***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 6 บุตรแห่งเทพ ***

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ตอนที่ 6 บุตรแห่งเทพ


เฟรส


             คณะเดินทางของเจ้าหญิงทอรีเนียและทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย เดินทางมาถึงกระท่อมตามที่แอนนาบอก ทุกคนต่างหมดแรงและต้องการพักผ่อน ภายในกระท่อมมีเตียงไม้หนึ่งเตียง โต๊ะไม้เก่าๆฝุ่นหนาเตอะตั้งอยู่ข้างเตียงฝั่งขวามือ  มีตะเกียงไฟล้มตะแคงอยู่บนโต๊ะไม้ ในตะเกียงไม่มีน้ำมันเหลืออยู่   กลิ่นภายในกระท่อมเหม็นอับ ฝุ่นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ใยแมงมุงเกาะเกี่ยวโยงใยตามมุมต่างๆของเพดาน  เสาไม้บางต้นถูกมอดกัดกินผุพังไปบ้างเล็กน้อย  แต่ข้างในก็กว้างขวางสามารถนอนพักได้เจ็ดถึงแปดคน

เรนกับเฟรสช่วยกันพยุงร่างของเคียลูสที่สลบไปแล้วด้วยพิษบาดแผล ทั้งสองค่อยๆวางเคียลูส ลงบนเตียงไม้ ไฟย่าเดินไปเปิดหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงไม้ ลมยามเย็นพัดกระทบใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหญิงสาว ไฟย่ายืนรับลมเย็นสัมผัสบรรยายยามสนธยา สายตาเหม่อยมองไปยังพระอาทิตย์กลมโตสีเหลืองส้มที่ถูกบดบังด้วยกิ่งไม้ใบไม้ แต่แสงสีเหลืองส้มร่ำไรของพระอาทิตย์อัสดงก็ยังส่องลอดผ่านม่านของใบไม้ตกกระทบใบหน้าของหญิงสาว

ไฟย่าลอบระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หญิงสาวอยากให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขเหมือนดั่งเดิม แต่ดูจากสถานการณ์แล้วทุกอย่างคงมีแต่จะแย่ลง
หญิงสาวระบายลมหายใจอีกครั้งก่อนหันกายเข้ามามองภายในห้องสู่สภาพความเป็นจริง สิ่งที่หญิงสาวเผชิญอยู่ตอนนี้
เคียลูสนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ ร่างกายเปียกเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง มีนอสคอยปฐมพยาบาลให้คนเจ็บ ไฟย่าจึงขยับร่างกายเดินมาช่วยนอสอีกแรงหนึ่ง

    นอสกับไฟย่าช่วยกันทำแผลให้เคียลูส บาดแผลข้างเอวบาดลึกและน่ากลัว นอสนำยาที่อยู่ในถุงผ้าออกมาในนั้นมีตลับไม้รูปทรงกลมฝาหมุนปิดไว้แน่นสองตลับ มีฝาสีขาวกับฝาสีเหลือง ซึ่งนอสรู้ดีว่าต้องใช้ตลับไหน เขาเปิดฝาสีขาวออกแล้วค่อยแต้มยาทาแผลที่ข้างเอวของเคียลูส เนื้อยาสมุนไพรสีเขียวเข้มถูกแต้มทาจนเต็มรอบเอวที่มีบาดแผล ไฟย่าที่นั่งอยู่ข้างเตียงคอยยื่นผ้าพันแผลให้นอส

             “ท่านเคียลูสจะเป็นอะไรมากหรือไม่” ไฟย่าเอ่ยถามนอส ทุกคนต่างรอฟังคำตอบ

เฟรสและไคลน์นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องโดยมีเจ้าหญิงทอรีเนียกับลูสคอยทำแผลที่แขนให้ ทั้งสี่ต่างหันไปมองนอสสลับกับร่างของเคียลูสที่ยังหลับอยู่
เรนยืนกอดอกหลังพิงผนังอยู่ข้างหน้าต่าง แววตาสงบเยือกเย็นรอฟังอาการของเพื่อน และแอบอมยิ้มที่มุมปากเมื่อหันไปเห็น มักเวย์ ยาเอิ้ง คูไซ เทพจิ๋วในผ้าคลุมสีเหลืองทั้งสามนอนกองกันอีกมุมหนึ่งของกระท่อม ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสามไปนอนกันตอนไหน แต่พอหันไปอีกทีทั้งสามก็หลับราวกับเด็กน้อยที่เล่นจนเหนื่อยแล้วหมดแรงก็ไม่ปาน

             “บาดแผลลึกเอาการ แต่โชคยังดีที่ห่างไกลจุดสำคัญ หากได้นอนพักแล้วล้างแผลใส่ยาอีกไม่นานคงหายดี  แต่หากให้ท่านเคียลูสเดินทางต่อไป แผลอาจอักแสบ ถึงเวลานั้นคงยากแก่การรักษา” นอสอธิบาย โดยมือยังคงง่วนอยู่กับการพันแผลให้คนเจ็บ

    “เจ้าช่วยพลิกตัวเขาหน่อย ข้าจะดูแผลที่โดยไฟลวก” นอสขอแรงไฟย่าให้ช่วยพลิกตะแคงตัวคนเจ็บเพื่อที่เขาจะได้ใส่ยาด้านหลังที่โดนไฟลวก นอสเปิดตลับยาฝาสีเหลืองแล้วค่อยๆแต้มยานั่นทาแผลไฟลวก

    “ดีนะ--ที่ผิวหนังไม่โดนไฟลวกไปมาก แผลแค่นี้อีกเดียวเดี๋ยวก็หาย”  นอสบอกกับทุกคนเมื่อดูแผลที่ด้านหลังแล้วอาการไม่สาหัสอย่างที่คิด

    “ขอบใจท่านมาก”  ไฟย่าเอ่ยขอบคุณนอส

    นอสผงกศีรษะรับทราบ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

    “คนที่ท่านน่าจะขอบใจอีกคน คงเป็นหญิงสาวที่ชื่อแอนนาล่ะ ที่ให้ยาพวกนี้มา รักษาคนบาดเจ็บ”  นอสกล่าวเสียงดัง

    “ข้าก็นึกแปลกใจ เหตุใดผู้หญิงตัวคนเดียวช่างกล้าหาญ ออกมาเดินป่าไล่ล่าพวกผีร้าย” เฟรสเอ่ยพึมพำ ในใจยังคงนึกถึงภาพหญิงสาวที่เดินออกมาจากป่าทึบ

    “ฝีมือนางร้ายกาจไม่ใช่เล่น แลอาวุธก็น่ากลัวนัก กรงเหล็กรูปพระจันทร์เสี้ยว เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน ท่านไม่ต้องห่วงนางหรอก ดูท่านางจะเอาตัวรอดเก่ง”  เรนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแกมหยอกล้อเพื่อน เหมือนจะรู้ทันความคิดเพื่อนที่ดูจะสนใจหญิงสาวที่ชื่อแอนนา

    เฟรสหันมามองคนพูดด้วยแววตาถลึงทึง แต่นั่นยิ่งทำให้เรนแค่นหัวร่อในลำคอด้วยความถูกใจ

    “ข้าว่า นางคงพักอยู่แถวๆนี้ ถึงได้รู้เส้นทาง และยังบอกให้เรามาพักที่กระท่อมนี้ด้วย” ลูสเอ่ยเสริม

    “เจ้าได้คู่ปรับแล้วเฟรส ยินดีด้วย” ไคลน์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกรุ้มกริ่ม พร้อมกับใช้มือตบไหล่เพื่อนเบาๆ

    “คู่ปรับอะไรของเจ้า ข้าไม่สู้กับผู้หญิงหรอกนะ” เฟรสเอ่ยเสียงดัง ส่งแววตาอาฆาตมายังไคลน์

    “ข้าหมายถึงคู่ปรับหัวใจน่ะ” ไคลน์เอ่ยจบก็หัวเราะร่า อย่างพออกพอใจแล้วนั้นก็ทำให้คนอื่นพลอยหัวเราะตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหญิงทอรีเนีย ที่กลั้นหัวเราะไว้ในลำคอ  เมื่อมองเห็นใบหน้าตาเดือดดาลของเฟรสที่ดูออกจะตลกขบขำ เนื่องเพราะพยายามปกปิดสิ่งที่เขารู้สึกต่อหญิงสาวที่ชื่อแอนนาไว้ไม่มิดเอาเสียเลย

    “พวกเจ้าบ้า--ไปแล้วเล่นหยอกล้อเหมือนเด็ก”  เฟรสเอ่ยเสร็จ ก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นทันที เขาค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงทอรีเนียหนึ่งทีก่อนเดินออกจากกระท่อม  แต่ยังไม่ทันได้ออกก้าวเท้า เสียงของเซียมิเคนที่นั่งอยู่ข้างนอกก็ตะโกนขึ้นว่า

    “แม่นางแอนนามา”

    นั่นยิ่งทำให้เฟรสเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แกมดีใจที่จะได้เจอนางอีก

    “พูดถึงก็มาทันทีเลยนะ สาวงามคนนี้” ไคลน์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เจ้าหญิงทอรีเนียที่กำลังพันแผลให้ไคลน์อยู่ นึกอยากแกล้งไคลน์กลับ  โทษฐานที่ชอบหยอกล้อคนอื่นดีนัก พระองค์จึงดึงผ้าพันแผลแรงๆหนึ่งที จนไคลน์ต้องร้อง โอ๊ย ออกมา สายตาจับจ้องมองเจ้าหญิงอย่างไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าว่ากะไรได้แต่ค้อมศีรษะให้

    “เจ้าด่าข้าหรือ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ย

    “ใครจะไปกล้าด่าเจ้าหญิงล่ะพ่ะย่ะค่ะ”  ไคลน์ตอบพลางก้มหน้ามองพื้น นึกแปลกใจที่เจ้าหญิงทอรีเนียพอดูใกล้ๆแล้วออกจะเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่น่ารักเลยทีเดียว ในบางครั้งก็ดูเหมือนเด็กแต่ในบางครั้งก็เป็นผู้ใหญ่เกินตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่เข้าใจอายุของพวกเทพเท่าไหร่ เทพอะไรอายุเป็นร้อยปี แต่ร่างกายเท่าเด็กน้อยอายุสิบขวบ

    “เจ้ากำลังว่าเราเป็นเด็กน้อยใช่หรือไม่”  เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ย

    “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” ไคลน์ตอบแล้วก้มหน้ามองพื้นอีกที ไคลน์เริ่มไม่ชอบใจที่เจ้าหญิงอ่านความคิดของตน

    เจ้าหญิงทอรีเนียมิได้ว่ากล่าวอะไร ทรงลุกขึ้นเดินออกจากกระท่อมพร้อมคนอื่นๆที่ ออกมาต้อนรับแอนนา


    แอนนาผูกม้าไว้ต้นไม้ใหญ่ถัดจากกระท่อมไปเล็กน้อย ในมือถือตะกร้าใบใหญ่ที่มีอาหารอยู่เต็ม เดินตรงมายังกระท่อม นางหยุดที่ด้านหน้าเจ้าหญิงทอรีเนียพร้อมกับค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงทอรีเนีย แล้วเอ่ยขึ้นว่า

    “หม่อมฉันนำอาหารมาให้พวกท่านเพคะ” แอนนายื่นตะกร้าให้เฟรส คนที่ยืนจ้องเขาแทบไม่กระพริบตา แอนนาชายตามองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเจ้าหญิงอีกที

    “ท่านพ่อหม่อมฉันให้มาเชิญเจ้าหญิงไปพักที่บ้านหม่อมฉันเพคะ เพื่อความสะดวกสบายแก่พระองค์ ที่กระท่อมนี้คงไม่เหมาะแก่เจ้าหญิงจะพักอยู่อาศัย บ้านหม่อมฉันมิได้ใหญ่โตเท่าไหร่นัก คงต้อนรับองค์หญิงกับทหารได้อีกสองคน คนที่เหลือคงให้พักที่นี้ไปก่อน”  แอนนาหยุดพูด เมื่อนึกขึ้นว่าพวกเขามีกันตั้งสิบสองคน จะให้แยกกันพักคนละที่ จะมีใครยอมไปไหม

    “ขอบใจท่านมากแอนนา ทั้งที่พักและอาหาร เรื่องที่พักนั้นมิต้องเป็นห่วงเรา เราพักที่ไหนก็ได้  และถ้าเราไปพักที่บ้านเจ้า เจ้าคงได้ต้อนรับทหารของเราอีกหกเลยล่ะ พวกเขาคงตามเราไปแน่” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยกับแอนนา

    แอนนาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และเอ่ยขึ้นว่า

    “รุ่งเช้าพระองค์อย่าเพิ่งออกเดินทางนะเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคัมภีร์สังหารจะคุยกับพระองค์”

    “พ่อเจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์สังหารได้อย่างไร” เซียมิเคนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้มห้าว เขามีสีหน้าตกใจ แกมสงสัยเพราะเรื่องนี้รู้แต่เพียงเหล่าเทพเท่านั้น

    “ข้าก็มิรู้เหมือนกัน ท่านพ่อข้าเพียงอยากบอกอะไร กับเจ้าหญิงเกี่ยวกับคัมภีร์สังหาร--รุ่งเช้าหม่อมฉันจะมารับเจ้าหญิงไปยังหมู่บ้านเพคะ” แอนนาตอบแก่เซียมิเคนตามจริง ก่อนจะหันมาทางเจ้าหญิงทอรีเนียเพื่อบอกการนัดหมาย

    เจ้าหญิงทอรีเนียยืนฟังแอนนาเอ่ย อย่างนิ่งสงบแววตาครุ่นคิดสงสัย ไม่ต่างจากเซียมิเคนที่แปลกใจว่ามนุษย์รู้เรื่องคัมภีร์สังหารได้อย่างไร  นั่นยิ่งทำให้พระองค์อยากจะพบพ่อของแอนนาตอนนี้เลย

    “ท่านพ่อหม่อมฉันอยากพบเจ้าหญิงตอนนี้ แต่หม่อมฉันคิดว่านี้ก็เย็นมากแล้วและพวกท่านก็เหนื่อยจากการสู้รบมาไม่น้อย จึงอยากให้พวกท่านได้พักผ่อนก่อน รุ่งเช้าค่อยว่ากันอีกที” แอนนาเอ่ยราวกับรู้ทันความคิดของเจ้าหญิง

    “ขอบใจท่านมากแอนนา แล้วรุ่งเช้าเราจะไปพบท่านพ่อท่าน  มิทราบท่านพ่อของเจ้า  นามว่ากระไร”  เจ้าหญิงทอเรียเอ่ยถาม

    “พ่อหม่อมฉันมีนามว่าบาคอส หม่อมฉันหมดธุระแล้วขอตัวเพคะ ” แอนนาค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงทอรีเนีย แล้วหันกายก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วมาที่ม้าของตน



    แอนนาควบม้าห่างจากกระท่อมออกมาไกล เธอลัดเลาะผ่านต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ขึ้นเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ ลมยามเย็นพัดแรงขึ้น แรงลมกระทบกับกิ่งไม้เสียงเอี๊ยดอาดเป็นระยะๆ ใบไม้เล็กใหญ่ต่างผลิใบร่วงหล่นจากต้นราวกับสายฝน

ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ และสัตว์ป่าที่เคยส่งเสียงร้องดังก้องผืนป่า  ตอนนี้เงียบสงบไร้สุ้มเสียงของสรรพสัตว์ แม้แต่เสียงนกที่เคยขับร้องประสานเสียงกันพลันเงียบหายไป บรรยากาศวังเวงน่ากลัว มีเพียงเสียงเกือกม้าของแอนนาดังกระทบพื้นดิน แอนนาดึงสายบังเหียนบังคับม้าให้เดินเหยาะๆ ตรงมาข้างลำธารเล็กๆที่มีน้ำไหลผ่าน แอนนาต้องการเก็บดอกไม้ไปฝากน้องสาว  นางกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อเดินไปเก็บดอกไม้สีเหลืองที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร ด้วยใจที่เบิกบานโดยไม่ทันระวังภัยที่กำลังเข้ามาใกล้ตัว

ไพรทั่มสองตน แอบดูแอนนาตั้งแต่นางควบม้าออกมาจากระท่อม และมันทั้งสองก็ตามนางมาอย่างเงียบๆ  มันแอบอยู่หลังต้นไม่เพื่อรอการจู่โจมเมื่อศัตรูเผลอ  ช่วงจังหวะที่แอนนาก้มลงเด็ดดอกไม้ ไพรทั่มทั้งสองก็กระโจน กุมดาบมั่นตรงใส่แอนนา

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ใครอีกคนก็พุ่งออกมาดัดหน้าไพรทั่มทั้งสอง  เฟรสยกกระบี่คู่ซ้อนกันตั้งรับการปะทะจากดาบของพวกไพรทั่ม ก่อนใช้เท้าถีบไปที่หน้าท้องมันเต็มแรงส่งไพรทั่มถอยหลังไปสามก้าว กระบี่คู่ในมือของเฟรสตวัดแกว่งฟาดฟันใส่มันทั้งสองด้วยความคล่องแคล่วว่องไว  กระบี่คู่สอดประสานพร้อมเพรียงกันกับท่วงท่าเคลื่อนตัวที่รวดเร็วของเฟรส
  
เฟรสเคลื่อนไหวกายหมุนซ้ายขวา หน้าหลัง กวาดวาดกระบี่คู่เป็นคลื่นพายุ โอบรอบตัวเขา ทำให้ไพรทั่มจับทิศทางของคู่ต่อสู้ไม่ถูก  ไพรทั่มสองตนยืนถือดาบชะงักงัน หาช่องว่างเข้าโจมจู่ไม่ได้ ช่วงเวลาแค่เสี้ยวอึดใจกระบี่เล่มหนึ่งก็ฟันเฉือนเข้าหน้าท้องของไพรทั่มที่อยู่ด้านซ้ายเลือดสีแดงไหลย้อยออกมาจากท้องมัน ก่อนร่างของมันจะล้มฟุบจมกองเลือด

ไพรทั่มอีกตนเมื่อเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายโดยง่ายดาย มันลนรานเกิดหวาดกลัวคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า มันหันกายจะวิ่งหนี แต่ช้าไปกระบี่คมกริบของเฟรสก็ฟันฉับที่คอมัน ร่างไร้วิญญาณของไพรทั่มอีกหนึ่งล้มตึงลงพื้นทันที

เฟรสเก็บกระบี่เข้าที่ ก่อนจะหันมาทางแอนนาที่ยืนถือดอกไม้ แววตาของนางฉงนสงสัย  แล้วเฟรสก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ท่านแอบตามข้ามาทำไม” แอนนาเอ่ยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย แม้เขาจะเป็นคนที่ช่วยนางไว้ แต่นางก็ไม่ค่อยชอบใจที่มีใครแอบมาทำลับๆล่อๆ คอยตามนางมาแบบนี้

“ข้าเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว คิดว่าจะคุ้มครองเจ้าให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย” เฟรสตอบน้ำเสียงกรุ้มกริ่มส่งสายตาหวานให้หญิงสาว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่