สารบัญ
https://ppantip.com/topic/39358562
“อา! เหม็นไอเหล้านัก” มีศีรษะเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากเคราที่รกรุงรังและยาวมากจนถึงสะดือ ซึ่งจัดเตรียมให้เป็นรังนกกลาย ๆ ท่ามกลางความมืดสลัว ณ ยามค่ำคืนที่มีเฉพาะแสงไฟในถนนเส้นหลักอันห่างไกลพอสมควร
ขนาดเศียรใหญ่กว่านิ้วโป้งอยู่หน่อย เส้นผมเป็นสีเขียวเข้มจึงเห็นได้ก่อน ตามมาด้วยดวงตาครามคู่หนึ่งและใบหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ผิวขาวโปร่งแสง หูยาว ๆ แบบไฮเอลฟ์ที่ปลายข้างซ้ายแหว่งหาย ทว่ามีห่วงทองคำเจาะเอาไว้แก้ขัด โดยเหลือบมองซ้ายกะแลขวา เพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหรือไม่?
“คร๊อกกก...!!! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” แต่ผู้ชายชราใต้ร่างน้อย ๆ ยังคงนอนกรนอย่างหนักข้าง ๆ ถังขยะอยู่เลย
สถานที่นี้เป็นตรอกแคบ ๆ แนบระหว่างสิ่งปลูกสร้างสูงเท่าตึกสามชั้นสองฟาก ณ ย่านโคมแดงซึ่งมีผับสังสรรค์และร้านร่วมประเวณีกันทั้งแถบ สภาพภายในเกะกะไปด้วยสิ่งของไร้ค่าชิดกำแพงมากมาย เช่น เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ หรือพวกซากเศษเหล็ก
“สหายของข้าเอ๋ย! เจ้านี่ช่างเหลวแหลกจริง ๆ” ภูตตัวจิ๋วหันหลังมามองผู้นิทรารมณ์แบบน่าสมเพศ แล้วก็ต้องส่ายหน้ารอบหนึ่ง เมื่อผุดขึ้นมาทั้งตัวและสยายปีกวิหคออก เพื่อบินเหนือที่มาแค่คืบเดียว จึงสามารถรับทราบว่าเป็นแฟรี่ชายตนหนึ่ง
“นี่รีบเรียกสติคืนสักทีสิ ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว” เขาจึงลอยเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อเตะปลายคางของอีกฝ่ายเต็มข้อ
ร่างเพรียวบางที่สูงแค่ 12 เซนติเมตร ทรงผมยาวตรงซึ่งรวบเอาไว้กลางหลัง ด้วยริบบิ้นผ้าเฉดชมพูหวานผิดแปลกจากสไตล์การแต่งตัวทั้งหมด ซึ่งสวมใส่ชุดทอจากเนื้อเยื่อไม้โทนทึบ ๆ เสื้อคอวีเว้าลึก แขนย้วยและกางเกงขากุด ครั้นใช้รากหนามแทนสันปก ตะเข็บและเข็มขัด เท้าเปลือยเปล่า ทว่าปีกทั้งคู่กลับมีลวดลายกะสีสันแห่งน้ำทะเล
“อา! ดิวทรา ขอข้างีบต่ออีกสักพักน่า ฟู่...!!! ห้ามมารบกวนตอนนี้นะ” ตาเฒ่าผู้นอนหลังอิงฝาของถังขยะได้เหยียดขาทั้งสองข้างจนสุดรีบกล่าวขึ้นทันที ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่ มือขวาว่าจะปัดแทนไม้ตีแมลงวันซะแล้ว แต่ก็ไม่อาจกระทำ เขาเลยเป่าลมออกแรง ๆ แทนซึ่งมีกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งรมใส่อีกฝ่ายเป็นการแก้เผ็ด
“อี๊! มาดิช ปากของเจ้าสะอาดพอ ๆ กับถังขยะเบื้องหลังนี้เลย ข้าแทบจะคลื่นเหียนเชียวล่ะ” หลังจากที่ปลิวห่างออกไประยะสั้น ๆ ดิวทราถึงกับต้องนำมือขวาขึ้นมาบี้จมูก สีหน้าก็แสดงความพะอืดพะอม
มาดิชเป็นชายชราร่างใหญ่ สูง 1.9 เมตรเข้าไปแล้ว ผมเผ้าที่ไว้ทรงเดดล็อกชี้กระจายทั้งหัว คิ้วหนาและเคราแนวเซอร์สุดยอดยาวเฟื้อยเฉกเช่นกัน สีขาวเฉดเดียวกับผิวกายหยาบ ริ้วรอยตามใบหน้าแสดงว่าผ่านพ้นความรันทดมาเยอะแน่ หูใหญ่ ติ่งย้อยยานถึงหัวไหล่ ดวงตาสีดำล้ำลึก เขาแต่งกายด้วยชุดชาวเผ่าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์สูงสุดแห่งทิศเหนือ กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยสักคน นอกจากพวกเดียวกัน คล้าย ๆ นายพรานอยู่บ้าง แต่ใส่เสื้อคลุมขนนกใหญ่ ๆ ทับอีกที
“ชิ! มันคือความผิดพลาดช่วงชีวิต เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าไม่น่าทำสัญญาโลหิตกับเจ้านี่เลย” แฟรี่น้อยได้แต่ทำสีหน้าห่อเหี่ยว คอก็ตกตามไปด้วย จากนั้นจึงร่ายมนตราใส่ตนเองให้ประกายสีเขียวฟุ้งทั่วร่างกาย เพื่อป้องกันกลิ่นโสโครกติดตัว
“หืม! แย่แล้ว” แต่อยู่ ๆ ดิวทราก็เร่งบินกลับเข้าไปซ่อนในเคราขาวอย่างกะทันหัน
“โอ้! พลังแปลกประหลาดแบบนี้ เจ้าเองรึเนี่ย?” มาดิชเองก็ต้องลืมตาอย่างช่วยไม่ได้ โดยเปล่งพลังเวทย์ออกมาทางเนตรเป็นลำแสงสีน้ำตาล ณ ท่วงท่าเดิม สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นคนละเรื่องทีเดียว
“... ท่านมาดิช! เพราะอะไรกัน?” ตรงหัวมุมเบื้องขวาของเขาซึ่งเป็นซอยแยกพลันปรากฏสำเนียงไถ่ถามขึ้น มันเปล่งจากเงาร่างหนึ่งที่กำลังยืนหลบอยู่หลังกำแพง
“ฮา ๆ ไม่พานพบกันมา 10 กว่าปีแล้ว นี่เป็นคำถามแรกที่เจ้าเอ่ยถึงงั้นหรือ? จิตใจช่างจืดจางยิ่งนัก” มาดิชเลยต้องหัวเราะประชด เพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ ส่วนดิวทราซึ่งกำลังหลบภัยอยู่ได้เอาฝ่ามือขวาอังใบหู เพื่อรับฟังทุกรายละเอียด
“พอเถอะ! นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ทำไมท่านถึงต้องปล่อยข่าวเยี่ยงนี้เล่า? ข้าต้องการรู้เพียงเท่านั้น” ร่างเงาจึงกล่าวด้วยเสียงอันเย็นชา มือของเขาบีบสันกำแพง ส่งผลให้ส่วนที่โดนแหลกเป็นฝุ่นผง
“เรื่องนั้นน่ะ ในเมื่อก็รู้ดีอยู่แล้ว ยังจะมาไต่ถามอันใดอีก ความคิดของข้า มันเป็นเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ ทว่าเจ้าสิ ที่ไม่เหมือนแต่เก่าก่อน อา! ช่างน่าสงสารฟาลารี่จริง ๆ” มาดิชเอ่ยปากพูดอย่างเศร้า ๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างเศร้าโศก โดยเฉพาะสายตา
“อย่าเอ่ยถึงมารดาของข้านะ ท่านจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว” ทำให้สุ่มเสียงของร่างเงาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารในทันใด
ห้าวงเวทย์โบราณเลยได้ปรากฏขึ้นภายในตรอกน้อย แสงสีเงินสาดส่องให้เด่นชัด ท่ามกลางความมืด โดยสองอันประกบคู่ชายชราอยู่สักช่วง กึ่งกลางถนนแคบ ๆ ทางเข้ากะออก เพื่อปิดเส้นทางหลบหนี อีกหนึ่งที่หัวมุมหน้าซอยแยก เมื่อเยื้องขึ้นไปประมาณ 5 เมตร ขวามือมีตรงกำแพงด้านข้าง ฝั่งตรงข้ามเลื่อนลงมาหน่อยก็กำเนิดตามมาด้วย
“กี๊...!!!”x5 สิ่งที่อัญเชิญออกมาเป็นก้อนเมือกเหลวสีดำ คล้ายบิ๊กสไลม์ แต่โหดเหี้ยมกว่ามาก
รูปลักษณ์ใหญ่สักสองเมตร เนตรดวงเดียวโต ๆ ลืมแนวตั้งฉากกับลำตัว นัยน์ตาสีแดงเป็นประกาย ขอบมีเขี้ยวโง้งรายล้อมซึ่งยาวโค้งราว 4 ฟุต รยางค์มากสายยื่นออกมาเต็มไปหมด ขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่และยาวมาก ส่วนปลายมีนิ้วสั้น ๆ ปานมือจับ ณ ขณะนี้ได้จิกรั้งผิวสัมผัสสุดกำลัง เพราะเตรียมจะบุกเข้าขย้ำเหยื่อ
“เฮ้อออ...!!! เจ้ากล้าแข็งแล้วนะเนี่ย ถึงได้ชดเชยบุญคุณกับข้าเยี่ยงนี้” มาดิชต้องถอนหายใจยาว ๆ หางตาเหล่มองดูตำแหน่งที่ซ่อนกายของคู่กรณี แล้วเขาก็ควักแส้อ่อนซึ่งสร้างด้วยใยทองเหลืองสานถักออกมาจากข้างเอวซ้าย เพื่อต่อสู้กันสักตั้ง สองขาจัดท่วงท่าให้นอนไขว่ห้าง
“กี๊...!!!”x4 ทำให้อสูรร้ายสี่ตนพุ่งเข้ามาใส่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง อีกตัวที่หน้าหัวมุมยังนิ่งเฉยอยู่ เพราะปกปักความปลอดภัยของผู้ร่ายคาถา
แส้อ่อนของมาดิชควงให้หมุนหลายวงเหนือศีรษะด้วยความเร็วสูง เพื่อไปฟาดคู่ถังขยะเหล็กซึ่งมีสูงประมาณ 1 เมตรและกำลังใช้เอนหลังอยู่ จนกระดอนขึ้นฟ้า แผ่นหลังเลยราบกับพื้นแล้ว โดยควบคุมให้ปลายอาวุธเข้าคว้าจับใบหนึ่ง กะเหวี่ยงใส่เจ้าอสูรร้ายทางขวามือ แล้วก็ตวัดกลับหาวัตถุบินได้อันที่สองอย่างต่อเนื่อง ขณะกำลังลอยกระเท่เร่ เมื่อโดนเฆี่ยนตรงฐานคราหนึ่ง มันจึงพุ่งเป็นเกลียวสู่เบื้องบนทันที
“กี๊...!!!” เจ้าอสูรทางขวามือซึ่งกำลังกระโจนเข้ามาถูกถังใบแรกปะทะชนอย่างจัง ณ กลางอากาศ ขยะทั้งเปียกและแห้งที่อยู่ภายในเลยทะลักเรี่ยราดตามลำดับ
มันเลยต้องกระเด็นถอยไปช่วงหนึ่งทีเดียว กว่าจะตกลงซึ่งพยายามใช้มากรยางค์ครูดพื้น เพื่อฝืนแรงส่งตัวเอาไว้ ส่วนเป้าหมายอีกตนได้หลบเลี่ยงการโจมตีด้วยถังเหล็กที่เร่งหมุนคว้างพ้น เมื่อลำแขนยาว ๆ หลายสายแกว่งไกวไปโดนกำแพงแรง ๆ ส่งผลให้เปลี่ยนแนวตกแบบทันควัน
ครั้นมาดิชเด้งร่างขึ้นมากลางหาวแล้ว โดยใช้มือขวาตบพื้นเบื้องล่างเต็มกำลัง แล้วจัดให้นอนหนุนแขนเพิ่มจากท่าเดิม แส้อ่อนเร่งหวดออกไปทางซ้ายใส่เจ้าอสูรร้าย ณ ทิศทางนั้น ซึ่งมันได้วิ่งเลียบพื้นด้วยความมุทะลุดุดัน เขี้ยวโง้งกางสุดประดุจกระดูกซี่โครงเปิดอ้าและกำลังจะเข้าประชิดตัวอยู่แล้ว พอถูกปะทะถูกด้านข้าง มันพลันโดนดีดมาติดกำแพงอย่างรุนแรง ทั้งยังรัดพันทั่วร่างต่ออีก
“เจ้าคงจะเปลี่ยวเหงา เดี๋ยวข้าจะพาไปหาเพื่อนให้นะ ฮา ๆ” จากนั้นเขาจึงเร่งตวัดร่างอสูรขึ้นสู่เบื้องบนในแนวเฉียง ๆ เพื่อให้สกัดกั้นตนที่หลบหลีกถังขยะลงมาได้ เมื่อประสานงาเต็มรักแล้ว พวกมันก็เด้งทางทิศตรงกันข้าม โดยชนกำแพงคนละฝั่ง ก่อนจะไถลและถูกดันกลับสู่พื้นถนน
“กี๊...!!!” ตอนนี้จึงมีแต่อสูรร้ายด้านบนอีกตัวที่ฝ่าการป้องกันของมาดิชเข้ามาได้ มันพุ่งลงมาแบบซิกแซกโดยปะทะกำแพงซ้ายขวาตามรายทาง รยางค์แขนทุกเส้นทั่วร่างได้ม้วนเข้าตะครุบเป้าหมายกลางเวหา ขณะที่เขามิได้มีมาตรการรับมืออะไรเลย
“เมล็ดพันธุ์ที่ข้าเฝ้าฟูมฟักเอ้ย! จงเติบโตเป็นแมกไม้ใหญ่ด้วยเถิด” ถึงคราวที่ดิวทราต้องออกโรงแล้ว เขาผุดร่างท่อนบนออกมาจากเคราขาว เพื่อยิงเกาทัณฑ์จิ๋วเข้าใส่อีกฝ่ายในบัดดล
เมื่อต้นกล้าอ่อนงอกเงยจากเมล็ดพืชซึ่งเป็นหัวลูกศร โดยมีไอมนตราสีเขียวเรืองรองคลุมครอบอยู่ มันเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รากแก้วก็ขยายชอนไชลงพื้น จนแตกระแหงไปทั่ว ยอดไม้จึงมากสาขาและสุดสูงชันอย่างเร่งรวด ณ เบื้องหน้าของดวงตาขนาดใหญ่นั่นเอง กิ่งก้านเลยแทงทะลุร่าง พร้อมทั้งถูกดันพรวดสู่เบื้องบนทันที
“ฮา ๆ ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าก็คิดให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ว่าจะเลือกอยู่ข้างไหนกันแน่?” มาดิชจึงตะโกนลั่น โดยส่งข้อความไปที่ตำแหน่งหัวมุมซึ่งมีอสูรร้ายยืนอารักขาอยู่ พร้อมกับเอื้อมมือที่เคยหนุนศีรษะไปคว้าลำต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเจริญเติบโตมิหยุด เพื่อเกาะยึดตามขึ้นไปด้วย
“แต่ต้องจำเอาไว้ อย่าได้เสียใจภายหลังโดยเด็ดขาด” เฒ่าชราเลยกล่าวทิ้งท้ายอย่างเคร่งขรึม ขณะที่ระยะจากพื้นยิ่งห่างออกเรื่อย ๆ
“ท่านมาดิชยังสะเพร่าอยู่เช่นเดิม งั้นก็จงเผชิญกับคราวเคราะห์ไปซะเถอะ” แต่กลับปรากฏชายร่างสูงซึ่งสวมหน้ากากคนหนึ่งขึ้นมาขวางทางสู่เบื้องบนซะก่อน เขากระโดดดิ่งลงมาจากดาดฟ้าฝั่งขวามือ
เสื้อกาวน์สีขาวโบกสะบัดตามสายลมแรง แขนทั้งสองข้างชูขึ้นฟ้า พลังงานสีเงินดั่งปรอทก่อกำเนิดระหว่างกึ่งกลาง โดยผนึกเป็นทรงกลมเกลี้ยงขนาดสามเมตร แล้วจึงทุ่มใส่ผู้กำลังขึ้นอย่างมั่นใจ ครั้นต้นไม้ใหญ่ก็คับซอยและดันสิ่งก่อสร้างขนาบข้างให้เสียหาย ทั้งยังสูงตะหง่านมิเลิก จนโดดเด่นเหนือทุกสถานที่ในย่านโคมแดง
“ฮึ่ม! ยังไม่เคี่ยวพอนะ แล้วโรคระวังตัวเกินไปก็ยังไม่แก้ไขอีกรึ? น่าขายหน้าอาจารย์อย่างข้าจริง ๆ” มาดิชซึ่งแหงนหน้ามามองเหตุร้ายแล้ว ทว่าเขากลับเอ่ยปากอย่างเหนือกว่า มือขวาที่เกาะอยู่ตรงลำต้นไม้ได้เรืองแสงสีน้ำตาลขึ้นอย่างฉับไว
“อั่ก!” ณ ด้านข้างของชายสวมหน้ากาก ลำต้นไม้ในระดับเดียวกันได้แปรสภาพเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ยื่นออกมา โดยพุ่งเข้าจู่โจมทีเผลอ อีกฝ่ายเลยถูกกระแทกช่วงเอวเต็ม ๆ ให้กระเด็นโค้งลงไปเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว
“ก๊ากกก...!!!” ส่วนพลังงานสีเงินลูกใหญ่ ๆ ที่กำลังจะเข้าปะทะร่างของมาดิชนั้น มันได้ถูกเศียรกิ้งก่ายักษ์ขนาดมหึมาเขมือบลงท้องไปในชั่วอึดใจ ครั้นแหวกทะลุลำต้นไม้สู่โลกภายนอก
“รีบกระโดดขึ้นมาเดี๋ยวนี้/กี๊...!!!” ส่วนอสูรร้ายรายสุดท้ายที่ภาคพื้น มันจึงมิรอช้าเร่งพุ่งร่างสู่กลางอากาศ เพื่อเป็นฐานเหยียบของเจ้านายตามคำสั่ง
“อูปา! รีบไปกันเถอะ” พอสัตว์อัญเชิญออกมาหมดทั้งตัวแล้ว เฒ่ามาดิชจึงยื่นมือคว้าที่ยึดตรงอานอย่างชำนาญ เพื่อเกาะหลังของสัตว์เลื้อยคลาน
นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 2 ตรอกน้อยย่านนางโลม] ปรับปรุง
“อา! เหม็นไอเหล้านัก” มีศีรษะเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากเคราที่รกรุงรังและยาวมากจนถึงสะดือ ซึ่งจัดเตรียมให้เป็นรังนกกลาย ๆ ท่ามกลางความมืดสลัว ณ ยามค่ำคืนที่มีเฉพาะแสงไฟในถนนเส้นหลักอันห่างไกลพอสมควร
ขนาดเศียรใหญ่กว่านิ้วโป้งอยู่หน่อย เส้นผมเป็นสีเขียวเข้มจึงเห็นได้ก่อน ตามมาด้วยดวงตาครามคู่หนึ่งและใบหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ผิวขาวโปร่งแสง หูยาว ๆ แบบไฮเอลฟ์ที่ปลายข้างซ้ายแหว่งหาย ทว่ามีห่วงทองคำเจาะเอาไว้แก้ขัด โดยเหลือบมองซ้ายกะแลขวา เพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหรือไม่?
“คร๊อกกก...!!! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” แต่ผู้ชายชราใต้ร่างน้อย ๆ ยังคงนอนกรนอย่างหนักข้าง ๆ ถังขยะอยู่เลย
สถานที่นี้เป็นตรอกแคบ ๆ แนบระหว่างสิ่งปลูกสร้างสูงเท่าตึกสามชั้นสองฟาก ณ ย่านโคมแดงซึ่งมีผับสังสรรค์และร้านร่วมประเวณีกันทั้งแถบ สภาพภายในเกะกะไปด้วยสิ่งของไร้ค่าชิดกำแพงมากมาย เช่น เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ หรือพวกซากเศษเหล็ก
“สหายของข้าเอ๋ย! เจ้านี่ช่างเหลวแหลกจริง ๆ” ภูตตัวจิ๋วหันหลังมามองผู้นิทรารมณ์แบบน่าสมเพศ แล้วก็ต้องส่ายหน้ารอบหนึ่ง เมื่อผุดขึ้นมาทั้งตัวและสยายปีกวิหคออก เพื่อบินเหนือที่มาแค่คืบเดียว จึงสามารถรับทราบว่าเป็นแฟรี่ชายตนหนึ่ง
“นี่รีบเรียกสติคืนสักทีสิ ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว” เขาจึงลอยเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อเตะปลายคางของอีกฝ่ายเต็มข้อ
ร่างเพรียวบางที่สูงแค่ 12 เซนติเมตร ทรงผมยาวตรงซึ่งรวบเอาไว้กลางหลัง ด้วยริบบิ้นผ้าเฉดชมพูหวานผิดแปลกจากสไตล์การแต่งตัวทั้งหมด ซึ่งสวมใส่ชุดทอจากเนื้อเยื่อไม้โทนทึบ ๆ เสื้อคอวีเว้าลึก แขนย้วยและกางเกงขากุด ครั้นใช้รากหนามแทนสันปก ตะเข็บและเข็มขัด เท้าเปลือยเปล่า ทว่าปีกทั้งคู่กลับมีลวดลายกะสีสันแห่งน้ำทะเล
“อา! ดิวทรา ขอข้างีบต่ออีกสักพักน่า ฟู่...!!! ห้ามมารบกวนตอนนี้นะ” ตาเฒ่าผู้นอนหลังอิงฝาของถังขยะได้เหยียดขาทั้งสองข้างจนสุดรีบกล่าวขึ้นทันที ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่ มือขวาว่าจะปัดแทนไม้ตีแมลงวันซะแล้ว แต่ก็ไม่อาจกระทำ เขาเลยเป่าลมออกแรง ๆ แทนซึ่งมีกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งรมใส่อีกฝ่ายเป็นการแก้เผ็ด
“อี๊! มาดิช ปากของเจ้าสะอาดพอ ๆ กับถังขยะเบื้องหลังนี้เลย ข้าแทบจะคลื่นเหียนเชียวล่ะ” หลังจากที่ปลิวห่างออกไประยะสั้น ๆ ดิวทราถึงกับต้องนำมือขวาขึ้นมาบี้จมูก สีหน้าก็แสดงความพะอืดพะอม
มาดิชเป็นชายชราร่างใหญ่ สูง 1.9 เมตรเข้าไปแล้ว ผมเผ้าที่ไว้ทรงเดดล็อกชี้กระจายทั้งหัว คิ้วหนาและเคราแนวเซอร์สุดยอดยาวเฟื้อยเฉกเช่นกัน สีขาวเฉดเดียวกับผิวกายหยาบ ริ้วรอยตามใบหน้าแสดงว่าผ่านพ้นความรันทดมาเยอะแน่ หูใหญ่ ติ่งย้อยยานถึงหัวไหล่ ดวงตาสีดำล้ำลึก เขาแต่งกายด้วยชุดชาวเผ่าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์สูงสุดแห่งทิศเหนือ กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยสักคน นอกจากพวกเดียวกัน คล้าย ๆ นายพรานอยู่บ้าง แต่ใส่เสื้อคลุมขนนกใหญ่ ๆ ทับอีกที
“ชิ! มันคือความผิดพลาดช่วงชีวิต เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าไม่น่าทำสัญญาโลหิตกับเจ้านี่เลย” แฟรี่น้อยได้แต่ทำสีหน้าห่อเหี่ยว คอก็ตกตามไปด้วย จากนั้นจึงร่ายมนตราใส่ตนเองให้ประกายสีเขียวฟุ้งทั่วร่างกาย เพื่อป้องกันกลิ่นโสโครกติดตัว
“หืม! แย่แล้ว” แต่อยู่ ๆ ดิวทราก็เร่งบินกลับเข้าไปซ่อนในเคราขาวอย่างกะทันหัน
“โอ้! พลังแปลกประหลาดแบบนี้ เจ้าเองรึเนี่ย?” มาดิชเองก็ต้องลืมตาอย่างช่วยไม่ได้ โดยเปล่งพลังเวทย์ออกมาทางเนตรเป็นลำแสงสีน้ำตาล ณ ท่วงท่าเดิม สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นคนละเรื่องทีเดียว
“... ท่านมาดิช! เพราะอะไรกัน?” ตรงหัวมุมเบื้องขวาของเขาซึ่งเป็นซอยแยกพลันปรากฏสำเนียงไถ่ถามขึ้น มันเปล่งจากเงาร่างหนึ่งที่กำลังยืนหลบอยู่หลังกำแพง
“ฮา ๆ ไม่พานพบกันมา 10 กว่าปีแล้ว นี่เป็นคำถามแรกที่เจ้าเอ่ยถึงงั้นหรือ? จิตใจช่างจืดจางยิ่งนัก” มาดิชเลยต้องหัวเราะประชด เพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ ส่วนดิวทราซึ่งกำลังหลบภัยอยู่ได้เอาฝ่ามือขวาอังใบหู เพื่อรับฟังทุกรายละเอียด
“พอเถอะ! นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ทำไมท่านถึงต้องปล่อยข่าวเยี่ยงนี้เล่า? ข้าต้องการรู้เพียงเท่านั้น” ร่างเงาจึงกล่าวด้วยเสียงอันเย็นชา มือของเขาบีบสันกำแพง ส่งผลให้ส่วนที่โดนแหลกเป็นฝุ่นผง
“เรื่องนั้นน่ะ ในเมื่อก็รู้ดีอยู่แล้ว ยังจะมาไต่ถามอันใดอีก ความคิดของข้า มันเป็นเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ ทว่าเจ้าสิ ที่ไม่เหมือนแต่เก่าก่อน อา! ช่างน่าสงสารฟาลารี่จริง ๆ” มาดิชเอ่ยปากพูดอย่างเศร้า ๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างเศร้าโศก โดยเฉพาะสายตา
“อย่าเอ่ยถึงมารดาของข้านะ ท่านจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว” ทำให้สุ่มเสียงของร่างเงาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารในทันใด
ห้าวงเวทย์โบราณเลยได้ปรากฏขึ้นภายในตรอกน้อย แสงสีเงินสาดส่องให้เด่นชัด ท่ามกลางความมืด โดยสองอันประกบคู่ชายชราอยู่สักช่วง กึ่งกลางถนนแคบ ๆ ทางเข้ากะออก เพื่อปิดเส้นทางหลบหนี อีกหนึ่งที่หัวมุมหน้าซอยแยก เมื่อเยื้องขึ้นไปประมาณ 5 เมตร ขวามือมีตรงกำแพงด้านข้าง ฝั่งตรงข้ามเลื่อนลงมาหน่อยก็กำเนิดตามมาด้วย
“กี๊...!!!”x5 สิ่งที่อัญเชิญออกมาเป็นก้อนเมือกเหลวสีดำ คล้ายบิ๊กสไลม์ แต่โหดเหี้ยมกว่ามาก
รูปลักษณ์ใหญ่สักสองเมตร เนตรดวงเดียวโต ๆ ลืมแนวตั้งฉากกับลำตัว นัยน์ตาสีแดงเป็นประกาย ขอบมีเขี้ยวโง้งรายล้อมซึ่งยาวโค้งราว 4 ฟุต รยางค์มากสายยื่นออกมาเต็มไปหมด ขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่และยาวมาก ส่วนปลายมีนิ้วสั้น ๆ ปานมือจับ ณ ขณะนี้ได้จิกรั้งผิวสัมผัสสุดกำลัง เพราะเตรียมจะบุกเข้าขย้ำเหยื่อ
“เฮ้อออ...!!! เจ้ากล้าแข็งแล้วนะเนี่ย ถึงได้ชดเชยบุญคุณกับข้าเยี่ยงนี้” มาดิชต้องถอนหายใจยาว ๆ หางตาเหล่มองดูตำแหน่งที่ซ่อนกายของคู่กรณี แล้วเขาก็ควักแส้อ่อนซึ่งสร้างด้วยใยทองเหลืองสานถักออกมาจากข้างเอวซ้าย เพื่อต่อสู้กันสักตั้ง สองขาจัดท่วงท่าให้นอนไขว่ห้าง
“กี๊...!!!”x4 ทำให้อสูรร้ายสี่ตนพุ่งเข้ามาใส่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง อีกตัวที่หน้าหัวมุมยังนิ่งเฉยอยู่ เพราะปกปักความปลอดภัยของผู้ร่ายคาถา
แส้อ่อนของมาดิชควงให้หมุนหลายวงเหนือศีรษะด้วยความเร็วสูง เพื่อไปฟาดคู่ถังขยะเหล็กซึ่งมีสูงประมาณ 1 เมตรและกำลังใช้เอนหลังอยู่ จนกระดอนขึ้นฟ้า แผ่นหลังเลยราบกับพื้นแล้ว โดยควบคุมให้ปลายอาวุธเข้าคว้าจับใบหนึ่ง กะเหวี่ยงใส่เจ้าอสูรร้ายทางขวามือ แล้วก็ตวัดกลับหาวัตถุบินได้อันที่สองอย่างต่อเนื่อง ขณะกำลังลอยกระเท่เร่ เมื่อโดนเฆี่ยนตรงฐานคราหนึ่ง มันจึงพุ่งเป็นเกลียวสู่เบื้องบนทันที
“กี๊...!!!” เจ้าอสูรทางขวามือซึ่งกำลังกระโจนเข้ามาถูกถังใบแรกปะทะชนอย่างจัง ณ กลางอากาศ ขยะทั้งเปียกและแห้งที่อยู่ภายในเลยทะลักเรี่ยราดตามลำดับ
มันเลยต้องกระเด็นถอยไปช่วงหนึ่งทีเดียว กว่าจะตกลงซึ่งพยายามใช้มากรยางค์ครูดพื้น เพื่อฝืนแรงส่งตัวเอาไว้ ส่วนเป้าหมายอีกตนได้หลบเลี่ยงการโจมตีด้วยถังเหล็กที่เร่งหมุนคว้างพ้น เมื่อลำแขนยาว ๆ หลายสายแกว่งไกวไปโดนกำแพงแรง ๆ ส่งผลให้เปลี่ยนแนวตกแบบทันควัน
ครั้นมาดิชเด้งร่างขึ้นมากลางหาวแล้ว โดยใช้มือขวาตบพื้นเบื้องล่างเต็มกำลัง แล้วจัดให้นอนหนุนแขนเพิ่มจากท่าเดิม แส้อ่อนเร่งหวดออกไปทางซ้ายใส่เจ้าอสูรร้าย ณ ทิศทางนั้น ซึ่งมันได้วิ่งเลียบพื้นด้วยความมุทะลุดุดัน เขี้ยวโง้งกางสุดประดุจกระดูกซี่โครงเปิดอ้าและกำลังจะเข้าประชิดตัวอยู่แล้ว พอถูกปะทะถูกด้านข้าง มันพลันโดนดีดมาติดกำแพงอย่างรุนแรง ทั้งยังรัดพันทั่วร่างต่ออีก
“เจ้าคงจะเปลี่ยวเหงา เดี๋ยวข้าจะพาไปหาเพื่อนให้นะ ฮา ๆ” จากนั้นเขาจึงเร่งตวัดร่างอสูรขึ้นสู่เบื้องบนในแนวเฉียง ๆ เพื่อให้สกัดกั้นตนที่หลบหลีกถังขยะลงมาได้ เมื่อประสานงาเต็มรักแล้ว พวกมันก็เด้งทางทิศตรงกันข้าม โดยชนกำแพงคนละฝั่ง ก่อนจะไถลและถูกดันกลับสู่พื้นถนน
“กี๊...!!!” ตอนนี้จึงมีแต่อสูรร้ายด้านบนอีกตัวที่ฝ่าการป้องกันของมาดิชเข้ามาได้ มันพุ่งลงมาแบบซิกแซกโดยปะทะกำแพงซ้ายขวาตามรายทาง รยางค์แขนทุกเส้นทั่วร่างได้ม้วนเข้าตะครุบเป้าหมายกลางเวหา ขณะที่เขามิได้มีมาตรการรับมืออะไรเลย
“เมล็ดพันธุ์ที่ข้าเฝ้าฟูมฟักเอ้ย! จงเติบโตเป็นแมกไม้ใหญ่ด้วยเถิด” ถึงคราวที่ดิวทราต้องออกโรงแล้ว เขาผุดร่างท่อนบนออกมาจากเคราขาว เพื่อยิงเกาทัณฑ์จิ๋วเข้าใส่อีกฝ่ายในบัดดล
เมื่อต้นกล้าอ่อนงอกเงยจากเมล็ดพืชซึ่งเป็นหัวลูกศร โดยมีไอมนตราสีเขียวเรืองรองคลุมครอบอยู่ มันเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รากแก้วก็ขยายชอนไชลงพื้น จนแตกระแหงไปทั่ว ยอดไม้จึงมากสาขาและสุดสูงชันอย่างเร่งรวด ณ เบื้องหน้าของดวงตาขนาดใหญ่นั่นเอง กิ่งก้านเลยแทงทะลุร่าง พร้อมทั้งถูกดันพรวดสู่เบื้องบนทันที
“ฮา ๆ ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าก็คิดให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ว่าจะเลือกอยู่ข้างไหนกันแน่?” มาดิชจึงตะโกนลั่น โดยส่งข้อความไปที่ตำแหน่งหัวมุมซึ่งมีอสูรร้ายยืนอารักขาอยู่ พร้อมกับเอื้อมมือที่เคยหนุนศีรษะไปคว้าลำต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเจริญเติบโตมิหยุด เพื่อเกาะยึดตามขึ้นไปด้วย
“แต่ต้องจำเอาไว้ อย่าได้เสียใจภายหลังโดยเด็ดขาด” เฒ่าชราเลยกล่าวทิ้งท้ายอย่างเคร่งขรึม ขณะที่ระยะจากพื้นยิ่งห่างออกเรื่อย ๆ
“ท่านมาดิชยังสะเพร่าอยู่เช่นเดิม งั้นก็จงเผชิญกับคราวเคราะห์ไปซะเถอะ” แต่กลับปรากฏชายร่างสูงซึ่งสวมหน้ากากคนหนึ่งขึ้นมาขวางทางสู่เบื้องบนซะก่อน เขากระโดดดิ่งลงมาจากดาดฟ้าฝั่งขวามือ
เสื้อกาวน์สีขาวโบกสะบัดตามสายลมแรง แขนทั้งสองข้างชูขึ้นฟ้า พลังงานสีเงินดั่งปรอทก่อกำเนิดระหว่างกึ่งกลาง โดยผนึกเป็นทรงกลมเกลี้ยงขนาดสามเมตร แล้วจึงทุ่มใส่ผู้กำลังขึ้นอย่างมั่นใจ ครั้นต้นไม้ใหญ่ก็คับซอยและดันสิ่งก่อสร้างขนาบข้างให้เสียหาย ทั้งยังสูงตะหง่านมิเลิก จนโดดเด่นเหนือทุกสถานที่ในย่านโคมแดง
“ฮึ่ม! ยังไม่เคี่ยวพอนะ แล้วโรคระวังตัวเกินไปก็ยังไม่แก้ไขอีกรึ? น่าขายหน้าอาจารย์อย่างข้าจริง ๆ” มาดิชซึ่งแหงนหน้ามามองเหตุร้ายแล้ว ทว่าเขากลับเอ่ยปากอย่างเหนือกว่า มือขวาที่เกาะอยู่ตรงลำต้นไม้ได้เรืองแสงสีน้ำตาลขึ้นอย่างฉับไว
“อั่ก!” ณ ด้านข้างของชายสวมหน้ากาก ลำต้นไม้ในระดับเดียวกันได้แปรสภาพเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ยื่นออกมา โดยพุ่งเข้าจู่โจมทีเผลอ อีกฝ่ายเลยถูกกระแทกช่วงเอวเต็ม ๆ ให้กระเด็นโค้งลงไปเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว
“ก๊ากกก...!!!” ส่วนพลังงานสีเงินลูกใหญ่ ๆ ที่กำลังจะเข้าปะทะร่างของมาดิชนั้น มันได้ถูกเศียรกิ้งก่ายักษ์ขนาดมหึมาเขมือบลงท้องไปในชั่วอึดใจ ครั้นแหวกทะลุลำต้นไม้สู่โลกภายนอก
“รีบกระโดดขึ้นมาเดี๋ยวนี้/กี๊...!!!” ส่วนอสูรร้ายรายสุดท้ายที่ภาคพื้น มันจึงมิรอช้าเร่งพุ่งร่างสู่กลางอากาศ เพื่อเป็นฐานเหยียบของเจ้านายตามคำสั่ง
“อูปา! รีบไปกันเถอะ” พอสัตว์อัญเชิญออกมาหมดทั้งตัวแล้ว เฒ่ามาดิชจึงยื่นมือคว้าที่ยึดตรงอานอย่างชำนาญ เพื่อเกาะหลังของสัตว์เลื้อยคลาน