ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/33935555
ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/33943570
ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/34053681
ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/34069264
ตอนที่ 5 การปรากฏตัวของสตรีลึกลับ
แอนนา
อสูรร้ายถูกสังหารไปหนึ่ง แต่ยังคงเหลืออีกสองตัวที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับเหล่าทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย เคียลูสตวัดดาบสีนิลเข้าใส่อสูรร้ายสลับกับเรนที่อยู่คุมเชิง พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าหาอสูรร้าย แต่แม้ทั้งสองจะรุมเข้าไปพร้อมกัน หรือเปลี่ยนสลับกันไปมาก็ไม่อาจทำอะไรมันได้เลย อสูรร้ายส่งเสียงกู่ร้องก้องเพื่อข่มขวัญศัตรู มือใหญ่เล็บแหลมคมของมันไล่กวาดปัด จ้วงทิ่มแทงใส่เรนและเคียลูสอย่างบ้าคลั่ง
แต่ทั้งสองก็หลบหลีกได้ทัน ช่วงเวลาแห่งการหลบหลีกเคียลูสกระโดดข้ามมือใหญ่นั่น แล้วพลิกกายหมุนกลับมาตวัดดาบสีนิลฟันฉับไปที่แขนของมัน ด้วยแรงผลักในการหมุนตัวที่รวดเร็วว่องไวบวกกับความคมกริบแข็งแกร่งของดาบสีนิลก็ทำให้สามารถตัดแขนอสูรร้ายขาดไปข้างหนึ่ง เลือดสีแดงเข้มของมันไหลพวยพุ่งออกมาจากข้อต่อที่ถูกตัดขาด มันกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแววตาเดือดดาลโกรธแค้น
อสูรร้ายโก่งตัวงอคอดร่างลง กายมันก็แปรเปลี่ยน กระดูกสีดำแหลมคมผุดขึ้นมากลางหลังลากยาวเป็นเส้นไล่ไปจนถึงเอว เกิดเสียงฮึกฮัดในลำคอของมันสามครั้งติดกันก่อนที่ลูกไฟสีแดงจะพุ่งทะยานออกจากปากมัน มุ่งใส่ศัตรูที่มันหมายปองชีวิต
เคียลูสวิ่งหลบหลีกลูกไฟนั่นด้วยความตื่นตกใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอสูรร้ายนี้จะมีอาวุธที่ตนคาดไม่ถึง และเป็นอาวุธที่ตนไม่อาจจะรับมือได้ทัน ลูกไฟหลายลูกเล็งใส่เป้าหมายไม่ลดละ เคียลูสวิ่งหลบหลังต้นไม้ แต่ลูกไฟนั่นก็ตามมาเผาต้นไม้จนไหม้วอด เศษกิ่งไม้ที่ติดไฟกระเด็นใส่เสื้อเคียลูสจนทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ที่เสื้อของเขา เคียลูสพยายามถอดเสื้อนอกออกแต่ก็ช้าไม่ทันใจ เขาจึงล้มตัวลงเกลือกกลิ้งร่างกับพื้นดินเพื่อเป็นการดับไฟ
อสูรร้ายสบโอกาสพุ่งกายใหญ่ทะยานเข้าหาเป้าหมายเพื่อปลิดชีพผู้ที่ตัดแขนของตนให้ตายคามือ เรน เซียมิเคน วิ่งตามหลังอสูรร้ายเพื่อสกัดกั้นไม่ให้มันถึงตัวเคียลูส
เรนซัดมีดสั้นหลายเล่มดุจพายุฝนแหวกผ่านม่านอากาศพุ่งทะยานใส่กลางลำตัวมัน แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นมันไว้ได้ เซียมิเคนดีดตัวกระโดดขึ้นสูงปักดาบเสียบเข้ากลางหลังมัน ดาบฝังลึกแน่นในผิวกายของมัน เซียมิเคนจับด้ามดาบห้อยค้างอยู่กลางอากาศ ร่างกายกระจิริดของเทพจิ๋วสะบัดตามแรงเดินของอสูรร้ายที่ย่างก้าวเข้าหาคนที่ตัดแขนมัน เคียลูสตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไฟที่ไหม้เสื้อลวกเลียผิวเนื้อด้านหลังจนทำให้เกิดแผลเจ็บแสบแก่เขา
เคียลูสออกตัวจะวิ่งหนีสุดชีวิต เพื่อไปให้ไกลจากลูกไฟที่จะเผาไหม้ชีวิตเขาให้มอดดับ แต่สายตาของเขาพลันหันไปเห็น ไคลน์ที่ยังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้อยู่ถัดไปเพียงสามก้าวจากจุดที่เขายืนอยู่ เคียลูสวิ่งตรงไปหาไคลน์แล้วฉุดดึงคอเสื้อของไคลน์ ก่อนออกแรงลากดึงร่างที่สลบอยู่ไปด้วย
“ไอ้เด็กบ้าตื่นซิโว๊ย” เคียลูสทั้งลากร่างของไคลน์และตะโกนปลุกคนหลับ
อสูรร้ายตามมาอย่างกระชั้นชิด มันโก่งร่างงอตัวท่าเตรียมพร้อมที่จะปล่อยลูกไฟที่อยู่ในปากมันใส่ศัตรู ที่อยู่ตรงหน้า ลูกไฟสีแดงพุ่งทะยานมาทางพวกเขาสองคน ขณะนั้นเองที่ไคลน์ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นลูกไฟมุ่งตรงมายังตน
ไคลน์ตื่นตกใจส่งเสียงร้องอ๊าก เป็นเสียงที่ดังก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่า ต้นไม้ทุกต้นสั่นไหวต่อเสียงร้องของเขา แผ่นดินสั่นสะท้านเกิดเป็นลมพายุแรง ลูกไฟเข้ามาใกล้พวกเขาแค่อึดใจเดียว ทันใดนั้นเกราะกำแพงของมวลน้ำมหาศาลที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ก็ขึ้นมาขวางกั้นพวกเขาจากลูกไฟนั่น ลูกไฟชนเข้ากับกำแพงน้ำ น้ำเพียงยุบลงไปตามแรงกระแทก แต่ลูกไฟนั่นก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาทำร้ายพวกเขาสองคนได้ ไม่นานลูกไฟดวงนั่นก็มอดดับลงสูญสลายหายไปในกำแพงน้ำ
เคียลูสและไคลน์เบิกตากว้างมองสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าความตกตะลึง พวกแถบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ กำแพงน้ำสูงเด่นตั้งตระหง่านราวกับถูกเสกด้วยเวทมนต์ เป็นเกราะกั้นพวกเขาจากลูกไฟ
“เจ้าทำอะไร” เคียลูสถามไคลน์ด้วยความสงสัย ทั้งที่รู้อยู่ว่ามนุษย์อย่างไคลน์ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แน่ แต่เขาก็ไม่รู้จะหันไปถามใคร ยืนอยู่กันสองคนจึงเลือกที่จะเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัยแม้จะพอทราบคำตอบจากอีกฝ่าย
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่ได้ทำ” ไคลน์ลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างเคียลูสก่อนจะตอบคำถามนั่น แต่สายตายังคงจับจ้องที่กำแพงน้ำด้วยความชื่นชมอย่างบอกไม่ถูก แต่ทันทีที่เขาพูดจบเกราะกำแพงน้ำนั่นก็พังทลายลง น้ำแตกกระจายลงที่พื้นจนเปียกชุ่มไปทั่ว กระเด็นใส่พวกเขาสองคนจนเปียกปอนเช่นกัน
“เยี่ยม” ไคลน์อุทานออกมา เมื่อตัวของเขาเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า
กำแพงน้ำทลายลง อสูรร้ายย่างสามขุมมาหาพวกเขา มันสะบัดเซียมิเคนที่ห้อยอยู่กลางหลุดร่วงไปกองที่พื้น ใช้มือใหญ่ฟาดใส่เรนกระเด็นไปไกลหลายเมตร ลูกเกาฑัณฑ์ของไฟย่าเล็งมาที่มัน ก็ถูกมันดึงออกจากร่างแล้วซัดกลับไปที่คนยิง เป้าหมายเดียวที่มันต้องการคือคนที่ตัดแขนมัน
อสูรร้ายโก่งร่างงอตัวอีกครั้งเพื่อจะพ่นลูกไฟใส่พวกเขาทั้งสอง แต่ครั้งนี้ไม่มีลูกไฟออกมา มีเพียงลมกลิ่นขี้เถ้าที่ออกมาจากปากมัน การใช้งานอาวุธก็มีขีดจำกัดของมันเอง พลังลูกไฟของมันไม่ตอบสนองอีกต่อไป
เคียลูสกับไคลน์มือกุมดาบไว้มั่น เตรียมพร้อมจู่โจม ตอนนี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้อีก สองคนกับหนึ่งอสูรร้ายมุ่งหน้าถาโถมเข้าฟาดฟันกัน มือข้างหนึ่งของอสูรร้าย เกร็งกรงเล็บแหลมคมตวัดกวาดปราดใส่ตัวไคลน์ ไคลน์ไถลตัวหลบหลีกกลิ้งตัวลอดผ่านหว่างขา อ้อมหลังของมันก่อนจะพลิกตัวกลับหลังแกว่งตวัดดาบฟันฉับไปที่ขาของมันเต็มแรงหนึ่งที
ความเจ็บปวดที่ขาพาให้มันยกเท้าขึ้นเตะเข้ากลางลำตัวไคลน์หนึ่งทีส่งให้ตัวของไคลน์ลอยลิ่วปลิวขึ้นฟ้า แล้วหล่นลงบนต้นไม้ใหญ่ ร่างกายเขาเกาะเกี่ยวพันกิ่งไม้ หลายตลบก่อนจะร่วงหล่นลงบนพื้น
เคียลูสกระโดดดีดตัวลอยขึ้นสูง หมายจะตัดแขนอีกข้างของมัน อสูรร้ายได้จังหวะกวาดปราดกรงเล็บเข้าที่สีข้างของศัตรู เคียลูสร่วงหล่นพื้นพร้อมเลือดสีแดงอาบรอบเอว แผลจากกรงเล็บสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนไม่สามารถพยุงตัวให้ลุกขึ้นได้
อสูรร้ายใช้มือจับบีบคอเขาลอยขึ้นสูง มันกดมือบีบคอเขาแน่นหมายปลิดชีพศัตรู เคียลูสดิ้นทุรนทุราย เพราะเริ่มหายใจไม่ออก ทันใดนั้นเองอาวุธเหล็กแหลมคมรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งตรงออกมาจากดงป่าหนาทึบ มันมุนคว้างกลางอากาศเป็นวงกลมก่อนตัดฉับที่มือของอสูรร้ายขาดหลุดร่วงลงพื้นพร้อมกับร่างของเคียลูส อาวุธรูปพระจันทร์เสี้ยวถูกดึงกลับด้วยโซ่เส้นเล็กที่ผูกไว้กับอาวุธ
อสูรร้ายร้องโหยหวนน่าสยดสยองเวทนา มันมองหันซ้ายหันขวาเพื่อหาคนที่ทำร้ายมัน แต่ก็ไม่พบเป้าหมายนั่น ไม่ทันให้มันได้คิดตั้งตัว อาวุธรูปพระจันทร์เสี้ยวก็ปลิวลอยเคว้งหมุนเกลียวรุนแรงดุดันกลางอากาศ อาวุธนั่นประดุจพายุร้ายที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ เสี้ยวอึดใจอาวุธนั่นก็บั่นคออสูรร้ายเกิดแผลเหวอะหวะน่ากลัว เลือดสีแดงเข้มของมันพุ่งสาดกระเซ็นกระจายออกจากคอ แล้วร่างของมันก็ร่วงหล่นลงไปกองนอนที่พื้นส่งมันกลับบ้านเกิดอย่างสวยงาม
อีกด้านหนึ่งที่ห่างออกไปกำลังต่อกรกับอสูรร้ายอย่างดุเดือด เฟรสตวัดกระบี่คู่เข้าหาอสูรร้าย โดยมี มักเวย์ ยาเอิ้ง และ นอสคอยเสริมทัพอีกแรง คูไซและลูสยืนคุ้มกันเจ้าหญิงทอรีเนีย ถึงแม้เจ้าหญิงจะบอกทั้งสองว่าไม่เป็นไร เราดูแลตัวเองได้ แต่ทั้งสองก็ไม่ถอยห่างจากเจ้าหญิง เจ้าหญิงเพียงยืนจับตาดูสถานการณ์รอคอยจังหวะเข้าไปช่วย
เฟรสดีดตัวพุ่งทะยานขึ้นสูงแกว่งตวัดกระบี่คู่ฉับๆฟันไปที่หน้าท้องของมันจนเกิดเป็นรอยแผลลึกลายตัดขวาง เลือดสีแดงเข้มของมันอาบรดกระบี่ของเขา มันส่งเสียงกู่ร้องก้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด มันจ้องมาที่เขาแววตาโกรธแค้นเดือดดาล
ไม่มีเวลาให้มันได้คิดต่อสู้ มักเวย์ ยาเอิ้งและนอส เทพจิ๋วต่างรวมพลังทะยานดีดตัวลอยลิ่วขึ้นฟ้า แล้วดิ่งตัวมาด้วยความเร็วดุจเกลียวคลื่นพายุ ดาบสามเล่มในมือทั้งสามเล็งใส่เป้าหมาย ในเวลาเดียวกันนั่นอสูรร้ายเองก็เงยมองท้องฟ้า เกลียวคลื่นพายุดาบสามเล่มพุ่งมาที่มัน
มันดีดตัวหลบหนี แต่ช้าไปดาบสองเล่มของมักเวย์และยาเอิ้งปักทิ่มแทงลงที่ไหล่ซ้ายขวาของมันคนละข้าง ดาบของนอสแทงทะลุคอหอยของมัน เสียงร้องโหยหวน อย่างเจ็บปวดดังสะท้านป่าก่อนที่ร่างของมันจะล้มตึงลงไปกองพื้น ลมหายใจขาดหายไปในทันที
ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปรกติ อสูรร้ายถูกจัดการสิ้นซาก พวกไพรทั่มหายไปหมดเกลี้ยง ทุคนต่างสะบักสะบอมหมดเรี่ยวแรง เต็มที่ต่างเดิมมารวมตัวกัน ณ.จุดเดียว
มีไคลน์ เรน เฟรส วิ่งมาดูเคียลูสที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นพร้อมบาดแผลทั่วร่าง เขาขยับร่างกายได้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ไคลน์ที่มาถึงก่อนเพื่อนเอ่ยถาม เขาพยุงเคียลูสให้นั่งตรง
“เจ้าล่ะปลอดภัยดีนะ” เคียลูสหันมองคนถามด้วยแววตาที่ห่วงใย ซึ่งนั่นกลับทำให้ไคลน์แปลกใจ คนที่บ้าบิ่น แข็งกร้าวอย่างเขาจะมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ในแววตาได้
“ห่วงท่านก่อนเทอญ ข้าไม่เป็นไร” ไคลน์ตอบกลับ
“ใครเป็นคนตัดแขนมัน พวกท่านเห็นหรือไม่” เคียลูสเอ่ยถาม เรนกับเฟรสที่ตอนนี้ได้มาช่วยไคลน์พยุงเคียลูสให้ลุกขึ้นยืน
“ข้าไม่ทันได้มอง เห็นแต่เพียงอาวุธนั่น ..ร้ายกาจมาก ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน …ว่าแต่ท่านเทอญ ยังพอไหวไหม” เรนกล่าว
“ไหวๆ ไม่ต้องห่วง พวกเจ้าปล่อยข้าได้แล้ว ข้ายืนเองได้” เคียลูสตอบพร้อมกับสลัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของไคลน์และเรนที่พยุงเขาอยู่
“ข้าเห็นอาวุธนั่นพุ่งออกมาจากดงป่าด้านหน้า” ไคลน์ชี้ไปที่ป่าทึบต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในป่านั่น ทุกคนหันไปมองตามมือที่ไคลน์ชี้ไป ในทันใดนั้นเองต้นไม้ข้างหน้าก็สั่นไหว คล้ายมีอะไรอยู่ในนั่น เสียงเดินเหยียบเศษใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ
ไคลน์ เรน และเฟรส ทั้งสามต่างกุมดาบไว้มั่นไม่ว่าสิ่งใดออกมาจากดงป่าพวกเขาก็พร้อมจัดการทันที ไม่นานเกินรอร่างๆหนึ่งก็โผล่พ้นต้นไม้ออกมา และสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดเห็นคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำยาวรวบมันตึงคล้ายหางม้า อยู่ในชุดกางเกงสีดำรัดรูปกับเสื้อแขนกุดสีดำแนบเนื้อ จนเผยให้รูปทรงองเอว หน้าตารูปโฉมงดงาม แววตาเป็นประกาย จนทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดมองกันตาค้าง ไม่คิดไม่ฝันจะมีผู้หญิงที่ไหนมาอยู่กลางป่าแบบนี้
นางสะพายถุงผ้าไว้ข้างหลัง ในมือถืออาวุธกรงเหล็กรูปพระจันทร์เสี้ยว ข้างเอวมีดาบเล่มเล็กห้อยอยู่ นางก้าวเดินมาหาคนทั้งสี่
“พวกท่านบาดเจ็บ” นางเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นบาดแผลที่ตัวเคียลูส และแผลที่แขนของไคลน์ ก่อนจะหยุดมองที่แขนของเฟรสซึ่งมีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของนางคืออยากทำให้เลือดที่แขนของเขาหยุดไหล เฟรสยืนนิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าก่อนทั้งสองจะหันมาสบตากัน ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย
“แม่นางเป็นใครกัน เหตุใดมาอยู่กลางป่าที่อันตรายคนเดียวแบบนี้” เคียลูสเอ่ยถาม และพูดต่อทันที
“ขอบใจแม่นางมากที่ช่วยข้าไว้”
นางพยักหน้าเล็กน้อยตอบเคียลูสก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เห็นท่านปลอดภัยข้าก็ดีใจ พวกท่านจะไปที่ใดกัน แล้วพวกตัวเล็กๆนั่นคือใคร แปลกยิ่งนักมีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือ ข้าเคยเห็นชนเผ่าคนแคระนะ แต่พวกนั่นมิได้เป็นแบบนี้” นางหยุดพูดไปชั่วครู่พลางเอียงคอมองเทพจิ๋วที่ยืนอยู่ไกลออกไปจากพวกเขาไปเล็กน้อย
“จุ๊ๆท่านอย่าได้เสียงดังไป ถ้าพวกนั่นได้ยินเป็นเรื่องแน่” ไคลน์เอ่ยเตือน พลางกับนำนิ้วชี้มาปิดที่ปากตัวเอง
“ท่านนี้ก็ประหลาดแท้ข้าถามด้วยความสงสัย เหตุใดต้องกลัว” คราวนี้นางพูดเสียงดังขึ้นมาทันที
เคียลูสใช้ฝ่ามือตีศีรษะไคลน์ไปหนึ่งที ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 5 การปรากฏตัวของสตรีลึกลับ ***
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อสูรร้ายถูกสังหารไปหนึ่ง แต่ยังคงเหลืออีกสองตัวที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับเหล่าทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย เคียลูสตวัดดาบสีนิลเข้าใส่อสูรร้ายสลับกับเรนที่อยู่คุมเชิง พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าหาอสูรร้าย แต่แม้ทั้งสองจะรุมเข้าไปพร้อมกัน หรือเปลี่ยนสลับกันไปมาก็ไม่อาจทำอะไรมันได้เลย อสูรร้ายส่งเสียงกู่ร้องก้องเพื่อข่มขวัญศัตรู มือใหญ่เล็บแหลมคมของมันไล่กวาดปัด จ้วงทิ่มแทงใส่เรนและเคียลูสอย่างบ้าคลั่ง
แต่ทั้งสองก็หลบหลีกได้ทัน ช่วงเวลาแห่งการหลบหลีกเคียลูสกระโดดข้ามมือใหญ่นั่น แล้วพลิกกายหมุนกลับมาตวัดดาบสีนิลฟันฉับไปที่แขนของมัน ด้วยแรงผลักในการหมุนตัวที่รวดเร็วว่องไวบวกกับความคมกริบแข็งแกร่งของดาบสีนิลก็ทำให้สามารถตัดแขนอสูรร้ายขาดไปข้างหนึ่ง เลือดสีแดงเข้มของมันไหลพวยพุ่งออกมาจากข้อต่อที่ถูกตัดขาด มันกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแววตาเดือดดาลโกรธแค้น
อสูรร้ายโก่งตัวงอคอดร่างลง กายมันก็แปรเปลี่ยน กระดูกสีดำแหลมคมผุดขึ้นมากลางหลังลากยาวเป็นเส้นไล่ไปจนถึงเอว เกิดเสียงฮึกฮัดในลำคอของมันสามครั้งติดกันก่อนที่ลูกไฟสีแดงจะพุ่งทะยานออกจากปากมัน มุ่งใส่ศัตรูที่มันหมายปองชีวิต
เคียลูสวิ่งหลบหลีกลูกไฟนั่นด้วยความตื่นตกใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอสูรร้ายนี้จะมีอาวุธที่ตนคาดไม่ถึง และเป็นอาวุธที่ตนไม่อาจจะรับมือได้ทัน ลูกไฟหลายลูกเล็งใส่เป้าหมายไม่ลดละ เคียลูสวิ่งหลบหลังต้นไม้ แต่ลูกไฟนั่นก็ตามมาเผาต้นไม้จนไหม้วอด เศษกิ่งไม้ที่ติดไฟกระเด็นใส่เสื้อเคียลูสจนทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ที่เสื้อของเขา เคียลูสพยายามถอดเสื้อนอกออกแต่ก็ช้าไม่ทันใจ เขาจึงล้มตัวลงเกลือกกลิ้งร่างกับพื้นดินเพื่อเป็นการดับไฟ
อสูรร้ายสบโอกาสพุ่งกายใหญ่ทะยานเข้าหาเป้าหมายเพื่อปลิดชีพผู้ที่ตัดแขนของตนให้ตายคามือ เรน เซียมิเคน วิ่งตามหลังอสูรร้ายเพื่อสกัดกั้นไม่ให้มันถึงตัวเคียลูส
เรนซัดมีดสั้นหลายเล่มดุจพายุฝนแหวกผ่านม่านอากาศพุ่งทะยานใส่กลางลำตัวมัน แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นมันไว้ได้ เซียมิเคนดีดตัวกระโดดขึ้นสูงปักดาบเสียบเข้ากลางหลังมัน ดาบฝังลึกแน่นในผิวกายของมัน เซียมิเคนจับด้ามดาบห้อยค้างอยู่กลางอากาศ ร่างกายกระจิริดของเทพจิ๋วสะบัดตามแรงเดินของอสูรร้ายที่ย่างก้าวเข้าหาคนที่ตัดแขนมัน เคียลูสตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ไฟที่ไหม้เสื้อลวกเลียผิวเนื้อด้านหลังจนทำให้เกิดแผลเจ็บแสบแก่เขา
เคียลูสออกตัวจะวิ่งหนีสุดชีวิต เพื่อไปให้ไกลจากลูกไฟที่จะเผาไหม้ชีวิตเขาให้มอดดับ แต่สายตาของเขาพลันหันไปเห็น ไคลน์ที่ยังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้อยู่ถัดไปเพียงสามก้าวจากจุดที่เขายืนอยู่ เคียลูสวิ่งตรงไปหาไคลน์แล้วฉุดดึงคอเสื้อของไคลน์ ก่อนออกแรงลากดึงร่างที่สลบอยู่ไปด้วย
“ไอ้เด็กบ้าตื่นซิโว๊ย” เคียลูสทั้งลากร่างของไคลน์และตะโกนปลุกคนหลับ
อสูรร้ายตามมาอย่างกระชั้นชิด มันโก่งร่างงอตัวท่าเตรียมพร้อมที่จะปล่อยลูกไฟที่อยู่ในปากมันใส่ศัตรู ที่อยู่ตรงหน้า ลูกไฟสีแดงพุ่งทะยานมาทางพวกเขาสองคน ขณะนั้นเองที่ไคลน์ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นลูกไฟมุ่งตรงมายังตน
ไคลน์ตื่นตกใจส่งเสียงร้องอ๊าก เป็นเสียงที่ดังก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่า ต้นไม้ทุกต้นสั่นไหวต่อเสียงร้องของเขา แผ่นดินสั่นสะท้านเกิดเป็นลมพายุแรง ลูกไฟเข้ามาใกล้พวกเขาแค่อึดใจเดียว ทันใดนั้นเกราะกำแพงของมวลน้ำมหาศาลที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ก็ขึ้นมาขวางกั้นพวกเขาจากลูกไฟนั่น ลูกไฟชนเข้ากับกำแพงน้ำ น้ำเพียงยุบลงไปตามแรงกระแทก แต่ลูกไฟนั่นก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาทำร้ายพวกเขาสองคนได้ ไม่นานลูกไฟดวงนั่นก็มอดดับลงสูญสลายหายไปในกำแพงน้ำ
เคียลูสและไคลน์เบิกตากว้างมองสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าความตกตะลึง พวกแถบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ กำแพงน้ำสูงเด่นตั้งตระหง่านราวกับถูกเสกด้วยเวทมนต์ เป็นเกราะกั้นพวกเขาจากลูกไฟ
“เจ้าทำอะไร” เคียลูสถามไคลน์ด้วยความสงสัย ทั้งที่รู้อยู่ว่ามนุษย์อย่างไคลน์ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แน่ แต่เขาก็ไม่รู้จะหันไปถามใคร ยืนอยู่กันสองคนจึงเลือกที่จะเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัยแม้จะพอทราบคำตอบจากอีกฝ่าย
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่ได้ทำ” ไคลน์ลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างเคียลูสก่อนจะตอบคำถามนั่น แต่สายตายังคงจับจ้องที่กำแพงน้ำด้วยความชื่นชมอย่างบอกไม่ถูก แต่ทันทีที่เขาพูดจบเกราะกำแพงน้ำนั่นก็พังทลายลง น้ำแตกกระจายลงที่พื้นจนเปียกชุ่มไปทั่ว กระเด็นใส่พวกเขาสองคนจนเปียกปอนเช่นกัน
“เยี่ยม” ไคลน์อุทานออกมา เมื่อตัวของเขาเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า
กำแพงน้ำทลายลง อสูรร้ายย่างสามขุมมาหาพวกเขา มันสะบัดเซียมิเคนที่ห้อยอยู่กลางหลุดร่วงไปกองที่พื้น ใช้มือใหญ่ฟาดใส่เรนกระเด็นไปไกลหลายเมตร ลูกเกาฑัณฑ์ของไฟย่าเล็งมาที่มัน ก็ถูกมันดึงออกจากร่างแล้วซัดกลับไปที่คนยิง เป้าหมายเดียวที่มันต้องการคือคนที่ตัดแขนมัน
อสูรร้ายโก่งร่างงอตัวอีกครั้งเพื่อจะพ่นลูกไฟใส่พวกเขาทั้งสอง แต่ครั้งนี้ไม่มีลูกไฟออกมา มีเพียงลมกลิ่นขี้เถ้าที่ออกมาจากปากมัน การใช้งานอาวุธก็มีขีดจำกัดของมันเอง พลังลูกไฟของมันไม่ตอบสนองอีกต่อไป
เคียลูสกับไคลน์มือกุมดาบไว้มั่น เตรียมพร้อมจู่โจม ตอนนี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้อีก สองคนกับหนึ่งอสูรร้ายมุ่งหน้าถาโถมเข้าฟาดฟันกัน มือข้างหนึ่งของอสูรร้าย เกร็งกรงเล็บแหลมคมตวัดกวาดปราดใส่ตัวไคลน์ ไคลน์ไถลตัวหลบหลีกกลิ้งตัวลอดผ่านหว่างขา อ้อมหลังของมันก่อนจะพลิกตัวกลับหลังแกว่งตวัดดาบฟันฉับไปที่ขาของมันเต็มแรงหนึ่งที
ความเจ็บปวดที่ขาพาให้มันยกเท้าขึ้นเตะเข้ากลางลำตัวไคลน์หนึ่งทีส่งให้ตัวของไคลน์ลอยลิ่วปลิวขึ้นฟ้า แล้วหล่นลงบนต้นไม้ใหญ่ ร่างกายเขาเกาะเกี่ยวพันกิ่งไม้ หลายตลบก่อนจะร่วงหล่นลงบนพื้น
เคียลูสกระโดดดีดตัวลอยขึ้นสูง หมายจะตัดแขนอีกข้างของมัน อสูรร้ายได้จังหวะกวาดปราดกรงเล็บเข้าที่สีข้างของศัตรู เคียลูสร่วงหล่นพื้นพร้อมเลือดสีแดงอาบรอบเอว แผลจากกรงเล็บสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนไม่สามารถพยุงตัวให้ลุกขึ้นได้
อสูรร้ายใช้มือจับบีบคอเขาลอยขึ้นสูง มันกดมือบีบคอเขาแน่นหมายปลิดชีพศัตรู เคียลูสดิ้นทุรนทุราย เพราะเริ่มหายใจไม่ออก ทันใดนั้นเองอาวุธเหล็กแหลมคมรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งตรงออกมาจากดงป่าหนาทึบ มันมุนคว้างกลางอากาศเป็นวงกลมก่อนตัดฉับที่มือของอสูรร้ายขาดหลุดร่วงลงพื้นพร้อมกับร่างของเคียลูส อาวุธรูปพระจันทร์เสี้ยวถูกดึงกลับด้วยโซ่เส้นเล็กที่ผูกไว้กับอาวุธ
อสูรร้ายร้องโหยหวนน่าสยดสยองเวทนา มันมองหันซ้ายหันขวาเพื่อหาคนที่ทำร้ายมัน แต่ก็ไม่พบเป้าหมายนั่น ไม่ทันให้มันได้คิดตั้งตัว อาวุธรูปพระจันทร์เสี้ยวก็ปลิวลอยเคว้งหมุนเกลียวรุนแรงดุดันกลางอากาศ อาวุธนั่นประดุจพายุร้ายที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ เสี้ยวอึดใจอาวุธนั่นก็บั่นคออสูรร้ายเกิดแผลเหวอะหวะน่ากลัว เลือดสีแดงเข้มของมันพุ่งสาดกระเซ็นกระจายออกจากคอ แล้วร่างของมันก็ร่วงหล่นลงไปกองนอนที่พื้นส่งมันกลับบ้านเกิดอย่างสวยงาม
อีกด้านหนึ่งที่ห่างออกไปกำลังต่อกรกับอสูรร้ายอย่างดุเดือด เฟรสตวัดกระบี่คู่เข้าหาอสูรร้าย โดยมี มักเวย์ ยาเอิ้ง และ นอสคอยเสริมทัพอีกแรง คูไซและลูสยืนคุ้มกันเจ้าหญิงทอรีเนีย ถึงแม้เจ้าหญิงจะบอกทั้งสองว่าไม่เป็นไร เราดูแลตัวเองได้ แต่ทั้งสองก็ไม่ถอยห่างจากเจ้าหญิง เจ้าหญิงเพียงยืนจับตาดูสถานการณ์รอคอยจังหวะเข้าไปช่วย
เฟรสดีดตัวพุ่งทะยานขึ้นสูงแกว่งตวัดกระบี่คู่ฉับๆฟันไปที่หน้าท้องของมันจนเกิดเป็นรอยแผลลึกลายตัดขวาง เลือดสีแดงเข้มของมันอาบรดกระบี่ของเขา มันส่งเสียงกู่ร้องก้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด มันจ้องมาที่เขาแววตาโกรธแค้นเดือดดาล
ไม่มีเวลาให้มันได้คิดต่อสู้ มักเวย์ ยาเอิ้งและนอส เทพจิ๋วต่างรวมพลังทะยานดีดตัวลอยลิ่วขึ้นฟ้า แล้วดิ่งตัวมาด้วยความเร็วดุจเกลียวคลื่นพายุ ดาบสามเล่มในมือทั้งสามเล็งใส่เป้าหมาย ในเวลาเดียวกันนั่นอสูรร้ายเองก็เงยมองท้องฟ้า เกลียวคลื่นพายุดาบสามเล่มพุ่งมาที่มัน
มันดีดตัวหลบหนี แต่ช้าไปดาบสองเล่มของมักเวย์และยาเอิ้งปักทิ่มแทงลงที่ไหล่ซ้ายขวาของมันคนละข้าง ดาบของนอสแทงทะลุคอหอยของมัน เสียงร้องโหยหวน อย่างเจ็บปวดดังสะท้านป่าก่อนที่ร่างของมันจะล้มตึงลงไปกองพื้น ลมหายใจขาดหายไปในทันที
ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปรกติ อสูรร้ายถูกจัดการสิ้นซาก พวกไพรทั่มหายไปหมดเกลี้ยง ทุคนต่างสะบักสะบอมหมดเรี่ยวแรง เต็มที่ต่างเดิมมารวมตัวกัน ณ.จุดเดียว
มีไคลน์ เรน เฟรส วิ่งมาดูเคียลูสที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นพร้อมบาดแผลทั่วร่าง เขาขยับร่างกายได้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ไคลน์ที่มาถึงก่อนเพื่อนเอ่ยถาม เขาพยุงเคียลูสให้นั่งตรง
“เจ้าล่ะปลอดภัยดีนะ” เคียลูสหันมองคนถามด้วยแววตาที่ห่วงใย ซึ่งนั่นกลับทำให้ไคลน์แปลกใจ คนที่บ้าบิ่น แข็งกร้าวอย่างเขาจะมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ในแววตาได้
“ห่วงท่านก่อนเทอญ ข้าไม่เป็นไร” ไคลน์ตอบกลับ
“ใครเป็นคนตัดแขนมัน พวกท่านเห็นหรือไม่” เคียลูสเอ่ยถาม เรนกับเฟรสที่ตอนนี้ได้มาช่วยไคลน์พยุงเคียลูสให้ลุกขึ้นยืน
“ข้าไม่ทันได้มอง เห็นแต่เพียงอาวุธนั่น ..ร้ายกาจมาก ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน …ว่าแต่ท่านเทอญ ยังพอไหวไหม” เรนกล่าว
“ไหวๆ ไม่ต้องห่วง พวกเจ้าปล่อยข้าได้แล้ว ข้ายืนเองได้” เคียลูสตอบพร้อมกับสลัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของไคลน์และเรนที่พยุงเขาอยู่
“ข้าเห็นอาวุธนั่นพุ่งออกมาจากดงป่าด้านหน้า” ไคลน์ชี้ไปที่ป่าทึบต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมจนมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในป่านั่น ทุกคนหันไปมองตามมือที่ไคลน์ชี้ไป ในทันใดนั้นเองต้นไม้ข้างหน้าก็สั่นไหว คล้ายมีอะไรอยู่ในนั่น เสียงเดินเหยียบเศษใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ
ไคลน์ เรน และเฟรส ทั้งสามต่างกุมดาบไว้มั่นไม่ว่าสิ่งใดออกมาจากดงป่าพวกเขาก็พร้อมจัดการทันที ไม่นานเกินรอร่างๆหนึ่งก็โผล่พ้นต้นไม้ออกมา และสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดเห็นคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำยาวรวบมันตึงคล้ายหางม้า อยู่ในชุดกางเกงสีดำรัดรูปกับเสื้อแขนกุดสีดำแนบเนื้อ จนเผยให้รูปทรงองเอว หน้าตารูปโฉมงดงาม แววตาเป็นประกาย จนทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดมองกันตาค้าง ไม่คิดไม่ฝันจะมีผู้หญิงที่ไหนมาอยู่กลางป่าแบบนี้
นางสะพายถุงผ้าไว้ข้างหลัง ในมือถืออาวุธกรงเหล็กรูปพระจันทร์เสี้ยว ข้างเอวมีดาบเล่มเล็กห้อยอยู่ นางก้าวเดินมาหาคนทั้งสี่
“พวกท่านบาดเจ็บ” นางเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นบาดแผลที่ตัวเคียลูส และแผลที่แขนของไคลน์ ก่อนจะหยุดมองที่แขนของเฟรสซึ่งมีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของนางคืออยากทำให้เลือดที่แขนของเขาหยุดไหล เฟรสยืนนิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าก่อนทั้งสองจะหันมาสบตากัน ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย
“แม่นางเป็นใครกัน เหตุใดมาอยู่กลางป่าที่อันตรายคนเดียวแบบนี้” เคียลูสเอ่ยถาม และพูดต่อทันที
“ขอบใจแม่นางมากที่ช่วยข้าไว้”
นางพยักหน้าเล็กน้อยตอบเคียลูสก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เห็นท่านปลอดภัยข้าก็ดีใจ พวกท่านจะไปที่ใดกัน แล้วพวกตัวเล็กๆนั่นคือใคร แปลกยิ่งนักมีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือ ข้าเคยเห็นชนเผ่าคนแคระนะ แต่พวกนั่นมิได้เป็นแบบนี้” นางหยุดพูดไปชั่วครู่พลางเอียงคอมองเทพจิ๋วที่ยืนอยู่ไกลออกไปจากพวกเขาไปเล็กน้อย
“จุ๊ๆท่านอย่าได้เสียงดังไป ถ้าพวกนั่นได้ยินเป็นเรื่องแน่” ไคลน์เอ่ยเตือน พลางกับนำนิ้วชี้มาปิดที่ปากตัวเอง
“ท่านนี้ก็ประหลาดแท้ข้าถามด้วยความสงสัย เหตุใดต้องกลัว” คราวนี้นางพูดเสียงดังขึ้นมาทันที
เคียลูสใช้ฝ่ามือตีศีรษะไคลน์ไปหนึ่งที ก่อนเอ่ยขึ้นว่า