นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 4 ต่างแรกพาซวย] ปรับปรุง

สารบัญ https://ppantip.com/topic/39358562
ขอเปลี่ยนชื่อตอนเป็น [ต่างเลยพาซวย] แทน

              “โอ้! ท่านเพียวดาร์ก เทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดสงสารประทานพรให้ด้วยเถิด พวกข้าล้วนโง่งมนักที่มิเชื่อถือในคำพยากรณ์ พอมารู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปเสียแล้ว หากมิอาจรอดพ้นจากมหาภัยในคราวนี้ คงจะสูญสิ้นทุกเผ่าพันธุ์เป็นแน่แท้” ผู้นำนักบวชของคณะมากเชื้อสายกำลังคุกเข่าวิงวอนสุดชีวิต ณ แถวหน้าภายในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ สุ้มเสียงเร่งร้อนมาก น้ำตาก็หลั่งรินอาบแก้ม
              “ตึง! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” ถึงขั้นต้องโขกศีรษะกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน หน้าผากเลยแตก เลือดไหลซิบอาบลงพื้น เพื่อแสดงความจริงใจแด่พระผู้ช่วยให้รอด พอกระทำอยู่สักพักก็รีบเงยหน้าขึ้นส่งสายตาน่าเวทนาเข้าหา
              “...”
              “ความเอื้อเฟื้อของท่านจะถูกเล่าขานไปชั่วกัลปาวสาน ขอสาบานจากแก่นแท้ของดวงวิญญาณ ว่าจะเป็นเหล่าทาสทุก ๆ ชาติไป หากประสงค์ในสิ่งใด ขอเพียงแค่เอ่ยปากบอก พวกข้าก็สรรหามาสังเวยให้ทุก ๆ อย่างด้วยความซื่อสัตย์ภักดีไม่เสื่อมคลาย” คนอื่น ๆ ที่เลียนแบบตามอยู่เบื้องหลังจึงเฝ้าอ้อนวอน ด้วยเสียงดังกังวานพร้อมเพรียงกัน
              “อืมมม...!!! จะว่ายังไงดีนะ? ฮา ๆ มันไม่ใช่บทบาทซึ่งข้าสมควรยุ่งเกี่ยวเลย” [ความมืดมิด] ในรูปแบบกึ่งมนุษย์กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์สีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งยกระดับขึ้นจากพื้นกว่า 3 เมตร ท่าทีสนุกสนานที่ถูกรบเร้ามิหยุด เขาเอียงหน้าเล็กน้อยและเท้าคางด้านขวา โดยตั้งข้อศอกลงบนพนักวางแขน ออร่าทมิฬล่องลอยทั่วร่างผอมดั่งไอน้ำแข็งแห้ง 
              ทั้งสองฟากซ้ายขวามีสตรีสาวสะคราญในชุดบางเบากำลังโบกพัดขนนกก้านยาว ๆ ขึ้นลงเนือง ๆ อันสร้างกระแสลมแรงมิใช่น้อย มันได้แหวกหน้าอกเสื้อของแต่ละนางให้ผ่ากว้างมากขึ้นอีก เหงื่อซึมเชียวล่ะ ราวกับกลัวว่าจะสัมผัสมนตราของอีกฝ่าย เพราะเนื้อผ้าขาวบางส่วนที่สัมผัสโดนย้อมเป็นสีดำแทน กระทั่งผิวพรรณผ่องก็ด้วย แต่ใบหน้ายังคงเปี่ยมไมตรีจิตอยู่เลย 
              “อ้ามมม...!!!” จากนั้นเทพเจ้าก็อ้าปากกว้าง ๆ ให้เด็กหญิงโลลิผู้แข็งใจยิ้มแย้มนั่งอยู่บนตักป้อนองุ่นผลึกม่วงพวงหนึ่ง แล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ สักประเดี๋ยว ก่อนจะกลืนกินลงท้องไป
              (ไม่มีอะไร ๆ) เธอนึกปลอบตนเอง เมื่อถอนมือกลับมา กายามีอาคมเคลือบอยู่จึงพอทนได้ จากชุดทองคำคล้ายนางสนมที่สวมใส่
              “... ฮึ่ม! อย่ามาเนียนจัด แล้วอุตริตั้งนามให้ดื้อ ๆ กันเช่นนี้นะ นี่มันคือการละเมิดเบื้องสูงขั้นร้ายแรงแล้วชัด ๆ อยากพังพินาศกันมากนักใช่ไหม?” ทว่า [ความมืดมิด] กลับบันดาลโทสะออกมาซะงั้น ครั้นเพิ่งจะนึกได้ เส้นเลือดผุดเบียดเสียดเป็นกระจุกตรงหน้าผาก เลยต้องใช้มือซ้ายบีบที่เท้าแขนให้แหลกลาญ พร้อมกับพลันลุกขึ้นยืน 
              “ว๊ายยย...!!!” ทำให้สาวน้อยต้องก้นกระดกและกลิ้งตกลงมาจากบันไดสูงชันทีละขั้นอย่างน่าสงสาร ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเล็ด เนื้อตัวก็ถลอกปอกเปิก แต่ด้วยหน้าที่ จึงสามารถฝืนพยุงร่างมานั่งคุกเข่าใกล้ ๆ ผู้นำนักบวช 
              “ได้! เดี๋ยวข้าจะเป็นคนลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง” ขณะการประกาศโทษของ [ความมืดมิด] สิ้นสุด จู่ ๆ พื้นที่รายล้อมก็สิ้นแสงสว่างลงเฉย ๆ สองสาวผู้ให้บริการต่างก็หน้าเสีย จนต้องหยุดมือและก้าวถอยห่างตามสัญชาตญาณในระยะสั้น ๆ
              “ทะ ท่านเทพเจ้า! กะ กรุณาลดเพลิงพิโรธลงด้วยเถิด ทะ ที่บังอาจกระทำไป ก็เพราะมีแรงศรัทธามากเกินเท่านั้นเอง พวกข้ามิกล้าจะประพฤติตนเยี่ยงนี้อีกแล้ว” หัวหน้ากลุ่มเลยมีสีหน้าซีดเซียว เมื่อปั้นอารมณ์ได้ใหม่ เขาก็รีบประจบต่ออย่างระมัดระวัง
              “เมื่อสัมผัสกับรัศมีอันยิ่งใหญ่ เลยทำให้เผลอใจไปชั่วครู่ จนพลั้งปากกล่าวเรื่องที่มิควรแตะต้อง อา! บาปนี้หนาหนักเหลือเกิน เพื่อชดเชยความผิดพลาดครั้งที่แล้ว ๆ มา พวกข้าจะอบรมวินัยกันใหม่หมดอีกรอบหนึ่ง โอ้! ได้โปรดสงสารและกรุณาเปิดทางถอยด้วยเถิด” รองหัวหน้าที่เป็นนักบวชหญิงเงยหน้ากล่าวเสริมด้วยความเยือกเย็น เธอคุกเข่าเยื้องซ้ายอยู่ข้างหลังถัดไปนิดหน่อย
              “มิต้องพูดดีเข้าตัวเลยนะ พวกเจ้าก็เอ่ยคำสรรเสริญเยี่ยงนี้แด่เทพเจ้าทุก ๆ องค์ที่ฝืนกฎเกณฑ์อัญเชิญมานั่นแหละ หาใช่มีแต่ข้าเพียงผู้เดียวไม่” [ความมืดมิด] เลยเสียอารมณ์ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ โดยกระทืบเท้าแรง ๆ ให้วิหารสั่นสะเทือน ร่างคนโงกเงก ทั้งยังกวาดแขนขวาเต็มวงสวิงออกด้านข้าง คลื่นดำทะมึนจึงแผ่พุ่งแนวระนาบเข้าหาเหล่าผู้ร้องขอต้องกระเด็นกันทั้งแถบ 
              “กรี๊ดดด...!!!”x2 สาวสวยเคียงข้างเองก็โดนดีดเข้าปะทะด้านหลังจัง ๆ เครื่องทรงขาดกระจายและหมดสติลงชิดริมกำแพง
              “ทีนี้จะมาเล่นลิ้นอะไรอีกล่ะ? ฮะ! ข้ามิหลงกลลูกไม้กระจอก ๆ หรอกน่า” การตะคอกเสียงดังของฝั่งมีอำนาจจึงปรากฏตาม เพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่าย 
              “ท่านเทพเจ้า!” ซึ่งพวกเขาเร่งกุลีกุจอประคองร่างสู่ท่วงท่าเดิม
              “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ขอให้โชคดีมีชัยก็แล้วกัน” [ความมืดมิด] เลยตัดบทลงดื้อ ๆ พร้อมกับใช้หางตาเหลือบสูงจากเบื้องสูงอย่างเหยียดหยาม
              “หึ ๆ คราวหน้าข้าอาจจะคิดช่วยก็ได้ ถ้าสบโอกาสเสวนากันใหม่อีกครั้งนะ? ฮา ๆ ๆ” มือไม้เลยอวยพรด้วยนิ้วกลางแนว ๆ คู่หนึ่งแถม ครั้นจะก้าวเข้าสู่ประตูมิติข้างหลังบัลลังก์นั่นเอง ดั่งทะลุม่านหนืด ๆ มันเป็นกระจกหลากเฉกสีบานใหญ่ ๆ ที่มีลวดลายวิจิตรตามขามา
              “บัดซบจริง ๆ” เขาเลยต้องสบถขึ้นทันที 
              ร่างโดดเดี่ยวก้าวผ่านพ้นขอบเขตมาเหยียบอากาศธาตุอันปลอดโปร่ง โดยส่ายหน้ากับสองมือไขว้หลังเอว พิกัด ณ ตอนนี้เป็นเหนือฟากฟ้ายามค่ำคืน ดาราจักรก็โอ้อวดประชันประกาย ใบหน้าเลยแหงนขึ้นพอสมควร เพื่อเผชิญกับจันทราเต็มดวงสีเหลืองส่องแสงเรืองรอง เพราะอยู่ในวันเพ็ญ  
              “อืม! ๆ ๆ ๆ” ครั้นข้ามเวลาสู่ช่วงปัจจุบันแล้ว ตอนนี้มีแต่เสียงร้องอู้อี้ของผู้ถูกจองจำเท่านั้น
“ในอดีตกาล ท่านก็ประพฤติตนดีนี่นา เป็นแบบอย่างยอดเยี่ยมของพวกเรา เหล่าเทพเจ้า! ทำไมถึงเลือกกระทำการเยี่ยงนี้เล่า? ความมืดมิดเอ๋ย!” [ความเร้นลับ] เลยอดกล่าวออกมาจากเบื้องหลังมิได้ ขณะที่กำลังประสานร่างไปกว่า 50% ของทั้งหมดผ่านเหล่าสายโซ่ทองคำ เพื่อช่วงชิงพลังเวทมนต์ไปที่ตัวเอง
              เขาคือกลุ่มก้อนพลังงานที่ยิ่งใหญ่ มีก๊าซสีรุ้งปะปนกันเป็นแก่นสาร ทั้งยังแผ่รัศมีออกมาปานดาวฤกษ์ดวงเล็ก ๆ บัดนี้กำลังคงรูปแบบมนุษย์ครึ่งท่อน สองมือช่วงแขนยาวปรากฏ แต่กลับมิมีสองเท้า โดยแผ่รยางค์แห่งแสงเป็นริ้ว ๆ แทนให้สะบัดไปทั่ว กลางหลังด้วย หน้ากากโอเปร่าสีขาวที่จมูกแหลม ๆ พาดอยู่บนใบหน้า ลวดลายพิสดารอันปรับเปลี่ยนได้ถูกจารึกเอาไว้ เนื่องจากใช้บ่งบอกอารมณ์ โดยตอนนี้เครื่องหมายคำถามปรากฏตรงหว่างกลางหน้าผาก
              “...”
              (ข้าถึงได้เสียใจภายหลังมาตลอดยังไงล่ะ) [ความมืดมิด] ที่ถูกพันธนาการแน่นนึกในใจอย่างคับแค้น ขณะนี้เขาเริ่มจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงซะแล้ว 
              แขนขาโดนจับกางออกแยกเป็นสี่ด้าน ถึงพยายามอาละวาดแทบตาย กระนั้นเครื่องพันธนาการก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย พอบังคับให้หมุดหนามแหลมตอบโต้จากภายในกายเต็มอัตราศึก กลับไม่อาจทะลวงผ่านไปได้เลย แค่กระเทือนอยู่บ้าง แถมยังมิสามารถเปล่งพลังของตนแข็งขืนเอาเสรีภาพคืน
              “โธ่! ท่านจะให้โอกาสกลับตัวต่อพวกมันไปทำไมกัน? กับพวกบัดซบเยี่ยงนี้น่ะ ฮา ๆ” จู่ ๆ ก็มีเสียงร่าเริงเข้าแทรกจากจอภาพหลากหลายเครื่องที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน นี่เป็นมอนิเตอร์วงกลมซึ่งเลยซ้ายมือมา 30 องศา เมื่อเทียบกับหน้าตรง 
              “แกร๊ก!” ครั้นคำ-ดันกระทบโสตประสาท [ความมืดมิด] ก็ต้องของขึ้นแบบเกรี้ยวกราดในบัดดล ดวงตาลุกเป็นไฟ
เรี่ยวแรงมหาศาลถึงกับกำเนิดออกมาเอง จนสามารถใช้ฟันขาวกัดสายโซ่ที่กำลังคาดอยู่ให้ขาดสะบั้นคาปากได้ จากนั้นเลยกระชากปลายและเขมือบลงสู่ท้องมาร เพื่อฟื้นฟูพละกำลังบ้าง แรงสูดรุนแรงจัด ทำให้เส้นอื่น ๆ ซึ่งรัดพัดรอบศีรษะพานถูกดูดกลืนเข้าช่องลำคอไปด้วย
              “ย๊ากกก...!!! ความอุตสาหะ ไอ้ขี้เหล้าจอมสับปลับเอ้ย! กล้าดียังไงกัน? ถึงได้มาคืนคำต่อข้า” เขาจึงต้องจับจ้องบุคคลบนจอภาพเขม็ง เพื่อร้องตะโกนด่าดัง ๆ ส่วนภายในกรอบนอกเหนือจากอันนี้ยังคงดำมืดอยู่ มีแถบสัญญาณเป็นเส้นคาดกึ่งกลางและจุดขาว ๆ ปรากฏไปทั่ว เสียงก็ซ่า ๆ กันให้แซด
              “ทำไมกัน? ถึงได้มิลงมือจัดการกับสิ่งใดเลย แล้วการคงอยู่ของเทพเจ้าอย่างพวกเรา มันจะมีความหมายอะไรเล่า? หากปล่อยเอาไว้เยี่ยงนี้น่ะ” จากนั้น [ความมืดมิด] จึงต้องหันหน้าตะเบ็งเสียงลั่นใส่ [ความเร้นลับ] ต่ออย่างจริงจัง 
              “...” 
              “ฮา ๆ อาจจะไม่น่าเชื่อก็ได้ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ ว่าเรื่องราวในหนนี้ ข้ามิได้เป็นคนเริ่มต้นด้วยเลย” ทำให้ [ความอุตสาหะ] ที่กำลังชมอยู่ถึงกับหัวเราะเฮฮาออกมาทีเดียว 
              “ฮึ่ม! น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะ ก็ได้แต่หลอกลวงผู้อื่นไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ” [ความมืดมิด] เลยต้องบิดหน้ากลับมาตะคอกด้วยความเดือดดาล แล้วจอภาพอื่น ๆ จึงไล่ทยอยเปิดติดเนื่องกันอย่างสุ่ม ๆ ไร้การควบคุม 
              ณ ยามวิกาล บนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำสายใหญ่ ๆ สายลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้ยอดหญ้าต้องกระดิกตามพอเป็นพิธี แต่ก็เย็นสบายกำลังดี เพราะใกล้กับแหล่งอุปโภคหลัก ซึ่งเหล่าสัตว์เวทย์ต่างชักชวนพวกพ้องพามาดื่มกินกันเป็นกิจวัตรประจำวัน
              “...” บนลำไม้เหนือพื้นของต้นมากใบสูงโดดเด่น 
              เท้าเปลือยเล็ก ๆ สองข้างกำลังยืนจังก้าอยู่บนนั้น ดิวทรา ภูตปีกวิหคนี่เอง ถ้าพินิจดูดี ๆ เพราะมีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ เท่านั้นที่สาดมาโดนภายใต้ร่มเงา สายตาของเขาก็นิ่งจ้องมองเบื้องล่างอย่างมิคาดเคลื่อนมาอยู่สักพักหนึ่งแล้ว โดยระยะห่างกันพอประมาณ
              มันคือด้วงเกราะปีกนิ่ม ขนาดเท่าเต่าตัวเต็มวัย ดวงตาเล็กสีม่วง คู่หนวดกุ้งเบนเฉียงข้าง กรามปากคล้ายคีมยื่นยาวออกมา เวลากัดจึงเจ็บเข้าลึกแน่ หนึ่งเขาตรงส่วนหัวโค้งลงใช้ต่อสู้ เปลือกครอบร่างสีดำเงาเป็นประกาย ทว่ากลับอ่อนยิ่งนัก เมื่อทะยานเตรียมพุ่งชน มันจะควบแน่นร่าง จนมีความแข็งและเรียวยาวที่สุดเพิ่มพลังโจมตี
              “เจ้าต้องเสร็จข้าแน่” แฟรี่ในมาดนายพรานเอ่ยปากเบา ๆ 
              มือซ้ายตั้งคันธนูจิ๋วมั่น ข้างขวาที่หนีบสามลูกศรหัวธัญพืชระหว่างซอกนิ้วยกขึ้นมาพาดสายตึง แล้วเหนี่ยวดึงเข้าหาตัว เพื่อจะเล็งยิงเป้าหมาย เนื่องจากกำลังกินซากหนูดิช่าตัวเขื่อง ซึ่งล่าด้วยตนเองอยู่บนก้อนหินริมแหล่งน้ำ มันเป็นสัตว์เล็กที่อาศัยอยู่ตามดินเลน โดยจะยื่นหางยาว ๆ ขึ้นล่อเหยื่อมาจู่โจมด้วยพิษที่เคลือบฟันหน้าเหยิน ๆ 
              “ฟิ้ว!”x3 เกาทัณฑ์ถูกแผลงอย่างเร่งรวด หากว่ามิเฉี่ยวเลยแม้แต่น้อย เพราะเฉซ้าย เอนขวาและดิ่งลงเฉยเลย
              “บ้าเอ้ย! นี่เจ้าคิดจะเก็บข้ารึ?” ทำให้ชายชราซึ่งกำลังซุ้มอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ 
              “มือมันลื่นน่ะ เพื่อนเอ้ย!” ดิวทราหน้าแดงแวบหนึ่ง แล้วจึงก้มหน้ากล่าวคำแก้ตัว 
              “หึ่ง ๆ ๆ ๆ ... ๆ” ขณะที่เป้าหมายรู้สึกตัวซะแล้ว มันเลยแหงนหน้ามามองกิ่งไม้ซึ่งดิวทราสถิตอยู่ ปีกเรียวยาวทั้งสี่กางออกอย่างกะทันหัน ราวกับริบบิ้นยิมนาสติกและกระพือสร้างแรงลม เพื่อลอยตั้งระนาบบินให้ตรงพิกัด ภูตน้อยเลยต้องเสกลูกศรเตรียมรับมือ
              “โครมมม...!!!/ก๊ากกก...!!!” ในจังหวะนี้เอง เสียงอึกทึกจากบริเวณข้างเคียงกลับดังขึ้นมาซะก่อน 
“ฉึก!” เขี้ยวหักซี่หนึ่งได้ลอยละลิ่วกลางเวหา มันบังเอิญลงมาปักกลางลำตัวของด้วงเกราะปีกนิ่มลงบนก้อนหินพอดิบพอดี ส่งผลให้แมลงจอมยั๊วะต้องพบกับจุดจบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่