ตอนที่ 9 ความจริงของคำพยากรณ์แห่งคัมภีร์สังหาร
เคียลูส
ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านที่มาช้า
ผู้เขียนเกิดอยากเป็นนักกวีขึ้นมาเลยลองขีดเขียนกลอนเล่นๆ
ดูท่าแล้วจะไม่รุ่งขอมามุ่งเขียนนิยายต่อจะดีกว่าค่ะ..^^
อ่านให้สนุกครื้นเครงบันเทิงใจนะคะ รักทุกท่านเลย …
รุ่งอรุณยามเช้าพระอาทิตย์ส่องสว่างจ้าเข้ามาในห้องรับแขก ที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ภายในบ้านของแอนนาอัดแน่นไปด้วยคณะเหล่าเดินทางเทพจิ๋ว และทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย เก้าอี้ถูกนำมาเสริมหลายตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับแขกที่มาใบบ้านถึงสิบสองคน จนบางคนต้องยืนพิงผนังบ้านแทน เพราะไม่มีพื้นที่ให้นั่งในบ้านเล็กๆหลังนี้
บาคอสบิดาของแอนนาค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงทอรีเนีย ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าหญิง มีแอนนาและอันดานั่งถัดจากผู้เป็นบิดา แอนนาสงสัยในตัวบิดาที่อนุญาตให้อันดามานั่งฟังด้วย ซึ่งแอนนาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่ กับการให้น้องสาวมาร่วมรับรู้เรื่องราวการฆ่าฟัน หรือสิ่งโหดร้าย เพราะเธอคิดว่าอันดายังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้
ตรงข้ามกับสามพ่อลูก คือฝ่ายของเจ้าหญิงทอรีเนีย ประกอบไปด้วย ลูส นอส ที่นั่งขนาบข้างเจ้าหญิง มีไฟย่านั่งถัดจากนอส เฟรสนั่งถัดจากไฟย่า เคียลูสนั่งถัดจากลูสไปอีกทีหนึ่ง หน้าตาของเคียลูสยังคงดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะพิษบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท ไฟย่าเสนอให้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่กระท่อมก่อน
แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะมาฟังเรื่องราวของคัมภีร์สังหาร ส่วนไคลน์และเรนต่างยืนเอาหลังพิงผนังอยู่ข้างหน้าต่าง โดยมียาเอิ้ง มักเวย์และคูไซ ยืนอยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาทั้งสามก็สูงเพียงช่วงขาของไคลน์และเรน มองดูแล้วก็ตลกยิ่งนัก เหมือนเด็กน้อยที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ตัวสูงไม่ผิดเพี้ยนเลย
“ท่านบอกมีเรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์สังหารจะบอกแก่เรา ไม่ทราบเป็นเรื่องอันใด” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถามบาคอสทันทีโดยไม่รอช้า
“พวกท่านทั้งหลายจะเดินทางไปหาคัมภีร์สังหารใช่หรือไม่ ข้าเกรงว่า สิ่งที่พวกท่านตามหามันจะไม่มีอยู่จริง” บาคอสเอ่ยเสียงราบเรียบ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติทั่วไป
แต่บุตรสาวคนเล็กของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น อันดาตื่นเต้น ตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเรื่องที่ทุกคนเอ่ยถึงคัมภีร์สังหาร เด็กน้อยขยับตัวนั่งหลังตรง พยายามจะฟังทุกคำพูดของผู้ใหญ่ให้ชัดเจน โดยเฉพาะเจ้าหญิงที่อยู่ตรงหน้าเด็กน้อย อันดาส่งยิ้มกว้างให้เจ้าหญิงทอรีเนียอยู่ตลอดเวลา เด็กน้อยชอบเทพจิ๋ว และนึกอยากเป็นเทพเหมือนอย่างพวกเขา
“เหตุใดไม่มีเล่า คำพยากรณ์ของท่านซาย่า บอกเอาไว้ว่ามีสิ่งเดียวที่จะฆ่าจอมมารสูบวิญญาณได้คือคัมภีร์สังหาร มันถูกซ่อนเอาไวที่ หุบเขามรณะ ดินแดนแห่งรัตติกาล หากหามันเจอก็จะใช้เป็นอาวุธสังหารจอมมารได้” ลูสเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น
“จริงอยู่ที่ว่าคัมภีร์หารมีจริง แต่ต่อให้พวกท่านเดินทางไปหาที่ดินแดนแห่งรัตติกาล ยังไงก็หาไม่เจอ” บาคอสเอ่ย
“คัมภีร์ไม่ได้อยู่ที่นั้นหรือ” คราวนี้เคียลูสเอ่ยขึ้นบ้าง
“พวกท่านคิดว่าคัมภีร์สังหารมีหน้าตาเป็นอย่างไรเล่า” บาคอสเอ่ย พลางกับชายตามองไปทางเฟรส ที่กำลังนั่งจ้องมองบุตรสาวคนโตของตน และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นบิดาดูออกอย่างทันที ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรกับบุตรสาว
“คัมภีร์ มันก็ต้องเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นศิลาจารึก ที่มีอักขระมากมาย บันทึกคาถามนตราไว้สำหรับต่อสู้กับจอมมาร ใช่หรือไม่” คูไซเอ่ยขึ้น
และทุกคนก็ต่างเห็นพ้องว่ามันต้องเป็นแบบนี้ มีความเงียบเกิดขึ้นช่วงขณะ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่บาคอส
“คัมภีร์สังหารที่ทุกท่านตามหากันแท้ที่จริงแล้วคือตัวบุคคล” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบงันเกิดขึ้นพร้อมความตกตะลึง ของคนที่ฟัง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร หากไม่ใช่เป็นดั่งเช่นที่ท่านคูไซบอก เหตุใดคัมภีร์สังหารถึงเป็นตัวบุคคลเล่า และเขาผู้นั้นคือใคร” เซียมิเคนเป็นคนเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเหตุใด รู้เรื่องคัมภีร์สังหาร และยังรู้ ในเรื่องที่พวกเรามิเคยรู้มาก่อน” ลูสองครักษ์มือขวาของเจ้าทอรีเนียเอ่ยขึ้น สิ้นเสียงของลูส แววตาสงสัยพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ที่ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
บาคอสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างใจเย็น เขายังไม่เอ่ยความได้ สายตาเหม่อมองไปยังจุดศูนย์กลางของโต๊ะ โดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่มองมายังตน บุตรสาวคนเล็กเอียงคอหันมาทางบิดา ด้วยความงุนงง เด็กน้อยมีแววตาตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน ถึงเธอจะไม่เข้าใจ แต่ก็อดดีใจเสียมิได้ และยิ่งได้รู้ว่าบิดาของตนเป็นผู้เก็บงำความลับอะไรบางอย่างที่สำคัญ จนคนทั้งหมดต่างให้ความสนใจมาที่บิดา
ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เด็กน้อยขยับตัวเข้าไปใกล้บิดา จนตัวแทบจะติดบิดา ซึ่งอาการแบบนี้ก็พลันปรากฏที่ตัวแอนนาเช่นกัน แตกต่างเพียงแต่เธอหันมองบิดาเท่านั้น พลางเลิกคิ้วสงสัยใคร่อยากรู้เรื่องราวที่บิดาของตนเล่า
“เพราะหนึ่งในบุคคลที่จะสังหารจอมมารได้คือ..” บาคอสหยุดพูด ก่อนจะชายตามองไปทางบุตรสาวคนโต
“บุตรสาวของข้าเอง” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้า” แอนนาเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ไม่ใช่เจ้าแอนนา” บิดานางเอ่ยต่อ
“เป็นน้องเจ้า ที่จะเป็นผู้ฆ่าจอมมารได้”
ความเงียบพลันเกิดขึ้นอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เด็กน้อยอันดาซึ่งนั่งตัวแข็งเป็นหินเมื่อได้ยินสิ่งที่บิดาเอ่ยถึงตน
“อันดานี่นะคะ ท่านพ่อ อันดาไม่มีวิชาการต่อสู้อะไรเลยจะไปสังหารจอมมารได้อย่างไร” แอนนาเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ แค่คิดว่าน้องสาวของตนต้องไปต่อสู้กับจอมมาร เธอก็ไม่อยากให้ไปแล้ว และไม่คิดจะให้น้องไปสู้กับจอมมารเป็นอันขาด
“เพราะเหตุนี้ล่ะ พ่อจึงสอนเจ้าให้รู้วิชาต่อสู้ ทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องเจ้า ก่อนที่น้องเจ้าจะสามารถใช้พลังเวทได้” บิดาเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ พร้อมกับหันไปทางบุตรสาวคนโต
“พลังเวท อะไร หมายความว่าไง” แอนนาเอ่ยตะกุกกะกักไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาบอก
“ท่านเป็นเทพ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้น บาคอสค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ
แล้วสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่สามพ่อลูก ส่วนแอนนา และอันดาต่างเบิกตากว้าง จ้องมองบิดาด้วยสายตาพิศวง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าบิดาของตนเป็นเทพ ขณะที่ไคลน์ยืนฟังอยู่ข้างหน้าต่าง ก็อดที่จะอมยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าของสองพี่น้อง ซึ่งไม่ต่างจากตนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเทพเมื่อคืนนี้เอง
“เทพครึ่งมนุษย์ นั้นล่ะที่ข้าเป็นรวมทั้งบุตรของข้าด้วย พลังเวทไม่ปรากฏที่ตัวแอนนาและตัวข้า หากแต่ปรากฏที่บุตรสาวคนเล็ก” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อันดาเหรอคะ” บุตรสาวคนเล็กของเขาเอ่ยขึ้น บิดาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะใช้มือลูกหัวบุตรสาวอย่างเอ็นดู
“เป็นผู้ใดที่เป็นเทพ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถามบาคอส
“ท่านทวดของกระหม่อมขอรับ และท่านปู่ก็ได้ฟังเรื่องคัมภีร์สังหารต่อมาจากท่านทวด แล้วมาเล่าต่อให้กระหม่อมฟัง” บาคอสตอบเจ้าหญิงทอรีเนีย
“ท่านบอกบุตรสาวของท่านคือหนึ่งในคัมภีร์สังหาร หมายความว่ายังมีอีกคนใช่หรือไม่” เคียลูสเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากนิ่งฟังอยู่นาน เขาไม่ค่อยสนใจไล่เรียงประวัติพวกเทพมากเท่าไหร่ เขาเพียงอยากต้องการตามหาคัมภีร์สังหารให้เจอเพื่อช่วยองค์ราชาของตนเท่านั้น
“มีอีกสอง” บาคอสตอบกลับ
“อีกสองคือผู้ใดกัน” เรนที่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน อดที่จะถามต่อไม่ได้ แต่ถึงเรนจะไม่เอ่ยถาม ก็คงมีอีกหลายคนรอจะถาม เพราะทุกคนที่ฟังอยู่ต่างตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องราวใหม่ของคัมภีร์สังหาร ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดรอที่จะฟังคำตอบ
“ตามคำพยากรณ์ที่เหล่าทวยเทพเล่าสืบต่อกันมา ว่ากันว่า หนึ่งบุรุษแห่งองค์ประมุขเทพ สุดวิเศษเลิศล้ำพลังล้น กำหนดสรรพสิ่งพึงประสงค์ ขอเพียงลมสายธารไหลมาเจอ อีกสตรีนางหนึ่งเกิดเป็นคนครึ่งเทพ วันที่เมฆลาลับดับขอบฟ้า เกิดเป็นแสงจันทร์เปล่งรัศมี สีทองเด่นกระจ่างฟ้า นั้นล่ะหนาหนึ่งศาสตราวุธพิชิตมาร และสุดท้ายคือบุรุษผู้ห่างไกล อยู่ในแดนดินถิ่นมหัศจรรย์ ท่านคัดสรรมาอย่างดี เป็นมนุษย์ไม่ธรรมดาตรงมีเวท ผิดประเภทที่มนุษย์เขาเป็นกัน เพียงร้องขอท่านผู้นี้จะมาช่วย ไม่ให้ม้วยวอดวายดับชีวี รวมศาสตราวุธทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว คือคัมภีร์สังหารมาร” บาคอสเอ่ยจบ
ความเงียบเกาะกุมทุกโสตประสาทของทุกคน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยความใด เพราะไม่เคยนึกมาก่อนจะมาเจองานที่ยากขึ้นอีก เพียงตามหาคัมภีร์สังหารให้เจอก็ว่ายากแล้ว นี้กลับตาลปัตรต้องมาตามหาคนอีกสองคนให้เจอ
“หนึ่งบุรุษเทพ หนึ่งอิสตรีมนุษย์ครึ่งเทพ และบุรุษมนุษย์อีกหนึ่ง สามศาสตราวุธรวมเป็นหนึ่งคือคัมภีร์สังหารมาร” ไฟย่าเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย พยายามนึกทวนถึงสิ่งที่บาคอสบอก เพื่อที่จะสรุปให้ได้ใจความตามที่ตนเข้าใจ
“ใช่แล้ว แม่นาง เทพหนึ่ง มนุษย์ครึ่งเทพหนึ่ง และมนุษย์อีกหนึ่ง ทั้งสามต้องมารวมพลังกันเพื่อกำจัดจอมมาร” บาคอสอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วเราจะไปตามหาพวกเขาได้ที่ไหนเล่า” เซียมิเคนที่นิ่งฟังอยู่เนิ่นนานเอ่ยขึ้น พร้อมใบหน้าที่ดูจะเคร่งเครียดกว่าคนอื่น
“หนึ่งสตรี คือบุตรธิดาคนเล็กของท่าน” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้น แล้วจับจ้องไปที่อันดาจึงยังคงนั่งเป็นหุ่นหินแข็งทื่อ กับได้รับรู้เรื่องราวที่ตนเพิ่งได้ยิน ก่อนที่อันดาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“อันดาจะสู้กับจอมมารได้เหรอคะ ท่านพ่อ” เด็กสาวหันไปทางบิดา
“ได้ซิจ๊ะลูกพ่อ เจ้ามีเชื้อสายของทวยเทพ แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเรียนรู้ที่จะใช้ พลังซึ่งซ่อนอยู่ในตัวเจ้า”
“ทำไมไม่เป็นพี่แอนนาล่ะคะท่านพ่อ พี่แอนนาเก่งกว่าอันดาตั้งเยอะ” อันดาเอ่ยต่อ เธอสายตาหันไปทางพี่สาว
“เพราะเจ้าเป็นคนที่เกิดในวันที่ดวงจันทราทอแสงเป็นสีทอง ส่องสว่างทั่วท้องนภา” บาคอสบอกกับบุตรสาว
แอนนาจำวันที่น้องสาวของตัวเองเกิดได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นเธอเพิ่งอายุได้แปดขวบ ค่ำคืนที่มารดาของเธอเจ็บท้องจะคลอด อยู่ๆก็เกิดพายุลมพัดรุนแรง แต่เกิดขึ้นเพียงไม่นานลมพายุก็จางหายไป แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าพลันปรากฏดวงจันทร์กลมโต ส่องแสงสีทองสดใส กว่าวันไหนๆที่เธอเคยเห็นมา และไม่นานแสงสีทองก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้ายามในค่ำคืน
สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก ในช่วงวินาทีที่ทุกคนต่างชื่นชมและฉงนกับสีทองของท้องฟ้า ทารกน้อยอันดาก็ออกมาเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับเสียงร้องไห้ของทารกน้อยที่ดังสะท้อนก้องภายในบ้านหลังนี้
“หนึ่งบุรุษแห่งประมุขเทพ ท่านหมายถึงโอรสของ องค์เทพอัสติอัลใช่หรือไม่” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถาม บาคอสพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นการตอบ
“โอรสของประมุขเทพอัสติอัลเกิดเมื่อสองร้อยปีก่อน และตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน แล้วจะไปตามหาพระองค์จากที่ใดกันเล่า” นอสเป็นคนเอ่ยขึ้นบ้าง
ไคลน์ที่ยืนฟังอยู่กลับไม่ได้สนใจโอรสของประมุขเทพ หากแต่เขากลับรู้สึกชอบคนที่ชื่ออัสติอัลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเมื่อมีคนเอ่ยชื่ออัสติอัล และเขารู้สึกราวกับว่าตนรู้จักประมุขเทพผู้นี้มานานมากแล้ว ม่านตาของเขาขยายขึ้นพร้อมกับขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยเพื่อจะตั้งใจฟังเรื่องราวของประมุขเทพองค์นี้ ผู้ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก
“พวกท่านทั้งหลายต้องเดินทางยังดินแดนแทนซีเวีย ดินแดนที่เหล่าทวยเทพรวมตัวกัน สิ่งที่ท่านต้องการตามหาอาจอยู่ที่ไหนนั้น” บาคอสบอกกับทุกคน
“แล้วดินแดนแทนซีเวียนี้มันอยู่ที่ไหน” ไคลน์ที่ตั้งใจฟังอยู่นาน เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน และไม่รู้ว่าทำไมในความรู้สึกของตัวเอง ถึงอยากไปยังดินแดนนี้เหลือเกิน
*** ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร : ตอนที่ 9 ความจริงของคำพยากรณ์แห่งคัมภีร์สังหาร ***
ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านที่มาช้า
ผู้เขียนเกิดอยากเป็นนักกวีขึ้นมาเลยลองขีดเขียนกลอนเล่นๆ
ดูท่าแล้วจะไม่รุ่งขอมามุ่งเขียนนิยายต่อจะดีกว่าค่ะ..^^
อ่านให้สนุกครื้นเครงบันเทิงใจนะคะ รักทุกท่านเลย …
รุ่งอรุณยามเช้าพระอาทิตย์ส่องสว่างจ้าเข้ามาในห้องรับแขก ที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ภายในบ้านของแอนนาอัดแน่นไปด้วยคณะเหล่าเดินทางเทพจิ๋ว และทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย เก้าอี้ถูกนำมาเสริมหลายตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับแขกที่มาใบบ้านถึงสิบสองคน จนบางคนต้องยืนพิงผนังบ้านแทน เพราะไม่มีพื้นที่ให้นั่งในบ้านเล็กๆหลังนี้
บาคอสบิดาของแอนนาค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงทอรีเนีย ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าหญิง มีแอนนาและอันดานั่งถัดจากผู้เป็นบิดา แอนนาสงสัยในตัวบิดาที่อนุญาตให้อันดามานั่งฟังด้วย ซึ่งแอนนาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่ กับการให้น้องสาวมาร่วมรับรู้เรื่องราวการฆ่าฟัน หรือสิ่งโหดร้าย เพราะเธอคิดว่าอันดายังเด็กเกินไปที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้
ตรงข้ามกับสามพ่อลูก คือฝ่ายของเจ้าหญิงทอรีเนีย ประกอบไปด้วย ลูส นอส ที่นั่งขนาบข้างเจ้าหญิง มีไฟย่านั่งถัดจากนอส เฟรสนั่งถัดจากไฟย่า เคียลูสนั่งถัดจากลูสไปอีกทีหนึ่ง หน้าตาของเคียลูสยังคงดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะพิษบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท ไฟย่าเสนอให้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่กระท่อมก่อน
แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะมาฟังเรื่องราวของคัมภีร์สังหาร ส่วนไคลน์และเรนต่างยืนเอาหลังพิงผนังอยู่ข้างหน้าต่าง โดยมียาเอิ้ง มักเวย์และคูไซ ยืนอยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาทั้งสามก็สูงเพียงช่วงขาของไคลน์และเรน มองดูแล้วก็ตลกยิ่งนัก เหมือนเด็กน้อยที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ตัวสูงไม่ผิดเพี้ยนเลย
“ท่านบอกมีเรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์สังหารจะบอกแก่เรา ไม่ทราบเป็นเรื่องอันใด” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถามบาคอสทันทีโดยไม่รอช้า
“พวกท่านทั้งหลายจะเดินทางไปหาคัมภีร์สังหารใช่หรือไม่ ข้าเกรงว่า สิ่งที่พวกท่านตามหามันจะไม่มีอยู่จริง” บาคอสเอ่ยเสียงราบเรียบ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติทั่วไป
แต่บุตรสาวคนเล็กของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น อันดาตื่นเต้น ตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเรื่องที่ทุกคนเอ่ยถึงคัมภีร์สังหาร เด็กน้อยขยับตัวนั่งหลังตรง พยายามจะฟังทุกคำพูดของผู้ใหญ่ให้ชัดเจน โดยเฉพาะเจ้าหญิงที่อยู่ตรงหน้าเด็กน้อย อันดาส่งยิ้มกว้างให้เจ้าหญิงทอรีเนียอยู่ตลอดเวลา เด็กน้อยชอบเทพจิ๋ว และนึกอยากเป็นเทพเหมือนอย่างพวกเขา
“เหตุใดไม่มีเล่า คำพยากรณ์ของท่านซาย่า บอกเอาไว้ว่ามีสิ่งเดียวที่จะฆ่าจอมมารสูบวิญญาณได้คือคัมภีร์สังหาร มันถูกซ่อนเอาไวที่ หุบเขามรณะ ดินแดนแห่งรัตติกาล หากหามันเจอก็จะใช้เป็นอาวุธสังหารจอมมารได้” ลูสเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น
“จริงอยู่ที่ว่าคัมภีร์หารมีจริง แต่ต่อให้พวกท่านเดินทางไปหาที่ดินแดนแห่งรัตติกาล ยังไงก็หาไม่เจอ” บาคอสเอ่ย
“คัมภีร์ไม่ได้อยู่ที่นั้นหรือ” คราวนี้เคียลูสเอ่ยขึ้นบ้าง
“พวกท่านคิดว่าคัมภีร์สังหารมีหน้าตาเป็นอย่างไรเล่า” บาคอสเอ่ย พลางกับชายตามองไปทางเฟรส ที่กำลังนั่งจ้องมองบุตรสาวคนโตของตน และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นบิดาดูออกอย่างทันที ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรกับบุตรสาว
“คัมภีร์ มันก็ต้องเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นศิลาจารึก ที่มีอักขระมากมาย บันทึกคาถามนตราไว้สำหรับต่อสู้กับจอมมาร ใช่หรือไม่” คูไซเอ่ยขึ้น
และทุกคนก็ต่างเห็นพ้องว่ามันต้องเป็นแบบนี้ มีความเงียบเกิดขึ้นช่วงขณะ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่บาคอส
“คัมภีร์สังหารที่ทุกท่านตามหากันแท้ที่จริงแล้วคือตัวบุคคล” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบงันเกิดขึ้นพร้อมความตกตะลึง ของคนที่ฟัง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร หากไม่ใช่เป็นดั่งเช่นที่ท่านคูไซบอก เหตุใดคัมภีร์สังหารถึงเป็นตัวบุคคลเล่า และเขาผู้นั้นคือใคร” เซียมิเคนเป็นคนเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเหตุใด รู้เรื่องคัมภีร์สังหาร และยังรู้ ในเรื่องที่พวกเรามิเคยรู้มาก่อน” ลูสองครักษ์มือขวาของเจ้าทอรีเนียเอ่ยขึ้น สิ้นเสียงของลูส แววตาสงสัยพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ที่ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
บาคอสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างใจเย็น เขายังไม่เอ่ยความได้ สายตาเหม่อมองไปยังจุดศูนย์กลางของโต๊ะ โดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่มองมายังตน บุตรสาวคนเล็กเอียงคอหันมาทางบิดา ด้วยความงุนงง เด็กน้อยมีแววตาตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน ถึงเธอจะไม่เข้าใจ แต่ก็อดดีใจเสียมิได้ และยิ่งได้รู้ว่าบิดาของตนเป็นผู้เก็บงำความลับอะไรบางอย่างที่สำคัญ จนคนทั้งหมดต่างให้ความสนใจมาที่บิดา
ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เด็กน้อยขยับตัวเข้าไปใกล้บิดา จนตัวแทบจะติดบิดา ซึ่งอาการแบบนี้ก็พลันปรากฏที่ตัวแอนนาเช่นกัน แตกต่างเพียงแต่เธอหันมองบิดาเท่านั้น พลางเลิกคิ้วสงสัยใคร่อยากรู้เรื่องราวที่บิดาของตนเล่า
“เพราะหนึ่งในบุคคลที่จะสังหารจอมมารได้คือ..” บาคอสหยุดพูด ก่อนจะชายตามองไปทางบุตรสาวคนโต
“บุตรสาวของข้าเอง” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้า” แอนนาเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ไม่ใช่เจ้าแอนนา” บิดานางเอ่ยต่อ
“เป็นน้องเจ้า ที่จะเป็นผู้ฆ่าจอมมารได้”
ความเงียบพลันเกิดขึ้นอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เด็กน้อยอันดาซึ่งนั่งตัวแข็งเป็นหินเมื่อได้ยินสิ่งที่บิดาเอ่ยถึงตน
“อันดานี่นะคะ ท่านพ่อ อันดาไม่มีวิชาการต่อสู้อะไรเลยจะไปสังหารจอมมารได้อย่างไร” แอนนาเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ แค่คิดว่าน้องสาวของตนต้องไปต่อสู้กับจอมมาร เธอก็ไม่อยากให้ไปแล้ว และไม่คิดจะให้น้องไปสู้กับจอมมารเป็นอันขาด
“เพราะเหตุนี้ล่ะ พ่อจึงสอนเจ้าให้รู้วิชาต่อสู้ ทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องเจ้า ก่อนที่น้องเจ้าจะสามารถใช้พลังเวทได้” บิดาเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ พร้อมกับหันไปทางบุตรสาวคนโต
“พลังเวท อะไร หมายความว่าไง” แอนนาเอ่ยตะกุกกะกักไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาบอก
“ท่านเป็นเทพ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้น บาคอสค้อมศีรษะให้เจ้าหญิงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ
แล้วสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่สามพ่อลูก ส่วนแอนนา และอันดาต่างเบิกตากว้าง จ้องมองบิดาด้วยสายตาพิศวง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าบิดาของตนเป็นเทพ ขณะที่ไคลน์ยืนฟังอยู่ข้างหน้าต่าง ก็อดที่จะอมยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าของสองพี่น้อง ซึ่งไม่ต่างจากตนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเทพเมื่อคืนนี้เอง
“เทพครึ่งมนุษย์ นั้นล่ะที่ข้าเป็นรวมทั้งบุตรของข้าด้วย พลังเวทไม่ปรากฏที่ตัวแอนนาและตัวข้า หากแต่ปรากฏที่บุตรสาวคนเล็ก” บาคอสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อันดาเหรอคะ” บุตรสาวคนเล็กของเขาเอ่ยขึ้น บิดาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะใช้มือลูกหัวบุตรสาวอย่างเอ็นดู
“เป็นผู้ใดที่เป็นเทพ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถามบาคอส
“ท่านทวดของกระหม่อมขอรับ และท่านปู่ก็ได้ฟังเรื่องคัมภีร์สังหารต่อมาจากท่านทวด แล้วมาเล่าต่อให้กระหม่อมฟัง” บาคอสตอบเจ้าหญิงทอรีเนีย
“ท่านบอกบุตรสาวของท่านคือหนึ่งในคัมภีร์สังหาร หมายความว่ายังมีอีกคนใช่หรือไม่” เคียลูสเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากนิ่งฟังอยู่นาน เขาไม่ค่อยสนใจไล่เรียงประวัติพวกเทพมากเท่าไหร่ เขาเพียงอยากต้องการตามหาคัมภีร์สังหารให้เจอเพื่อช่วยองค์ราชาของตนเท่านั้น
“มีอีกสอง” บาคอสตอบกลับ
“อีกสองคือผู้ใดกัน” เรนที่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน อดที่จะถามต่อไม่ได้ แต่ถึงเรนจะไม่เอ่ยถาม ก็คงมีอีกหลายคนรอจะถาม เพราะทุกคนที่ฟังอยู่ต่างตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องราวใหม่ของคัมภีร์สังหาร ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดรอที่จะฟังคำตอบ
“ตามคำพยากรณ์ที่เหล่าทวยเทพเล่าสืบต่อกันมา ว่ากันว่า หนึ่งบุรุษแห่งองค์ประมุขเทพ สุดวิเศษเลิศล้ำพลังล้น กำหนดสรรพสิ่งพึงประสงค์ ขอเพียงลมสายธารไหลมาเจอ อีกสตรีนางหนึ่งเกิดเป็นคนครึ่งเทพ วันที่เมฆลาลับดับขอบฟ้า เกิดเป็นแสงจันทร์เปล่งรัศมี สีทองเด่นกระจ่างฟ้า นั้นล่ะหนาหนึ่งศาสตราวุธพิชิตมาร และสุดท้ายคือบุรุษผู้ห่างไกล อยู่ในแดนดินถิ่นมหัศจรรย์ ท่านคัดสรรมาอย่างดี เป็นมนุษย์ไม่ธรรมดาตรงมีเวท ผิดประเภทที่มนุษย์เขาเป็นกัน เพียงร้องขอท่านผู้นี้จะมาช่วย ไม่ให้ม้วยวอดวายดับชีวี รวมศาสตราวุธทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว คือคัมภีร์สังหารมาร” บาคอสเอ่ยจบ
ความเงียบเกาะกุมทุกโสตประสาทของทุกคน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยความใด เพราะไม่เคยนึกมาก่อนจะมาเจองานที่ยากขึ้นอีก เพียงตามหาคัมภีร์สังหารให้เจอก็ว่ายากแล้ว นี้กลับตาลปัตรต้องมาตามหาคนอีกสองคนให้เจอ
“หนึ่งบุรุษเทพ หนึ่งอิสตรีมนุษย์ครึ่งเทพ และบุรุษมนุษย์อีกหนึ่ง สามศาสตราวุธรวมเป็นหนึ่งคือคัมภีร์สังหารมาร” ไฟย่าเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย พยายามนึกทวนถึงสิ่งที่บาคอสบอก เพื่อที่จะสรุปให้ได้ใจความตามที่ตนเข้าใจ
“ใช่แล้ว แม่นาง เทพหนึ่ง มนุษย์ครึ่งเทพหนึ่ง และมนุษย์อีกหนึ่ง ทั้งสามต้องมารวมพลังกันเพื่อกำจัดจอมมาร” บาคอสอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วเราจะไปตามหาพวกเขาได้ที่ไหนเล่า” เซียมิเคนที่นิ่งฟังอยู่เนิ่นนานเอ่ยขึ้น พร้อมใบหน้าที่ดูจะเคร่งเครียดกว่าคนอื่น
“หนึ่งสตรี คือบุตรธิดาคนเล็กของท่าน” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้น แล้วจับจ้องไปที่อันดาจึงยังคงนั่งเป็นหุ่นหินแข็งทื่อ กับได้รับรู้เรื่องราวที่ตนเพิ่งได้ยิน ก่อนที่อันดาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“อันดาจะสู้กับจอมมารได้เหรอคะ ท่านพ่อ” เด็กสาวหันไปทางบิดา
“ได้ซิจ๊ะลูกพ่อ เจ้ามีเชื้อสายของทวยเทพ แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเรียนรู้ที่จะใช้ พลังซึ่งซ่อนอยู่ในตัวเจ้า”
“ทำไมไม่เป็นพี่แอนนาล่ะคะท่านพ่อ พี่แอนนาเก่งกว่าอันดาตั้งเยอะ” อันดาเอ่ยต่อ เธอสายตาหันไปทางพี่สาว
“เพราะเจ้าเป็นคนที่เกิดในวันที่ดวงจันทราทอแสงเป็นสีทอง ส่องสว่างทั่วท้องนภา” บาคอสบอกกับบุตรสาว
แอนนาจำวันที่น้องสาวของตัวเองเกิดได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นเธอเพิ่งอายุได้แปดขวบ ค่ำคืนที่มารดาของเธอเจ็บท้องจะคลอด อยู่ๆก็เกิดพายุลมพัดรุนแรง แต่เกิดขึ้นเพียงไม่นานลมพายุก็จางหายไป แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าพลันปรากฏดวงจันทร์กลมโต ส่องแสงสีทองสดใส กว่าวันไหนๆที่เธอเคยเห็นมา และไม่นานแสงสีทองก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้ายามในค่ำคืน
สร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก ในช่วงวินาทีที่ทุกคนต่างชื่นชมและฉงนกับสีทองของท้องฟ้า ทารกน้อยอันดาก็ออกมาเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับเสียงร้องไห้ของทารกน้อยที่ดังสะท้อนก้องภายในบ้านหลังนี้
“หนึ่งบุรุษแห่งประมุขเทพ ท่านหมายถึงโอรสของ องค์เทพอัสติอัลใช่หรือไม่” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยถาม บาคอสพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นการตอบ
“โอรสของประมุขเทพอัสติอัลเกิดเมื่อสองร้อยปีก่อน และตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน แล้วจะไปตามหาพระองค์จากที่ใดกันเล่า” นอสเป็นคนเอ่ยขึ้นบ้าง
ไคลน์ที่ยืนฟังอยู่กลับไม่ได้สนใจโอรสของประมุขเทพ หากแต่เขากลับรู้สึกชอบคนที่ชื่ออัสติอัลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเมื่อมีคนเอ่ยชื่ออัสติอัล และเขารู้สึกราวกับว่าตนรู้จักประมุขเทพผู้นี้มานานมากแล้ว ม่านตาของเขาขยายขึ้นพร้อมกับขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยเพื่อจะตั้งใจฟังเรื่องราวของประมุขเทพองค์นี้ ผู้ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก
“พวกท่านทั้งหลายต้องเดินทางยังดินแดนแทนซีเวีย ดินแดนที่เหล่าทวยเทพรวมตัวกัน สิ่งที่ท่านต้องการตามหาอาจอยู่ที่ไหนนั้น” บาคอสบอกกับทุกคน
“แล้วดินแดนแทนซีเวียนี้มันอยู่ที่ไหน” ไคลน์ที่ตั้งใจฟังอยู่นาน เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน และไม่รู้ว่าทำไมในความรู้สึกของตัวเอง ถึงอยากไปยังดินแดนนี้เหลือเกิน