ กับตัวเอง คงจะไม่เชื่อถือแน่ ๆ” พร้อมทั้งชมเชยอีกฝ่ายแบบต่อเนื่อง ถึงขั้นใช้มือข้างที่ว่างอยู่ตบหัวเข่าลั่น
[ความอุตสาหะ] ตอนนี้มีรูปลักษณ์เป็นผู้ชายวัยสามสิบเศษ อารมณ์ดีมาก สูงประมาณ 2.1 เมตร ผิวทองแดงและหน้าคมดั่งชาวลาติน แต่ยังคงความไร้เดียงสาเอาไว้ตามวัยกำดัด ร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยรอยสักสไตล์แนว ๆ ทั้งยังบึกหนาประดุจนักเพาะกายมืออาชีพ ผมเผ้ายาวประบ่า กะหนวดเคราสั้น ๆ สีน้ำตาลทึมปนประกายทอง
ด้วยสภาพมิใส่เสื้อท่อนบน เพื่อโชว์กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นและขับเน้นพุงโลโต ๆ แต่กลับผูกเอาไว้ที่เอวแทน ด้วยผ้าคลุมขนนกสีขาว ทั้งยังแขวนเศียรโต ๆ ของอสูรดึกดำบรรพ์แถมมาด้วย ณ ข้าง ๆ น่ะ กางเกงขายาวซึ่งสวมอยู่คล้ายผ้ายีนส์รัดติ้ว แนวเซอร์ขาดกะรุ่งกะริ่ง เท้าหยาบใหญ่เปลือยเปล่า บนนิ้วมือปรากฏแหวนประดับอัญมณีหลายวง ลำคอมีสร้อยโซ่ข้อต่อใหญ่ ๆ อีกหลายเส้น ส่วนสีหน้าท่าที ณ ตอนนี้น่ะรึ? ก็ตาปรือเล็กน้อย เพราะกำลังกรึ่ม ๆ ทีเดียว
“... ท่านเล่า? กลิ่นโชยฮึ่มเชียวนะ แต่นึกครึ้มมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ?” [ความมืดมิด] จึงต้องชักสีหน้าใส่ในชั่วพริบตา จากนั้นเลยรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยความฉับไว
“หืม!” กระนั้นกลับนึกขึ้นถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ทำให้เขาต้องใช้ฝ่ามือมาตบหน้าผากแรง ๆ
“เริ่มปวดนิด ๆ แล้ว ที่นี่น่าจะมีโถเตรียมเอาไว้นะ อา! แย่จริง รู้สึกว่าจะอยู่เบื้องล่างนานไปหน่อย ข้าเลยติดนิสัยแบบนี้มาน่ะ” ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหันซ้ายหันขวา ครั้นกระดกเหล้าเข้าปากไปอีกหลาย เพื่อมองหาภาชนะรับรองปัสสาวะของตนเอง ต้นขาก็หนีบเข้าเล็กน้อยแล้วด้วย
“นี่หรือว่า? ท่านเพิ่งจะเข้าสิงร่างของชาวบ้าน เพื่อหาความสำราญอีกแล้วใช่ไหม? คงมันส์สุด ๆ ไปเลย ถึงได้โดนพลังของข้าดึงมาด้วยเนี่ย ถามจริง ๆ เถอะ ไม่อับอายบ้างรึไงกัน?” ดังนั้น [ความมืดมิด] จึง-ดันอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยแรงโทสะ เพราะในตอนนี้เขารู้สึกเคร่งเครียดมากกว่าเดิมตั้งหลายเท่า
“เอื๊อก ๆ ๆ อะไร? ... อ้อ! นี่ข้าเป็นถึงตัวแทนแห่งความขยันขันแข็งเชียวนะ” เมื่อรู้ตัวว่าถูกถามอย่างจริงจัง [ความอุตสาหะ] จึงต้องใช้น้ำเสียงอันน่าภาคภูมิใจ
ชี้ใบหน้าของตนเองด้วย หลังจากกระดกสุราเข้าปากไปอีกหลาย ๆ กรึ๊บ พร้อมทั้งยังรีบลอยเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อใช้ฝ่ามือใหญ่ ๆ ปานไม้พายมาตบไหล่ของสหาย เร่าร้อนจัดจนไฟลุกพรึ่บทีเดียว [ความมืดมิด] ที่หลบมิพ้นเลยต้องตัวโยกตาม ถึงสองครากว่าดับสนิทลงได้
“หึ ๆ จะพักเบรกสักปีทั้งที ต้องให้มันเอาจริงเอาจังสุด ๆ แบบนี้ เดี๋ยวข้าจะถูกกฏระเบียบสวรรค์แจ้งเตือนเอาได้” จากนั้น [ความอุตสาหะ] จึงกล่าวต่ออย่างเปี่ยมสุข รอยยิ้มจึงเบ่งบานดีราวกับดอกไม้พุ่มใหญ่จริง ๆ
“กรอด! รีบไสหัวไปจากโลกของข้า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเอาไว้ เพื่อเทพขี้เหล้าอย่างเจ้า” ก็พอสดับฟังจบ [ความมืดมิด] จึงสุดเหลืออดแล้ว เขาจึงยกมือมาเฉดหัวเพื่อนอย่างมิลังเล
นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 6 สี่แทรกสอด] ปรับปรุง
“ตึง!/เหวอ!” [ความมืดมิด] ถูกกระแทกอย่างหนักหน่วง ทั้งยังโดนจับถลาเฉียงลงไปเบื้องหน้า ด้วยบางสิ่งที่พุ่งชนเต็มรักจากด้านหลังโดยพลัน ทั้งสองมือได้รวบลำตัวของเขาผ่านใต้รักแร้และเจ็บปวดมิใช่น้อย เพราะรู้สึกว่ามีอะไรแหลม ๆ มาแทงอีกต่างหาก
“ขะ ข้าไม่ใช่คนผิดนะ” ตัวการร่ำร้องขึ้น ณ ระยะประชิด ขณะเขี้ยวโง้งในปากแนบแผ่นหลังแล้ว สองคู่ซึ่งยาวเหนือปกติบนเหงือกด้านล่างเลยเสยทะลุเข้าไปถึงเศษหนึ่งส่วนสาม เขาแพะคม ๆ ที่ข้างหน้าผากก็ทิ่มลงไปด้วย ควันดำจึงทะลักตรงบาดแผลเหล่านี้ปานเกิดไฟไหม้ทีเดียว
“อั่ก! เสียงนี้! เจ้าเองรึ? บ้าไปแล้วหรือยังไง?” [ความมืดมิด] จำสำเนียงของผู้กระทำได้ เขาเลยตะโกนออกมาคาดโทษ เพราะคนร้ายบิดกายเสริมด้วย ร่างจึงหมุนควงทวนเข็มนาฬิกา
ในระหว่างที่ตัวติดกันและกำลังขับดันอยู่นั้น บรรยากาศถูกพลังเวทย์ของอีกฝ่ายเหนี่ยวนำ ทำให้ยุบตัวลงอย่างกะทันหัน จนสามารถแหวกมิติเป็นผลสำเร็จ พวกเขาหลุดเข้าไปในทันที จึงต้องเผชิญกับกลุ่มอนุภาคจำนวนมหาศาลเร่งเคลื่อนมาข้างหลังมิหยุด ประมาณ ยานอวกาศทะลวงอุโมงค์วาร์ปด้วยความเร็วแสง
แค่พริบตาเดียว ที่หมายใหม่ก็ปรากฏตรงหน้าแล้ว มันเป็นโลกยามเย็น ๆ ซึ่งมีแต่ซากปรักหักพังไร้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล อาทิเช่น บ้านเมืองยุคปัจจุบันสุดยับเยินจากการทำลายล้าง กะยานพาหนะเกะกะตามถนนหนอันทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เมฆาหนาปกคลุมน่านฟ้า ขนาดแสงสว่างส่องได้มิเกิน 10% ของ ๆ จริง
“โครมมม...!!! ๆ ๆ ๆ” พวกเขาปะทะเข้ากับตึกระฟ้าซึ่งเอียงเอนเกือบล้มลงตามรายทาง โดยทะลุผ่านกำแพงห้องต่าง ๆ สิ่งก่อสร้างเลยทลายต่อกันเป็นทอด ๆ
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนะ ความอุตสาหะ” [ความมืดมิด] พยายามแกะการกอดรัดของฝ่ายตรงข้ามกลางเวหา ทั้งตีศอกซ้ายขวาเต็มเหนี่ยวใส่ศีรษะแนบหลังที่ผมขาวกะเซิงหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็มิอาจคลายออก
“ฮึ่ม! นี่เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้” พอเหลียวหลังมาดู เขาต้องอุทานอย่างประหลาดใจ
“ข้าไม่ใช่คนผิด ๆ ๆ” [ความอุตสาหะ] กลับเปล่งประโยคเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นั่นแหละ ก่อนที่จะดิ่งลงมาประสานงากับพื้นพิภพอย่างเกรี้ยวกราด โดยไถลเป็นร่องรอยดั่งอุกกาบาตชนและกลิ้งโคโร่หลายตลบไปด้วย
แถมยังเผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางมากมาย แห่งแรกคือโซนดูหนังในห้างสรรพสินค้าก่อน ทั้งป้อมตำรวจเล็ก ๆ ณ ตัดสี่แยก ซากรถเมล์พลิกคว่ำและทะลุทะลวงพื้นถนนให้ถึงสถานีใต้ดิน โดยตกลงมาจำนวนมากชั้น ตัวของพวกเขาเองก็มิแยกห่างจากกันเลย แต่ท่วงท่ากลับเปลี่ยนแปลงตามแรงกระแทกทุกครา ครั้นจังหวะสุดท้ายจนแน่นิ่ง ฝุ่นคละคลุ้งเต็มไปหมด เศษหินร่วงหล่นตามความเสียหาย [ความอุตสาหะ] กำลังนอนทับ [ความมืดมิด] อยู่ข้างบนพอดี
“ขะ ข้าไม่ใช่คนผิด มะ มันต่างหากที่เป็นคนทำ” เขาเอ่ยออกมิยั้งปากที่ข้างลำคอของอีกฝ่าย สุ้มเสียงกระโชกโฮกฮาก มือทั้งคู่ก็จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายแน่น เพื่อดันตัวเล็กน้อย ทั้งยังไม่เกรงใจกระชากแรง ๆ ขึ้นลงแบบต่อเนื่อง
“ใช่! ๆ ตัวการที่สังหารเจ้าก็คือข้าคนนี้” ทำให้ [ความมืดมิด] อารมณ์เสียสุด ๆ แล้ว
หัวเข่าข้างขวาได้ดึงตั้งขึ้นมาเตรียมพร้อม กล้ามเนื้อตรงนั้นเลยขยายตัวถึงขีดจำกัด เพื่อถีบฝ่าเท้าเข้าไปที่หน้าอกของ [ความอุตสาหะ] จัง ๆ ทันที โดยขาของเขาชี้ฟ้าค้างอยู่สักครู่หนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามจึงกระเด็นตามแรงถีบตกลงบนเคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสารให้แตกเป็นสองเสี่ยง
“ในเมื่อต้องการตายมากนัก ข้าจะสนองตอบเอง” [ความมืดมิด] เลยพุ่งร่างตาม ณ ชั่วอึดใจเดียว
เมื่อเป้าหมายที่หยุดลงนอนแอ้งแม้งแล้วรู้สึกตัว โดยหมายจะคลานหลบหนี ขาข้างหนึ่งเลยเตะสกัดเข้าใส่ท้องน้อยเต็มเหนี่ยวซะก่อน จน [ความอุตสาหะ] กระเด็นอัดกำแพงยุบ แล้ว [ความมืดมิด] เดินตรงดิ่ง พร้อมด้วยยื่นมือไปคว้าลำคอและยกขึ้นมาเบื้องหน้าเหนือพื้น ส่วนอีกข้างได้ง้างหมัดขึ้นเตรียมซัดเต็มกำลัง ออร่าสีดำเคลือบกำปั้นพร้อมปล่อยออก
“ข้าเกลียดโลกใบนี้ยิ่งนัก แล้วเจ้ายังจะกล้าพามาที่นี่อีก” เขากล่าวแบบของขึ้น
“คนผิดไม่ใช่ข้า ๆ เชื่อด้วยเถิด” ทว่า [ความอุตสาหะ] กลับยังเพ้อโวยวายเรื่องเดิมอยู่เลย สองมือสั่นระริกที่เรียวเท่าไม้ตะเกียบจึงยกขึ้นมาจับข้อแขนซึ่งกำลังบีบเค้นคอมั่น ส่วนขาลีบกวัดแกว่งไปมาอย่างไร้การควบคุม
“... ดูท่าแล้ว เจ้าจะบ้าสถานหนักจริง ๆ ดี! เดี๋ยวข้าจะเป็นคนจบเรื่องให้ก็แล้วกัน” [ความมืดมิด] จึงต้องเปรยขึ้นเบา ๆ จากนั้นจึงลงมือตามความตั้งใจ
“มันสายเกินไปแล้ว” จังหวะนั้นเสียงลึกลับได้บังเกิดขึ้นมาเฉย ๆ ขณะเขากำลังต่อยด้วยความดุดัน
“โครมมม...!!!/ฮึ่ม!” ทำให้การจู่โจมคราวนี้ไม่โดนเป้าหมายเลยสักนิด ทว่าเบื่องหลังนั้นเกิดความเสียหายเกิดขึ้นเป็นแถบ ๆ
เพราะร่างของ [ความอุตสาหะ] ถูกมือสีขาวข้างหนึ่งจากทางซ้ายมือทะลวงมิติออกมาแค่แวบเดียว โดยแตกกระจายเป็นรูโหว่ใหญ่ ๆ เพื่อยื้อแย่งเหยื่อกลับเข้าไปในที่ของตนดื้อ ๆ และซึ่ง ๆ หน้าด้วยพละกำลังเหนือความคาดหมาย มันดูแข็งแกร่งมาก ช่วงนิ้วเรียวยาวเสมือนโครงกระดูกมารก็ว่าได้
คู่เนตรประกายสว่างจ้าภายในช่องว่างโผล่ให้ทรรศนาด้วย จากนั้นภาพที่ดวงตาของ [ความมืดมิด] มองเห็นก็แตกออกเป็นละอองแสง ดั่งดอทหลากหลายสีอันมีความละเอียดสูง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วจึงลามต่อออกไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ครั้นครอบคลุมได้ที่ พวกมันเลยประกอบเข้ากันใหม่ จนเป็นทิวทัศน์ในโลกอันเวิ้งว้าง ตำแหน่งดั่งเดิมก่อนที่จะถูกชนด้านหลังนั่นแหละ
“...” ทำให้ [ความมืดมิด] เหมือนจะต้องมนต์สะกดวิญญาณ
“ฮา ๆ ไม่ได้พบกันมาตั้งนานแล้วนะ สหายตัวดําปี๋ของข้า! ตั้งแต่ที่สภาแห่งเทพเจ้าเลยล่ะมั้ง?” ครั้น [ความอุตสาหะ] อีกคนกำลังพุ่งเข้าหาผู้อยู่เบื้องบนจากด้านล่าง หากแต่สุดก่งก๊ง ครั้นด้วยบินเฉไม่ตรงเอาซะเลย กว่าจะถูกทางได้เลยต้องเสียเวลาไปมิใช่น้อย
“...” ซึ่งการกระทำนี้ ทำให้เขาฟื้นคืนสติสัมปชัญญะ
(ข้าเป็นอะไรไปนะ?) [ความมืดมิด] นึกในใจอย่างสับสน ราวกับลืมเลือนเหตุการณ์เมื่อตะกี้นี้ไปหมดสิ้นแล้ว เลยต้องปล่อยวางซะก่อน เพื่อรับมือกับเพื่อนซึ่งอยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในแผนการลับได้อย่างไรก็มิรู้?
“อา! ปวดหัวมากจริง ๆ เลยนะ สงสัยจะยังคงแฮงค์ไม่หาย เพราะเจ้ามาขวางข้าไม่ให้ถอนต่อนั่นแหละ ความมืดมิดเอ๋ย!” เมื่อเข้ามาถึงระยะพอเหมาะแล้ว [ความอุตสาหะ] จึงเอ่ยตามประสามิตร ทว่าในมือกลับยังถือภาชนะซึ่งบรรจุของเหลวเมา ๆ อยู่สักค่อนขวด อีกข้างก็จับลูกงูสีดำที่ท้ายทอยของมันซึ่งกำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่เลย
“...”
“แด่สหายแห่งข้า เอื๊อก ๆ อืม! ของเบื้องล่างนี่ดีนะ มันยอดเยี่ยมรองจากนรกเท่านั้นเอง เจ้าว่าไหม? เอิ๊กกก...!!! ว่าแต่ท่านยังไม่เข็ดหลาบอีกรึ?” พอสุราสองอึกใหญ่ ๆ ไหลลงคอไปแล้ว เขาจึงต้องสอบถามต่อ ซึ่งส่งกลื่นเหม็นหึ่งชะมัดเลย ก็จากไอเหล้าตามตัวและลมหายใจที่เรออย่างไร้มารยาท
“อา! เป็นกับแกล้มดีนัก อะ! หวังว่าท่านคงมิโกรธเคืองข้านะ ของมันเคยคุ้นน่ะ” ต่อมาจึงดูดอสรพิษตัวน้อยที่ผู้ให้เพิ่งจะปล่อยออกไปมินานเข้าปากเป็น ๆ มันยังดิ้นรนต่อสู้อยู่เลย
“...” ทว่า [ความมืดมิด] กลับทำหน้าตายเป็นหลัก เขาเพียงเฝ้าดูแค่นั้นอย่างเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังต้องบี้จมูกของตนเอง เพื่อให้ความสามารถในการสูดดมลดน้อยลง
“... ยอดเยี่ยมมาก ขนาดถูกตักเตือนไปตั้งหลายรอบ ช่างกล้าหาญชาญชัยดีเหลือเกิน ฮา ๆ ๆ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาเยี่ยงนี้เข้า [ความอุตสาหะ] เลยหัวเราะด้วยเสียงอันดังสนั่น
“ถึงขั้นแอบดึงวิญญาณของพวกเหลือขอเข้ามาในโลกของท่าน เพื่อมอบพรแห่งความมืด โดยมิให้ช้ำมิให้ขุ่นเยี่ยงนี้ อะไรจะเตรียมพร้อมดีเกินถึงขนาดนั้น ถ้าข้าไม่ได้เจอจริง ๆ กับตัวเอง คงจะไม่เชื่อถือแน่ ๆ” พร้อมทั้งชมเชยอีกฝ่ายแบบต่อเนื่อง ถึงขั้นใช้มือข้างที่ว่างอยู่ตบหัวเข่าลั่น
[ความอุตสาหะ] ตอนนี้มีรูปลักษณ์เป็นผู้ชายวัยสามสิบเศษ อารมณ์ดีมาก สูงประมาณ 2.1 เมตร ผิวทองแดงและหน้าคมดั่งชาวลาติน แต่ยังคงความไร้เดียงสาเอาไว้ตามวัยกำดัด ร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยรอยสักสไตล์แนว ๆ ทั้งยังบึกหนาประดุจนักเพาะกายมืออาชีพ ผมเผ้ายาวประบ่า กะหนวดเคราสั้น ๆ สีน้ำตาลทึมปนประกายทอง
ด้วยสภาพมิใส่เสื้อท่อนบน เพื่อโชว์กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นและขับเน้นพุงโลโต ๆ แต่กลับผูกเอาไว้ที่เอวแทน ด้วยผ้าคลุมขนนกสีขาว ทั้งยังแขวนเศียรโต ๆ ของอสูรดึกดำบรรพ์แถมมาด้วย ณ ข้าง ๆ น่ะ กางเกงขายาวซึ่งสวมอยู่คล้ายผ้ายีนส์รัดติ้ว แนวเซอร์ขาดกะรุ่งกะริ่ง เท้าหยาบใหญ่เปลือยเปล่า บนนิ้วมือปรากฏแหวนประดับอัญมณีหลายวง ลำคอมีสร้อยโซ่ข้อต่อใหญ่ ๆ อีกหลายเส้น ส่วนสีหน้าท่าที ณ ตอนนี้น่ะรึ? ก็ตาปรือเล็กน้อย เพราะกำลังกรึ่ม ๆ ทีเดียว
“... ท่านเล่า? กลิ่นโชยฮึ่มเชียวนะ แต่นึกครึ้มมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ?” [ความมืดมิด] จึงต้องชักสีหน้าใส่ในชั่วพริบตา จากนั้นเลยรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยความฉับไว
“หืม!” กระนั้นกลับนึกขึ้นถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ทำให้เขาต้องใช้ฝ่ามือมาตบหน้าผากแรง ๆ
“เริ่มปวดนิด ๆ แล้ว ที่นี่น่าจะมีโถเตรียมเอาไว้นะ อา! แย่จริง รู้สึกว่าจะอยู่เบื้องล่างนานไปหน่อย ข้าเลยติดนิสัยแบบนี้มาน่ะ” ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหันซ้ายหันขวา ครั้นกระดกเหล้าเข้าปากไปอีกหลาย เพื่อมองหาภาชนะรับรองปัสสาวะของตนเอง ต้นขาก็หนีบเข้าเล็กน้อยแล้วด้วย
“นี่หรือว่า? ท่านเพิ่งจะเข้าสิงร่างของชาวบ้าน เพื่อหาความสำราญอีกแล้วใช่ไหม? คงมันส์สุด ๆ ไปเลย ถึงได้โดนพลังของข้าดึงมาด้วยเนี่ย ถามจริง ๆ เถอะ ไม่อับอายบ้างรึไงกัน?” ดังนั้น [ความมืดมิด] จึง-ดันอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยแรงโทสะ เพราะในตอนนี้เขารู้สึกเคร่งเครียดมากกว่าเดิมตั้งหลายเท่า
“เอื๊อก ๆ ๆ อะไร? ... อ้อ! นี่ข้าเป็นถึงตัวแทนแห่งความขยันขันแข็งเชียวนะ” เมื่อรู้ตัวว่าถูกถามอย่างจริงจัง [ความอุตสาหะ] จึงต้องใช้น้ำเสียงอันน่าภาคภูมิใจ
ชี้ใบหน้าของตนเองด้วย หลังจากกระดกสุราเข้าปากไปอีกหลาย ๆ กรึ๊บ พร้อมทั้งยังรีบลอยเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อใช้ฝ่ามือใหญ่ ๆ ปานไม้พายมาตบไหล่ของสหาย เร่าร้อนจัดจนไฟลุกพรึ่บทีเดียว [ความมืดมิด] ที่หลบมิพ้นเลยต้องตัวโยกตาม ถึงสองครากว่าดับสนิทลงได้
“หึ ๆ จะพักเบรกสักปีทั้งที ต้องให้มันเอาจริงเอาจังสุด ๆ แบบนี้ เดี๋ยวข้าจะถูกกฏระเบียบสวรรค์แจ้งเตือนเอาได้” จากนั้น [ความอุตสาหะ] จึงกล่าวต่ออย่างเปี่ยมสุข รอยยิ้มจึงเบ่งบานดีราวกับดอกไม้พุ่มใหญ่จริง ๆ
“กรอด! รีบไสหัวไปจากโลกของข้า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเอาไว้ เพื่อเทพขี้เหล้าอย่างเจ้า” ก็พอสดับฟังจบ [ความมืดมิด] จึงสุดเหลืออดแล้ว เขาจึงยกมือมาเฉดหัวเพื่อนอย่างมิลังเล