ตอนที่ 8 องครักษ์พิทักษ์องค์ชาย
ทาเรีย
หน่วยลาดตระเวนของเจ้าชายฟาดาเฟียมาถึงปราสาทเป็นขบวนสุดท้าย สองหน่วยที่เหลือได้มายืนรอรับอยู่หน้าประตู ขบวนม้าของเจ้าชายฟาดาเฟียเคลื่อนตัวเข้ามาในปราสาท จนครบทั้งหมดประตูไม้แกะสลักก็ปิดลงทันที
ทหารนายหนึ่งวิ่งมาค้อมศีรษะให้เจ้าชายทันทีที่พระองค์ลงจากหลังม้า โดยทรงอุ้มเด็กชายเซเดอริกลงก่อน เจ้าชายหันไปมองกลุ่มชาวบ้านที่ยืนออกันอยู่เต็มลานโล่งกว้างถัดจากถนนไปเพียงเล็กน้อย และในกลุ่มชาวบ้านนั่นดูเหมือนจะมีบิดามารดาของเซเดอริกอยู่ด้วย เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาคนทั้งสอง สามพ่อแม่ลูกยืนกอดกันร้องไห้ เจ้าชายมองดูภาพสามคนนั่นอย่างคลายกังวล ก่อนจะหันมาทางทหาร นายทหารจึงรีบรายงานความทันที
“กระหม่อมเจอชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนี ไอ้พวกผีร้ายนั่นพ่ะย่ะค่ะ ได้ช่วยพวกเขากลับมาและสังหารพวกมันไปหลายตน หน่วยลาดตระเวนของท่านออเตก้าก็เจอกลุ่มชาวบ้านอีกกลุ่ม และก็ได้ช่วยพวกเขามาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนนามมอร์สรายงานแก่เจ้าชาย
ออเตก้าเดินสาวเท้าอย่างรวดเร็วผ่านชาวบ้านและเหล่าทหาร มุ่งตรงมาหาเจ้าชายฟาดาเฟีย เขาค้อมศีรษะให้พระองค์ก่อนรายงานความต่อจากมอร์ส
“มีชาวบ้านที่ช่วยเหลือมาได้รวมทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคนพ่ะย่ะค่ะ” ออเตก้ารายงาน
“ดีแล้วๆ ฝากเจ้าช่วยหาที่พักและอาหารให้พวกเขาด้วย” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับออเตก้า มือข้างหนึ่งของพระองค์หนึ่งตบไหล่นายทหารเป็นการชื่นชม
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบเรียน” ออเตก้าเอ่ยขึ้นอีกครั้งสีหน้ามีกังวล
“ว่ามา” เจ้าชายตอบกลับใบหน้าเคร่งเครียด เช่นเดียวกับนายทหารที่ยืนอยู่รอบกายเจ้าชายต่างรอฟังใจจดใจจ่อ
“ทางทิศใต้ เส้นทางที่หน่วยลาดตระเวนของกระหม่อมได้ลงพื้นที่ เลยธารน้ำที่ไหลลงมาจากทิศตะวันออก พ้นภูเขาไปสองลูกลึกลงไปในซอกเหว
กระหม่อมเห็นขุมกำลังของพวกไพรทั่มได้ตั้งค่ายอยู่ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ นับจำนวนจากสายตา คาดว่าพวกมันมีไม่เกินเจ็ดร้อยถึงหนึ่งพันตนพ่ะย่ะค่ะ พวกมันตั้งค่ายไว้แน่นหนาราวกับรอคำสั่ง โจมตี” ออเตก้ารายงานจบ เหล่าทหารทั้งหลายต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดไปตามๆกัน
“มันเตรียมตัวทำสงครามกับเรา” คูสไนเอ่ยขึ้น แววตาพลันโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ข้าสงสัยอยู่นาน ฆ่ามันตายไปหลายตน เหตุใดมันมีกองกำลังเคยหนุนเนื่องอยู่เรื่อยไป ที่แท้มันตั้งค่ายอยู่ไม่ไกลจากเราเลย” กินฮอบส์เอ่ยเสริม
“มันส่งกองกำลังมาทำลายหมู่บ้านเข่นฆ่าผู้คนเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้แก่เรา รอเวลาจู่โจมใหญ่อีกครั้งเป็นแน่” มอร์สเอ่ยเสริมใบหน้าครุ่นคิดกังวลใจ
เจ้าชายฟาดาเฟียนิ่งฟังเหล่าทหาร ด้วยอาการที่เคร่งขรึมก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พวกมันมีกองกำลังที่พร้อมจะโจมตีเราได้ทุกเมื่อ แต่พวกมันยังไม่ทำ คงต้องรออะไรบ้างอย่างเป็นแน่ นี้ล่ะโอกาสของพวกเรา โจมตีมันก่อนที่มันจะโจมตีเรา พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม มอร์สจัดทัพทหารราบ คูสไนเจ้าจงไปจัดทัพทหารม้า และเจ้าออเตก้าเตรียมพลธนูให้พร้อม เราจะไปบุกพวกมัน”
เจ้าชายฟาดาเฟียสั่งแก่หัวหน้าเหล่าทหารทั้งสามนาย ทั้งสามกล่าว พ่ะย่ะค่ะพร้อมกันพลางกับโค้งตัวรับคำสั่ง แล้วทหารทุกนายต่างแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตน
เจ้าชายฟาดาเฟียสาวเท้าเดินเข้าสู่ปราสาท ทันทีที่เดินผ่านกลุ่มชาวบ้านมารดาและบิดาของเซเดอริกก็วิ่งมาดักหน้าพระองค์ ทั้งสองจับมือพระองค์ขึ้นมาเขย่าด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ได้ช่วยบุตรชายของข้าไว้ ขอบคุณท่านมากจริงๆ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยมือยังคงกุมมือเจ้าชายเขย่าไม่หยุดหย่อน
“ท่านจะให้ข้าตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร โปรดบอกมาเทอญข้ายินดีทำให้ท่านได้ทุกอย่าง” บิดาของเซเดอริกเอ่ยต่อจากภริยา จับกุมมือเจ้าชายไว้มั่น ศีรษะค้อมคำนับอยู่หลายครั้ง
“ท่านป้าท่านลุงมิต้องขอบคุณข้าดอกเป็นหน้าที่ของทหารที่ต้องปกป้องราษฎรอยู่แล้ว และข้าดีใจที่ท่านทั้งสองปลอดภัย” เจ้าชายฟาดาเฟียตอบกลับสองสามีภริยา
“ท่านพ่อท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ ท่านกำลังจับมือใครอยู่นั่น ทหารผู้นี้คือเจ้าชายนะขอรับ ” เซเดอริกเอ่ยเสียงดังบอกท่านทั้งสอง เมื่อได้ยินดั่งนั้นสองสามีภริยาถึงกับตกใจตาค้างผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อน ที่มารดาของเซเดอริกจะตะโกนพูดเสียงดัง เปล่งวาจาออกมาแต่ละคำติดๆขัดๆว่า
“เจ้าชาย โอ้ โอ้ ท่านเป็นเจ้าชายหรือนี่ โอ้โอ้ ข้าน้อย มิ –มิน่าเลย” แล้วทั้งสองก็รีบทรุดตัวนั่งคุกเข่า โค้งตัวก้มหน้าไปคำนับพื้นอยู่หลายที ด้วยความรู้สึกผิดที่ล่วงเกินเจ้าชายมากไป สองสามีภริยาคิดว่าเขาเป็นเพียงทหารนายหนึ่งเท่านั้น
“ขออภัย—องค์ชายข้า--กับภริยาไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ ถึงได้ –ถึงได้ ล่วงเกินพระองค์ยิ่งนัก” บิดาของเซเดอริกพูดติดอ่าง
“ลุกขึ้นเทอญท่านลุงท่านป้า อย่าได้เป็นกังวล ลุกขึ้นเทอญ” เจ้าชายฟาดาเฟียก้มตัวลง มือทั้งสองจับไหล่สองสามีภริยาให้ลุกขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวนี้อยู่ในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาทั้งหมดต่างทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าให้เจ้าชาย
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญเจ้าค่ะ” เสียงหญิงสาวสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วหลายคนก็พูดขึ้นอย่างพร้อมกันเสียงดังกึกก้องทั่วลานกว้างนั่น
“โอ้ เจ้าชายของข้า ท่านช่างกล้าหาญเหลือเกิน ขอพระองค์อายุมั่นขวัญยืนเทอญเจ้าค่ะ” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยเสริม
“ทุกท่านลุกขึ้นเทอญ เป็นหน้าที่ของข้าที่จักต้องช่วยท่านทั้งหลายให้อยู่รอดปลอดภัย ข้าเสียใจยิ่งนักที่ไม่อาจปกป้องหมู่บ้านของพวกท่านได้ ขอท่านทั้งหลายให้อภัยข้าด้วย”
เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยเสียงดัง พร้อมกับโค้งตัวทำความเคารพชาวบ้านที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ ทุกคนต่างตกใจและตื้นตันใจยิ่งนัก ชาวบ้านหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดห้าม
“พระองค์ทรงเป็นที่รักยิ่ง ขอพระองค์ทรงพระเจริญเทอญขอรับ” บิดาของเซเดอริกเอ่ย และทุกคนก็เอ่ยตามนั้น
“วันข้างหน้าบุตรชายของเจ้าจะได้เป็นทหารที่ยิ่งใหญ่ จักได้ทำคุณงามให้แก่บ้านเมืองสืบต่อไป” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับบิดาของเซเดอริก
“เจ้าพร้อมจะเป็นทหารหรือไม่ เซเดอริก” เจ้าชายหันมาพูดกับเด็กน้อย
“พร้อมขอรับ” เซเดอริกตอบเสียงดัง
“ดีมาก” เจ้าชายตอบพร้อมกับใช้มือตบไหล่เด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเซเดอริกคือทหารของข้า”
สิ้นเสียงเจ้าชาย เซเดอริกเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เขายิ้มจนแก้มจะปริ บิดาของเขากระโดดกอดบุตรชายอย่างภูมิใจ ในขณะที่มารดานั่งร้องห่มร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
*****
ภายในห้องบรรทมของพระราชาฟลอเรนเนีย มิคาไซเทียเรน วอเปอร์คิง บิดาของเจ้าชายฟาดาเฟีย แสงไฟจากเชิงเทียน สีเหลืองอ่อนสว่างไสวทั่วห้อง ร่างขาวซีดของพระราชานอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง พระองค์ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ดวงพระเนตรปิดสนิท ร่างกายเย็นเฉียบราวกับคนตายก็ไม่ปาน มีเพียงลมหายใจอันแผ่วเบา ที่ยังพอบอกให้รับรู้ได้ว่าพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่
องค์ราชินีไมร่าทรงนั่งอยู่ข้างเตียงผู้เป็นสวามี มองร่างที่อยู่ตรงด้วยหน้าใจสะทกสะท้านเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อเห็นผู้เป็นที่รักตกเป็นเจ้าชายนิทราเยี่ยงนี้
“นี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้วนะทาเรีย พระราชายังนอนไม่ยอมตื่น เราหวั่นใจยิ่งนักกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพระองค์จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยกับนางกำนัล ด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกระซิบ
“หม่อมฉันเชื่อมั่นว่าเหล่าทหารกล้าของเจ้าชายจะหาคัมภีร์สังหารจนเจอ แล้วใช้มันฆ่าจอมมารสูบวิญญาณให้ดับสิ้นซากไป ถึงเวลานั้นฝ่าพระบาทจะฟื้นขึ้นมาเพคะ” ทาเรียที่ยืนอยู่ปลายเตียงเอ่ยขึ้น
“ถ้าพวกเขาหา มันไม่เจอล่ะทาเรีย ถ้าจอมมารหามันเจอก่อนพวกเขาแล้วทำลายคัมภีร์ทิ้งเสีย ถึงเวลานั้นพระราชาจะเป็นอย่างไรเล่า” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง
“พวกเขาต้องทำสำเร็จเพคะ องค์ราชินีต้องมีความหวัง อย่าเพิ่งสิ้นหวังเป็นอันขาดนะเพคะ ยังพอมีเวลาอีกสิบเอ็ดวัน พวกเขาต้องหาคัมภีร์เจอ” ทาเรียเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่องค์ราชินี
องค์ราชินีไมร่าระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทรงหมดเรี่ยวแรง หลังจากที่พระองค์ทรงเฝ้าผู้เป็นสวามีจนไม่ได้หลับเต็มอิ่ม
“องค์ราชินี ทรงเสด็จไปพักผ่อนก่อนเทอญเพคะ คืนนี้หม่อมฉันจะเฝ้าฝ่าพระบาทเอง พระองค์ไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาหลายคืนแล้ว จะไม่สบายอีกคนนะเพคะ” ทาเรียเอ่ยขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากทาเรีย เราไม่เป็นไร เจ้าไปนอนก่อนเทอญ เราอยากอยู่กับสวามีของเรา” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยกับนางกำนัล สายตายังคงจับจ้องมองร่างพระสวามี
ทาเรียไม่ว่ากล่าวอันใด นางเพียงค้อมศีรษะทำความเคารพองค์ราชินี ก่อนจะหันกายก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ทาเรียเดินไปตามระเบียงหินอ่อนสีขาวที่ทอดยาวไปสู่ท้องพระโรง ตลอดระยะทางมีแสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างไสว
แสงสีเหลืองร่ำไรตกกระทบกับพื้นผนังสีขาว และเสาหินอ่อนแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ลวดลายประณีตวิจิตร ยิ่งทำให้ปราสาทมหาสมุทรดูน่าเกรงขาม ในขณะเดียวกันก็งดงามน่าหลงใหล แต่ทาเรียมิได้ชื่นชมความสวยงามระหว่างทางที่เดิน
ทาเรียในชุดอาภรณ์สีฟ้ารัดรูปกระโปรงยาวคลุมไปจนถึงปลายเท้า ผมม้วนเกล้าเก็บอย่างเรียบร้อย ใบหน้ารูปโฉมงดงาม แววตาเป็นประกายแต่ไม่อาจซ่อนความกังวลใจ ที่อยู่ในแววตาคู่นั้น หญิงสาวสาวก้าวเดินอย่างเร็ว เลี้ยวเข้าไปยังทางหนึ่งของมุมปราสาทก่อนที่จะไปถึงท้องพระโรง
หญิงสาวมีใบหน้าครุ่นคิดกังวลราวกับว่าจะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นที่นี้ ทาเรียเดินลัดเลาะตามระเบียงข้ามมายังอีกฝากฝั่งหนึ่งของปราสาท โดยไม่ทันเห็นว่าได้เดินสวนทางกับเจ้าชายฟาดาเฟียที่ทรงอยู่ในชุดทหาร ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ
เจ้าชายหันไปมองนางกำนัลที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบด้วยความฉงนสงสัย แล้วทรงแอบคลี่ยิ้มที่มุมปาก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเมินหน้าใส่พระองค์เยี่ยงนี้ พระองค์จึงแสร้งเดินตามหลังนางกำนัล ความคิดแว่บหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเจ้าชายฟาดาเฟีย มีความเป็นไปได้ที่นางกำนัลผู้นี้จะจำพระองค์ไม่ได้ เมื่อคิดได้แบบนี้พระองค์จึงคิดจะแกล้งนางกำนัลผู้นี้เล่น เสียหน่อย
เจ้าชายเอามือทั้งสองไขว้ไว้ข้างหลัง แล้วสาวเท้าก้าวเดินอย่างอารมณ์ดี พระองค์เดินตามนางกำนัลอย่างเงียบๆ
“เจ้าชายฟาดาเฟียจะทรงเดินตามหม่อมฉันมาทำไมหรือเพคะ” เสียงทาเรียเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองคนที่เดินอยู่ข้างหลัง นางเปลี่ยนจากเดินอย่างเร่งรีบเป็นช้าลง
“เจ้ารู้ ได้ไง เจ้ารู้ว่าเป็นเราตั้งแต่ตอนไหน” เจ้าชายฟาดาเฟียเผลอเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ คิดจะแกล้งนางกำนัลให้แปลกใจ แต่กลับเป็นพระองค์เองที่แปลกใจ
“ตั้งแต่ที่เดินสวนทางกับพระองค์นั่นล่ะเพคะ” ทาเรียหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าชาย นางค้อมศีรษะเพียงเล็กน้อย
“เจ้ารู้ว่าเป็นเรา เหตุใดไม่ทักทายกันเลย เราเป็นถึงเจ้าชายเชียวนะ เจ้านี้” เจ้าชายฟาดาเฟียคิดคำที่จะต่อว่านางกำนัลที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ออก แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่ตนถูกนางกำนัล นางนี้มองผ่าน
“หม่อมฉันรีบเพคะ อีกอย่างพระองค์ก็ทรงอยู่ในชุดทหาร หากหม่อมฉันทำเป็นไม่เห็นเสียแต่แรก ก็จะได้ไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้นโดยไม่ต้องหยุดเสวนาความยาวกับพระองค์ แสร้งเห็นพระองค์เป็นทหารคนหนึ่งเสียตั้งแต่แรกซะเลยเพคะ” ทาเรียเอ่ยจบก็แอบหัวเราะคิกในลำคอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนทำหน้าทำตาไม่พอพระทัย
“เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นคนที่ ไม่มีใครสนใจอยากเสวนาเสียแล้ว” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยติดตลก มือหนึ่งเกาหน้าตัวเองไปมา
“พระองค์ควรไปล้างหน้าเสียให้เรียบร้อยนะเพคะ”
“หากเจ้ามาช่วยล้างให้เรา จะเป็นการดีมาก” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ย มือยังคงเกาหน้าตัวเองไม่ยอมหยุด
“พระองค์ทาเองก็ทรงล้างเอง เทอญเพคะ หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”
*** ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร : ตอนที่ 8 องครักษ์พิทักษ์องค์ชาย ***
หน่วยลาดตระเวนของเจ้าชายฟาดาเฟียมาถึงปราสาทเป็นขบวนสุดท้าย สองหน่วยที่เหลือได้มายืนรอรับอยู่หน้าประตู ขบวนม้าของเจ้าชายฟาดาเฟียเคลื่อนตัวเข้ามาในปราสาท จนครบทั้งหมดประตูไม้แกะสลักก็ปิดลงทันที
ทหารนายหนึ่งวิ่งมาค้อมศีรษะให้เจ้าชายทันทีที่พระองค์ลงจากหลังม้า โดยทรงอุ้มเด็กชายเซเดอริกลงก่อน เจ้าชายหันไปมองกลุ่มชาวบ้านที่ยืนออกันอยู่เต็มลานโล่งกว้างถัดจากถนนไปเพียงเล็กน้อย และในกลุ่มชาวบ้านนั่นดูเหมือนจะมีบิดามารดาของเซเดอริกอยู่ด้วย เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาคนทั้งสอง สามพ่อแม่ลูกยืนกอดกันร้องไห้ เจ้าชายมองดูภาพสามคนนั่นอย่างคลายกังวล ก่อนจะหันมาทางทหาร นายทหารจึงรีบรายงานความทันที
“กระหม่อมเจอชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนี ไอ้พวกผีร้ายนั่นพ่ะย่ะค่ะ ได้ช่วยพวกเขากลับมาและสังหารพวกมันไปหลายตน หน่วยลาดตระเวนของท่านออเตก้าก็เจอกลุ่มชาวบ้านอีกกลุ่ม และก็ได้ช่วยพวกเขามาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนนามมอร์สรายงานแก่เจ้าชาย
ออเตก้าเดินสาวเท้าอย่างรวดเร็วผ่านชาวบ้านและเหล่าทหาร มุ่งตรงมาหาเจ้าชายฟาดาเฟีย เขาค้อมศีรษะให้พระองค์ก่อนรายงานความต่อจากมอร์ส
“มีชาวบ้านที่ช่วยเหลือมาได้รวมทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคนพ่ะย่ะค่ะ” ออเตก้ารายงาน
“ดีแล้วๆ ฝากเจ้าช่วยหาที่พักและอาหารให้พวกเขาด้วย” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับออเตก้า มือข้างหนึ่งของพระองค์หนึ่งตบไหล่นายทหารเป็นการชื่นชม
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบเรียน” ออเตก้าเอ่ยขึ้นอีกครั้งสีหน้ามีกังวล
“ว่ามา” เจ้าชายตอบกลับใบหน้าเคร่งเครียด เช่นเดียวกับนายทหารที่ยืนอยู่รอบกายเจ้าชายต่างรอฟังใจจดใจจ่อ
“ทางทิศใต้ เส้นทางที่หน่วยลาดตระเวนของกระหม่อมได้ลงพื้นที่ เลยธารน้ำที่ไหลลงมาจากทิศตะวันออก พ้นภูเขาไปสองลูกลึกลงไปในซอกเหว
กระหม่อมเห็นขุมกำลังของพวกไพรทั่มได้ตั้งค่ายอยู่ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ นับจำนวนจากสายตา คาดว่าพวกมันมีไม่เกินเจ็ดร้อยถึงหนึ่งพันตนพ่ะย่ะค่ะ พวกมันตั้งค่ายไว้แน่นหนาราวกับรอคำสั่ง โจมตี” ออเตก้ารายงานจบ เหล่าทหารทั้งหลายต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดไปตามๆกัน
“มันเตรียมตัวทำสงครามกับเรา” คูสไนเอ่ยขึ้น แววตาพลันโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ข้าสงสัยอยู่นาน ฆ่ามันตายไปหลายตน เหตุใดมันมีกองกำลังเคยหนุนเนื่องอยู่เรื่อยไป ที่แท้มันตั้งค่ายอยู่ไม่ไกลจากเราเลย” กินฮอบส์เอ่ยเสริม
“มันส่งกองกำลังมาทำลายหมู่บ้านเข่นฆ่าผู้คนเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้แก่เรา รอเวลาจู่โจมใหญ่อีกครั้งเป็นแน่” มอร์สเอ่ยเสริมใบหน้าครุ่นคิดกังวลใจ
เจ้าชายฟาดาเฟียนิ่งฟังเหล่าทหาร ด้วยอาการที่เคร่งขรึมก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พวกมันมีกองกำลังที่พร้อมจะโจมตีเราได้ทุกเมื่อ แต่พวกมันยังไม่ทำ คงต้องรออะไรบ้างอย่างเป็นแน่ นี้ล่ะโอกาสของพวกเรา โจมตีมันก่อนที่มันจะโจมตีเรา พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม มอร์สจัดทัพทหารราบ คูสไนเจ้าจงไปจัดทัพทหารม้า และเจ้าออเตก้าเตรียมพลธนูให้พร้อม เราจะไปบุกพวกมัน”
เจ้าชายฟาดาเฟียสั่งแก่หัวหน้าเหล่าทหารทั้งสามนาย ทั้งสามกล่าว พ่ะย่ะค่ะพร้อมกันพลางกับโค้งตัวรับคำสั่ง แล้วทหารทุกนายต่างแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตน
เจ้าชายฟาดาเฟียสาวเท้าเดินเข้าสู่ปราสาท ทันทีที่เดินผ่านกลุ่มชาวบ้านมารดาและบิดาของเซเดอริกก็วิ่งมาดักหน้าพระองค์ ทั้งสองจับมือพระองค์ขึ้นมาเขย่าด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ได้ช่วยบุตรชายของข้าไว้ ขอบคุณท่านมากจริงๆ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยมือยังคงกุมมือเจ้าชายเขย่าไม่หยุดหย่อน
“ท่านจะให้ข้าตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร โปรดบอกมาเทอญข้ายินดีทำให้ท่านได้ทุกอย่าง” บิดาของเซเดอริกเอ่ยต่อจากภริยา จับกุมมือเจ้าชายไว้มั่น ศีรษะค้อมคำนับอยู่หลายครั้ง
“ท่านป้าท่านลุงมิต้องขอบคุณข้าดอกเป็นหน้าที่ของทหารที่ต้องปกป้องราษฎรอยู่แล้ว และข้าดีใจที่ท่านทั้งสองปลอดภัย” เจ้าชายฟาดาเฟียตอบกลับสองสามีภริยา
“ท่านพ่อท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ ท่านกำลังจับมือใครอยู่นั่น ทหารผู้นี้คือเจ้าชายนะขอรับ ” เซเดอริกเอ่ยเสียงดังบอกท่านทั้งสอง เมื่อได้ยินดั่งนั้นสองสามีภริยาถึงกับตกใจตาค้างผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อน ที่มารดาของเซเดอริกจะตะโกนพูดเสียงดัง เปล่งวาจาออกมาแต่ละคำติดๆขัดๆว่า
“เจ้าชาย โอ้ โอ้ ท่านเป็นเจ้าชายหรือนี่ โอ้โอ้ ข้าน้อย มิ –มิน่าเลย” แล้วทั้งสองก็รีบทรุดตัวนั่งคุกเข่า โค้งตัวก้มหน้าไปคำนับพื้นอยู่หลายที ด้วยความรู้สึกผิดที่ล่วงเกินเจ้าชายมากไป สองสามีภริยาคิดว่าเขาเป็นเพียงทหารนายหนึ่งเท่านั้น
“ขออภัย—องค์ชายข้า--กับภริยาไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ ถึงได้ –ถึงได้ ล่วงเกินพระองค์ยิ่งนัก” บิดาของเซเดอริกพูดติดอ่าง
“ลุกขึ้นเทอญท่านลุงท่านป้า อย่าได้เป็นกังวล ลุกขึ้นเทอญ” เจ้าชายฟาดาเฟียก้มตัวลง มือทั้งสองจับไหล่สองสามีภริยาให้ลุกขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวนี้อยู่ในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาทั้งหมดต่างทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าให้เจ้าชาย
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญเจ้าค่ะ” เสียงหญิงสาวสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วหลายคนก็พูดขึ้นอย่างพร้อมกันเสียงดังกึกก้องทั่วลานกว้างนั่น
“โอ้ เจ้าชายของข้า ท่านช่างกล้าหาญเหลือเกิน ขอพระองค์อายุมั่นขวัญยืนเทอญเจ้าค่ะ” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยเสริม
“ทุกท่านลุกขึ้นเทอญ เป็นหน้าที่ของข้าที่จักต้องช่วยท่านทั้งหลายให้อยู่รอดปลอดภัย ข้าเสียใจยิ่งนักที่ไม่อาจปกป้องหมู่บ้านของพวกท่านได้ ขอท่านทั้งหลายให้อภัยข้าด้วย”
เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยเสียงดัง พร้อมกับโค้งตัวทำความเคารพชาวบ้านที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ ทุกคนต่างตกใจและตื้นตันใจยิ่งนัก ชาวบ้านหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดห้าม
“พระองค์ทรงเป็นที่รักยิ่ง ขอพระองค์ทรงพระเจริญเทอญขอรับ” บิดาของเซเดอริกเอ่ย และทุกคนก็เอ่ยตามนั้น
“วันข้างหน้าบุตรชายของเจ้าจะได้เป็นทหารที่ยิ่งใหญ่ จักได้ทำคุณงามให้แก่บ้านเมืองสืบต่อไป” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับบิดาของเซเดอริก
“เจ้าพร้อมจะเป็นทหารหรือไม่ เซเดอริก” เจ้าชายหันมาพูดกับเด็กน้อย
“พร้อมขอรับ” เซเดอริกตอบเสียงดัง
“ดีมาก” เจ้าชายตอบพร้อมกับใช้มือตบไหล่เด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเซเดอริกคือทหารของข้า”
สิ้นเสียงเจ้าชาย เซเดอริกเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เขายิ้มจนแก้มจะปริ บิดาของเขากระโดดกอดบุตรชายอย่างภูมิใจ ในขณะที่มารดานั่งร้องห่มร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
ภายในห้องบรรทมของพระราชาฟลอเรนเนีย มิคาไซเทียเรน วอเปอร์คิง บิดาของเจ้าชายฟาดาเฟีย แสงไฟจากเชิงเทียน สีเหลืองอ่อนสว่างไสวทั่วห้อง ร่างขาวซีดของพระราชานอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง พระองค์ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ดวงพระเนตรปิดสนิท ร่างกายเย็นเฉียบราวกับคนตายก็ไม่ปาน มีเพียงลมหายใจอันแผ่วเบา ที่ยังพอบอกให้รับรู้ได้ว่าพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่
องค์ราชินีไมร่าทรงนั่งอยู่ข้างเตียงผู้เป็นสวามี มองร่างที่อยู่ตรงด้วยหน้าใจสะทกสะท้านเจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อเห็นผู้เป็นที่รักตกเป็นเจ้าชายนิทราเยี่ยงนี้
“นี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้วนะทาเรีย พระราชายังนอนไม่ยอมตื่น เราหวั่นใจยิ่งนักกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพระองค์จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยกับนางกำนัล ด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกระซิบ
“หม่อมฉันเชื่อมั่นว่าเหล่าทหารกล้าของเจ้าชายจะหาคัมภีร์สังหารจนเจอ แล้วใช้มันฆ่าจอมมารสูบวิญญาณให้ดับสิ้นซากไป ถึงเวลานั้นฝ่าพระบาทจะฟื้นขึ้นมาเพคะ” ทาเรียที่ยืนอยู่ปลายเตียงเอ่ยขึ้น
“ถ้าพวกเขาหา มันไม่เจอล่ะทาเรีย ถ้าจอมมารหามันเจอก่อนพวกเขาแล้วทำลายคัมภีร์ทิ้งเสีย ถึงเวลานั้นพระราชาจะเป็นอย่างไรเล่า” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง
“พวกเขาต้องทำสำเร็จเพคะ องค์ราชินีต้องมีความหวัง อย่าเพิ่งสิ้นหวังเป็นอันขาดนะเพคะ ยังพอมีเวลาอีกสิบเอ็ดวัน พวกเขาต้องหาคัมภีร์เจอ” ทาเรียเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่องค์ราชินี
องค์ราชินีไมร่าระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทรงหมดเรี่ยวแรง หลังจากที่พระองค์ทรงเฝ้าผู้เป็นสวามีจนไม่ได้หลับเต็มอิ่ม
“องค์ราชินี ทรงเสด็จไปพักผ่อนก่อนเทอญเพคะ คืนนี้หม่อมฉันจะเฝ้าฝ่าพระบาทเอง พระองค์ไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาหลายคืนแล้ว จะไม่สบายอีกคนนะเพคะ” ทาเรียเอ่ยขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากทาเรีย เราไม่เป็นไร เจ้าไปนอนก่อนเทอญ เราอยากอยู่กับสวามีของเรา” องค์ราชินีไมร่าเอ่ยกับนางกำนัล สายตายังคงจับจ้องมองร่างพระสวามี
ทาเรียไม่ว่ากล่าวอันใด นางเพียงค้อมศีรษะทำความเคารพองค์ราชินี ก่อนจะหันกายก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ทาเรียเดินไปตามระเบียงหินอ่อนสีขาวที่ทอดยาวไปสู่ท้องพระโรง ตลอดระยะทางมีแสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างไสว
แสงสีเหลืองร่ำไรตกกระทบกับพื้นผนังสีขาว และเสาหินอ่อนแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ลวดลายประณีตวิจิตร ยิ่งทำให้ปราสาทมหาสมุทรดูน่าเกรงขาม ในขณะเดียวกันก็งดงามน่าหลงใหล แต่ทาเรียมิได้ชื่นชมความสวยงามระหว่างทางที่เดิน
ทาเรียในชุดอาภรณ์สีฟ้ารัดรูปกระโปรงยาวคลุมไปจนถึงปลายเท้า ผมม้วนเกล้าเก็บอย่างเรียบร้อย ใบหน้ารูปโฉมงดงาม แววตาเป็นประกายแต่ไม่อาจซ่อนความกังวลใจ ที่อยู่ในแววตาคู่นั้น หญิงสาวสาวก้าวเดินอย่างเร็ว เลี้ยวเข้าไปยังทางหนึ่งของมุมปราสาทก่อนที่จะไปถึงท้องพระโรง
หญิงสาวมีใบหน้าครุ่นคิดกังวลราวกับว่าจะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นที่นี้ ทาเรียเดินลัดเลาะตามระเบียงข้ามมายังอีกฝากฝั่งหนึ่งของปราสาท โดยไม่ทันเห็นว่าได้เดินสวนทางกับเจ้าชายฟาดาเฟียที่ทรงอยู่ในชุดทหาร ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ
เจ้าชายหันไปมองนางกำนัลที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบด้วยความฉงนสงสัย แล้วทรงแอบคลี่ยิ้มที่มุมปาก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเมินหน้าใส่พระองค์เยี่ยงนี้ พระองค์จึงแสร้งเดินตามหลังนางกำนัล ความคิดแว่บหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเจ้าชายฟาดาเฟีย มีความเป็นไปได้ที่นางกำนัลผู้นี้จะจำพระองค์ไม่ได้ เมื่อคิดได้แบบนี้พระองค์จึงคิดจะแกล้งนางกำนัลผู้นี้เล่น เสียหน่อย
เจ้าชายเอามือทั้งสองไขว้ไว้ข้างหลัง แล้วสาวเท้าก้าวเดินอย่างอารมณ์ดี พระองค์เดินตามนางกำนัลอย่างเงียบๆ
“เจ้าชายฟาดาเฟียจะทรงเดินตามหม่อมฉันมาทำไมหรือเพคะ” เสียงทาเรียเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองคนที่เดินอยู่ข้างหลัง นางเปลี่ยนจากเดินอย่างเร่งรีบเป็นช้าลง
“เจ้ารู้ ได้ไง เจ้ารู้ว่าเป็นเราตั้งแต่ตอนไหน” เจ้าชายฟาดาเฟียเผลอเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ คิดจะแกล้งนางกำนัลให้แปลกใจ แต่กลับเป็นพระองค์เองที่แปลกใจ
“ตั้งแต่ที่เดินสวนทางกับพระองค์นั่นล่ะเพคะ” ทาเรียหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าชาย นางค้อมศีรษะเพียงเล็กน้อย
“เจ้ารู้ว่าเป็นเรา เหตุใดไม่ทักทายกันเลย เราเป็นถึงเจ้าชายเชียวนะ เจ้านี้” เจ้าชายฟาดาเฟียคิดคำที่จะต่อว่านางกำนัลที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ออก แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่ตนถูกนางกำนัล นางนี้มองผ่าน
“หม่อมฉันรีบเพคะ อีกอย่างพระองค์ก็ทรงอยู่ในชุดทหาร หากหม่อมฉันทำเป็นไม่เห็นเสียแต่แรก ก็จะได้ไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้นโดยไม่ต้องหยุดเสวนาความยาวกับพระองค์ แสร้งเห็นพระองค์เป็นทหารคนหนึ่งเสียตั้งแต่แรกซะเลยเพคะ” ทาเรียเอ่ยจบก็แอบหัวเราะคิกในลำคอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนทำหน้าทำตาไม่พอพระทัย
“เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นคนที่ ไม่มีใครสนใจอยากเสวนาเสียแล้ว” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยติดตลก มือหนึ่งเกาหน้าตัวเองไปมา
“พระองค์ควรไปล้างหน้าเสียให้เรียบร้อยนะเพคะ”
“หากเจ้ามาช่วยล้างให้เรา จะเป็นการดีมาก” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ย มือยังคงเกาหน้าตัวเองไม่ยอมหยุด
“พระองค์ทาเองก็ทรงล้างเอง เทอญเพคะ หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”