ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน และขอส่งสัญญาณบอกกล่าวไปถึงท่านผู้อ่านไร้เงาทั้งหลายที่ไม่ประสงค์จะแสดงตนแต่กดโหวตให้ ขอบน้ำใจท่านยิ่งนักขอรับ ท่านช่างน่ารักเหลือเกิน ฮั่นแน่.. คงแปลกใจข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าใช้พลังจิตที่มีอยู่อย่างน้อยนิด จับคลื่นสัญญาณที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายส่งมานะขอรับ และขอบอกกล่าวกับใครที่เพิ่งไปอ่านในตอนที่หนึ่งถึงสาม อาจจะนั่งหัวเราะจนท้องแข็งกับความอ่อนหัดในการเขียนของข้าพเจ้า
และคำผิดที่มากมายก่ายกองเหลือเกินต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ ในสามตอนแรกนั้นข้าพเจ้าเขียนไว้ตั้งแต่ปี 50 ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ซึ่งประสบการณ์การอ่านของข้าพเจ้ายังน้อย ทักษะอ่านเขียนก็น่าหัวร่อ ย่ำแย่ยิ่งนักขอรับ ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาเริ่มต้นเขียนตอนที่สี่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 58 อาจจะดีขึ้นกว่าตอนแรกนิดหนึ่ง จึงใคร่ขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าผู้อ่านด้วยนะขอรับ หากแม้นเขียนจบข้าพเจ้าคงได้กลับไปแก้ไขในตอนแรกๆใหม่ ขอบน้ำใจท่านผู้อ่านทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอตัวไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะขอรับ โอย เมาเหล้าน่ะขอรับ ข้าพเจ้าไปนั่งกินเหล้ากับท่านไคลน์และท่านเรนมา ตอนนี้ท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้ว เมามากมาย โอย..เมา ส่วนท่านเฟรสทิ้งเพื่อนไปเที่ยวกับสาวเสียแล้ว ….. อ่านให้สนุกครื้นเครงบันเทิงใจนะขอรับ สวัสดี บ๊ายบาย…
**********************
ตอนที่ 10 บุรุษหนุ่มผู้อยู่ในดินแดนห่างไกล
นภดล ยูได อาซากุระ เคเอกิ
พญาอินทรีโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งพร้อมม้วนจดหมายเล็กๆถูกผูกติดไว้ที่ขาของมัน เหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียต่างยืนมองเจ้าวิหคตัวใหญ่ โผบินจากไปด้วยใจเป็นห่วง หวังให้มันนำจดหมายไปส่งถึงผู้รับให้จงได้ เพราะพวกเขาจำเป็นจะต้องแจ้งให้เจ้าชายฟาดาเฟียทราบถึงแผนการเดินทางที่จะต้องเปลี่ยนไป
“พวกท่านอย่าได้ห่วงเลย พญาอินทรีตนนี้เอาตัวรอดได้ดี มันจะนำจดหมายไปส่งถึงเจ้าชายฟาดาเฟียได้อย่างแน่นอน” เจ้าหญิงทอรีเนียบอกกับทุกคนที่ดูจะมีสีหน้ากังวลกันยิ่งนัก
“ขอบพระทัยเพคะ” ไฟย่าเอ่ยขึ้น หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้เจ้าหญิงทอรีเนีย
เจ้าหญิงทอรีเนียเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยความได้ นั้นจึงได้ทำให้เหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียระบายลมหายใจอย่างหมดกังวล และต่างแยกย้ายไปกันไปเดินสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้
ไคลน์และเรนเดินตรงลัดเลาะไปยังท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นลานกว้างไว้สำหรับ ใช้เป็นที่ฝึกวิชาการต่อสู้ของเหล่าชาวบ้าน ทั้งสองมองเห็นกลุ่มบุรุษวัยฉกรรจ์สองคนกำลังปะทะดาบกันอยู่ ส่วนอีกสามคนยืนดูอยู่ไม่ห่าง จากลานประลอง
ไคลน์และเรนยืนดู การต่อสู้ของทั้งสองด้วยเช่นกัน พวกเขายืนดูอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างๆลานประลอง ไคลน์ยืนกอดอก ส่วนเรนเอามือไขว้หลัง สายตานิ่งมองทั้งสองต่อสู้กันด้วยใจครื้นเครง แล้วเอ่ยขึ้นกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆว่า
“ท่านว่าใครจะชนะ”
“งานนี้มีสูสีดูจากฝีมือทั้งสองแล้ว ไม่เบาทีเดียว”
ไคลน์เอ่ยขึ้นสายตายังจับจ้องไปที่ภาพการต่อสู้ของชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองต่างสลับดาบฟาดฟันเข้าใส่กัน ชายหนึ่งที่รูปร่างสูงใหญ่ตั้งรับดาบจากชายอีกคนที่มีรูปร่างอวบอ้วนแต่การเคลื่อนไหวร่างกายกลับทำได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้คนที่ยืนดูอยู่ถึงกับทึ่ง ในท่วงท่าการเคลื่อนตัวหลบหลีกของชายร่างอ้วนนั้น
“ข้าว่าเจ้าตัวใหญ่ชนะ” เรนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พนันกันได้เลย ข้าว่าเจ้าตัวอ้วนนั้นชนะแน่นอน” ไคลน์เอ่ยตอบ
“ฮ่าฮ่า งานนี้ใครแพ้พนันต้องเลี้ยงเหล้าแล้วล่ะ” เรนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“ท่านเตรียมตัว เลี้ยงเหล้าข้าได้เลย”
“พวกท่านเล่นพนันอะไรกันอยู่ละ ข้าเล่นด้วย ไอ้อ้วนชนะแน่” เทพจิ๋วยาเอิ้งเอ่ยขึ้น ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มทั้งสอง พร้อมกับเทพจิ๋วอีกสองคนคือคูไซ และมักเวย์
“ท่านอย่าได้พูดไป ข้าว่าไอ้ร่างใหญ่ชนะขาด” คราวนี้มักเวย์เอ่ยขึ้นบ้าง น้ำเสียงแสดงความมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง
ไคลน์กับเรนได้แต่ก้มลงมองเทพจิ๋วทั้งสามพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มหน่อยๆ
“สองต่อสอง ท่านละคูไซ ว่าอย่างไรท่านคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในการประลองครั้งนี้” เรนเอ่ยถาม
“ดูเก่งกาจและดุดันกันทั้งสองฝ่าย ยากนัก ยากนัก” คูไซเอ่ยคล้ายครุ่นคิดเรื่องราวใหญ่โต เขาใช้มือลูบครางตัวเองไปมา
“ท่านอย่าลีลาหน่อยเลย แท้ที่จริงแล้วดูไม่ออกระมัง” มักเวย์เอ่ยหยอกล้อเพื่อน พลางแค่นหัวร่อในลำคอ และนั้นก็พลอยให้คนอื่นต่างหัวเราะตาม
“พวกท่านอย่าเร่งข้า ข้ากำลังพิจารณาอยู่”
“โอ๊ย..ไม่ต้องพิจารจง พิจารณาแล้ว เห็นท่าว่าไอ้อ้วนจะชนะแล้วนั้น รอท่านยืนพิจารณาก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี” ยาเอิ้งเอ่ยขึ้น
ไม่นานก็ต่อสู้ก็ดูจะดุเดือดขึ้น ชายร่างใหญ่กระโดดดีดตัวลอยสูงขึ้นก่อนจะแกว่งตวัดดาบฟาดฟันลงมากลางศีรษะชายร่างอ้วน ชายร่างอ้วนรับรู้การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้อย่างดี จึงใช้ดาบของตัวเองตั้งรับก่อนจะดันดาบคู่ต่อสู้ออกไป แล้วเขาก็กระหน่ำฟันดาบใส่ชายร่างใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ชายร่างใหญ่ทำได้เพียงถอยหลังตั้งรับอย่างเดียว ด้วยการเดินถอยอย่างรวดเร็วจึงทำให้ชายร่างใหญ่เสียหลักสะดุดขาตนเองล้มลงนั่งลงกันพื้น
“เย้..ข้าชนะแล้ว” ชายร่างอ้วนตะโกนก้องด้วยความพออกพอใจ พร้อมชูดาบที่มือขึ้นเหนือหัว
“ใช่ ท่านชนะแล้ว ท่านนาซูด” ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ที่พื้นเอ่ยขึ้น นาซูดได้ฟังดั่งนั้นยิ่งพอใจนัก เขายื่นมือไปดึงเพื่อนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น
“ท่านก็ฝีมือไม่เบา ท่านบิล เพียงแต่ท่านดันสะดุดขาตัวเองล้มเท่านั้น งานนี้เลยเป็นข้าที่ต้องกุมชัยล่ะนะ” นาซูดเอ่ยพลางกับใช้มือตบที่ไหล่เพื่อนเบาๆ
“ฮ่า ฮ่า” บิลหัวเราะร่าอย่างสบายอารมณ์ยอมรับในความพ่ายแพ้ของตัวเองแต่โดยดี
“พวกท่าน เดินทางมากับคณะเดินทางของเจ้าหญิงทอรีเนียใช่หรือไม่” จามัสชี้มาทางไคลน์กับเรนและเหล่าเทพจิ๋วที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ทั้งหมดยิ้มตอบรับจามัสพร้อมกัน
“ท่านเตรียมตัวเลี้ยงเหล้าข้าเลย” ไคลน์กระซิบบอกเรนเบาๆ ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินตรงมายังชายฉกรรจ์ทั้งห้าซึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา
“ใช่แล้ว” เรนเอ่ยตอบรับเสียงดัง
“เกิดมาข้าเพิ่งเคยเห็นเทพจิ๋ว ก็ครั้งนี้ละ ไม่คิดว่าพวกท่านจะตัวเล็กราวกับเด็กเพียงนี้” นาซูดเอ่ย
“ท่านว่าใครเป็นเป็นเด็ก ชักดาบออกมา” ยาเอิ้งเอ่ยเสียงดังพร้อมชี้ดาบอันเล็กไปทางนาซูด
“เอาละซิ งานเข้าท่านแล้วละ” ไคลน์เอ่ยกับนาซูด น้ำเสียงปนหัวเราะไปด้วย เขาพอรู้จักพวกเทพจิ๋วดี พวกนี้ไม่ค่อยชอบนักหากใครเรียกพวกเขาว่าเด็ก
“เอ่อ ออ ข้าพูดเล่นนะท่าน ข้าหาได้ว่าท่านเป็นเด็กไม่” นาซูดรีบเอ่ยแก้ตัว ยังไม่อยากสู้รบตบมือกับพวกเทพจิ๋ว
“ฝีมือท่านทั้งสองไม่เบาทีเดียว เพลงดาบดุดันแลคล่องแคล่วนัก” เรนเอ่ยกับเหล่าชายฉกรรจ์
“นั้นเพราะท่านบาคอสช่วยสอนพวกเรา พวกเราก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาจับดาบ เพื่อปกป้องหมู่บ้านของเราไว้ จากพวกผีร้ายเหล่านั้น มันฆ่าคนของเราไปมากทีเดียว พวกที่เหลืออยู่นี้ก็อยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ไอ้พวกผีร้ายนั้นจะบุกมาเมื่อไร เราจำต้องมีวิชาต่อสู้เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง” ชายฉกรรจ์นามนาร์ดเบิร์กเอ่ยขึ้น มีแววตาเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงกลับเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัว
“พวกมันฆ่าลูกเมียข้า ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น” นาร์ดเบิร์กเอ่ยต่อ คราวนี้แววตากลับเกรี้ยวโกรธน่ากลัว
“คงต้องพึ่งพวกท่านแล้วละ หากพวกท่านสังหารจอมมาร ได้บ้านเมืองเราก็จะกลับมาสงบสุขดั่งเดิม” นาซูดเอ่ยกับพวกเขา
“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” คูไซเป็นผู้เอ่ยตอบ
“ใครอยากประลองดาบกับข้าหน่อยไหม ข้าขอลองดูฝีมือเหล่าทหารกล้าหน่อยซิ ว่าจะร้ายกาจสักเพียงใด” นาร์ดเบิร์กเอ่ยท้าทาย
ไคลเรนเข้าใจสัญญาณนั้น เขายักไหล่ให้ไคลน์หนึ่งทีก่อนจะดึงดาบออกจากฝัก มือกุมดาบไว้มั่น แล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ลานประลอง ตามด้วยนาร์ดเบิร์กเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรน เสียงเชียร์ทั้งสองฝ่ายดังกึกก้องทั่วลานประลอง
จามัสใช้ดาบตีกับโล่เหล็กเพื่อสร้างความครื้นเครง และสร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายของตน และบางคนก็ใช้ดาบสองเล่มตีกระทบกัน จนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น คล้ายกับเป็นการลั่นกลองรบก็ไม่ปาน
ในส่วนฝ่ายของเรนก็ไม่น้อยหน้า มียาเอิ้ง มักเวย์ คูไซต่างส่งเสียงร้องตะโกนเชียร์เรน พร้อมกับผิวปาก
“เอาให้หนักไปเลยท่านเรน” มักเวย์ตะโกนบอก
“อย่าให้เสียชื่อทหารนะเว้ยไอ้เสือ” เสียงของไคลน์ตะโกนสมทบอีกทีหนึ่ง
เสียงกองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มจนทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มทยอยกันเดินมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ ลานประลองจึงเริ่มคร่าคร่ำไปด้วยผู้คน แม้แต่เฟรสกับแอนนาก็มายืนดูด้วย ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกับไคลน์ ไคลน์เมื่อมองเห็นคู่หูมากับสาวก็อดที่จะอมยิ้มเสียมิได้ “ไม่เบาเลยนะท่านเฟรส” ไคลน์เอ่ยกับตัวคนเดียว
และการประลองดาบก็เริ่มขึ้น….
ฝ่ายบุกคือนาร์ดเบิร์กที่เดินตวัดดาบฟาดฟันใส่เรน เรนแกว่งดาบต้านรับไว้ฉับพลัน เสียงดาบสองเล่มกระทบใส่กันส่งเสียงดัง เคร็ง เคร้ง และดังติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อการปะทะดาบเริ่มดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่ยืนดูอยู่ต่อส่งร้องเชียร์อย่างสนุกสนาน บางคนชูไม้ชูมือโห่ร้อง เมื่อเห็นนาร์ดเบิร์กได้เปรียบเรน
แต่ก็เป็นไปได้เพียงไม่นาน เรนก็สวนกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ กระบวนท่าฟาดฟันดาบของเรนเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่ เลือดในกายของชายหนุ่มก็พลันสูบฉีดเดือดพล่าน พร้อมห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
*** ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร : ตอนที่ 10 บุรุษหนุ่มผู้อยู่ในดินแดนห่างไกล ***
ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน และขอส่งสัญญาณบอกกล่าวไปถึงท่านผู้อ่านไร้เงาทั้งหลายที่ไม่ประสงค์จะแสดงตนแต่กดโหวตให้ ขอบน้ำใจท่านยิ่งนักขอรับ ท่านช่างน่ารักเหลือเกิน ฮั่นแน่.. คงแปลกใจข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าใช้พลังจิตที่มีอยู่อย่างน้อยนิด จับคลื่นสัญญาณที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายส่งมานะขอรับ และขอบอกกล่าวกับใครที่เพิ่งไปอ่านในตอนที่หนึ่งถึงสาม อาจจะนั่งหัวเราะจนท้องแข็งกับความอ่อนหัดในการเขียนของข้าพเจ้า
และคำผิดที่มากมายก่ายกองเหลือเกินต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ ในสามตอนแรกนั้นข้าพเจ้าเขียนไว้ตั้งแต่ปี 50 ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ซึ่งประสบการณ์การอ่านของข้าพเจ้ายังน้อย ทักษะอ่านเขียนก็น่าหัวร่อ ย่ำแย่ยิ่งนักขอรับ ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาเริ่มต้นเขียนตอนที่สี่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 58 อาจจะดีขึ้นกว่าตอนแรกนิดหนึ่ง จึงใคร่ขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าผู้อ่านด้วยนะขอรับ หากแม้นเขียนจบข้าพเจ้าคงได้กลับไปแก้ไขในตอนแรกๆใหม่ ขอบน้ำใจท่านผู้อ่านทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอตัวไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะขอรับ โอย เมาเหล้าน่ะขอรับ ข้าพเจ้าไปนั่งกินเหล้ากับท่านไคลน์และท่านเรนมา ตอนนี้ท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้ว เมามากมาย โอย..เมา ส่วนท่านเฟรสทิ้งเพื่อนไปเที่ยวกับสาวเสียแล้ว ….. อ่านให้สนุกครื้นเครงบันเทิงใจนะขอรับ สวัสดี บ๊ายบาย…
พญาอินทรีโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งพร้อมม้วนจดหมายเล็กๆถูกผูกติดไว้ที่ขาของมัน เหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียต่างยืนมองเจ้าวิหคตัวใหญ่ โผบินจากไปด้วยใจเป็นห่วง หวังให้มันนำจดหมายไปส่งถึงผู้รับให้จงได้ เพราะพวกเขาจำเป็นจะต้องแจ้งให้เจ้าชายฟาดาเฟียทราบถึงแผนการเดินทางที่จะต้องเปลี่ยนไป
“พวกท่านอย่าได้ห่วงเลย พญาอินทรีตนนี้เอาตัวรอดได้ดี มันจะนำจดหมายไปส่งถึงเจ้าชายฟาดาเฟียได้อย่างแน่นอน” เจ้าหญิงทอรีเนียบอกกับทุกคนที่ดูจะมีสีหน้ากังวลกันยิ่งนัก
“ขอบพระทัยเพคะ” ไฟย่าเอ่ยขึ้น หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้เจ้าหญิงทอรีเนีย
เจ้าหญิงทอรีเนียเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยความได้ นั้นจึงได้ทำให้เหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียระบายลมหายใจอย่างหมดกังวล และต่างแยกย้ายไปกันไปเดินสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้
ไคลน์และเรนเดินตรงลัดเลาะไปยังท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นลานกว้างไว้สำหรับ ใช้เป็นที่ฝึกวิชาการต่อสู้ของเหล่าชาวบ้าน ทั้งสองมองเห็นกลุ่มบุรุษวัยฉกรรจ์สองคนกำลังปะทะดาบกันอยู่ ส่วนอีกสามคนยืนดูอยู่ไม่ห่าง จากลานประลอง
ไคลน์และเรนยืนดู การต่อสู้ของทั้งสองด้วยเช่นกัน พวกเขายืนดูอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างๆลานประลอง ไคลน์ยืนกอดอก ส่วนเรนเอามือไขว้หลัง สายตานิ่งมองทั้งสองต่อสู้กันด้วยใจครื้นเครง แล้วเอ่ยขึ้นกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆว่า
“ท่านว่าใครจะชนะ”
“งานนี้มีสูสีดูจากฝีมือทั้งสองแล้ว ไม่เบาทีเดียว”
ไคลน์เอ่ยขึ้นสายตายังจับจ้องไปที่ภาพการต่อสู้ของชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองต่างสลับดาบฟาดฟันเข้าใส่กัน ชายหนึ่งที่รูปร่างสูงใหญ่ตั้งรับดาบจากชายอีกคนที่มีรูปร่างอวบอ้วนแต่การเคลื่อนไหวร่างกายกลับทำได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้คนที่ยืนดูอยู่ถึงกับทึ่ง ในท่วงท่าการเคลื่อนตัวหลบหลีกของชายร่างอ้วนนั้น
“ข้าว่าเจ้าตัวใหญ่ชนะ” เรนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พนันกันได้เลย ข้าว่าเจ้าตัวอ้วนนั้นชนะแน่นอน” ไคลน์เอ่ยตอบ
“ฮ่าฮ่า งานนี้ใครแพ้พนันต้องเลี้ยงเหล้าแล้วล่ะ” เรนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“ท่านเตรียมตัว เลี้ยงเหล้าข้าได้เลย”
“พวกท่านเล่นพนันอะไรกันอยู่ละ ข้าเล่นด้วย ไอ้อ้วนชนะแน่” เทพจิ๋วยาเอิ้งเอ่ยขึ้น ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มทั้งสอง พร้อมกับเทพจิ๋วอีกสองคนคือคูไซ และมักเวย์
“ท่านอย่าได้พูดไป ข้าว่าไอ้ร่างใหญ่ชนะขาด” คราวนี้มักเวย์เอ่ยขึ้นบ้าง น้ำเสียงแสดงความมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง
ไคลน์กับเรนได้แต่ก้มลงมองเทพจิ๋วทั้งสามพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มหน่อยๆ
“สองต่อสอง ท่านละคูไซ ว่าอย่างไรท่านคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในการประลองครั้งนี้” เรนเอ่ยถาม
“ดูเก่งกาจและดุดันกันทั้งสองฝ่าย ยากนัก ยากนัก” คูไซเอ่ยคล้ายครุ่นคิดเรื่องราวใหญ่โต เขาใช้มือลูบครางตัวเองไปมา
“ท่านอย่าลีลาหน่อยเลย แท้ที่จริงแล้วดูไม่ออกระมัง” มักเวย์เอ่ยหยอกล้อเพื่อน พลางแค่นหัวร่อในลำคอ และนั้นก็พลอยให้คนอื่นต่างหัวเราะตาม
“พวกท่านอย่าเร่งข้า ข้ากำลังพิจารณาอยู่”
“โอ๊ย..ไม่ต้องพิจารจง พิจารณาแล้ว เห็นท่าว่าไอ้อ้วนจะชนะแล้วนั้น รอท่านยืนพิจารณาก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี” ยาเอิ้งเอ่ยขึ้น
ไม่นานก็ต่อสู้ก็ดูจะดุเดือดขึ้น ชายร่างใหญ่กระโดดดีดตัวลอยสูงขึ้นก่อนจะแกว่งตวัดดาบฟาดฟันลงมากลางศีรษะชายร่างอ้วน ชายร่างอ้วนรับรู้การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้อย่างดี จึงใช้ดาบของตัวเองตั้งรับก่อนจะดันดาบคู่ต่อสู้ออกไป แล้วเขาก็กระหน่ำฟันดาบใส่ชายร่างใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ชายร่างใหญ่ทำได้เพียงถอยหลังตั้งรับอย่างเดียว ด้วยการเดินถอยอย่างรวดเร็วจึงทำให้ชายร่างใหญ่เสียหลักสะดุดขาตนเองล้มลงนั่งลงกันพื้น
“เย้..ข้าชนะแล้ว” ชายร่างอ้วนตะโกนก้องด้วยความพออกพอใจ พร้อมชูดาบที่มือขึ้นเหนือหัว
“ใช่ ท่านชนะแล้ว ท่านนาซูด” ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ที่พื้นเอ่ยขึ้น นาซูดได้ฟังดั่งนั้นยิ่งพอใจนัก เขายื่นมือไปดึงเพื่อนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น
“ท่านก็ฝีมือไม่เบา ท่านบิล เพียงแต่ท่านดันสะดุดขาตัวเองล้มเท่านั้น งานนี้เลยเป็นข้าที่ต้องกุมชัยล่ะนะ” นาซูดเอ่ยพลางกับใช้มือตบที่ไหล่เพื่อนเบาๆ
“ฮ่า ฮ่า” บิลหัวเราะร่าอย่างสบายอารมณ์ยอมรับในความพ่ายแพ้ของตัวเองแต่โดยดี
“พวกท่าน เดินทางมากับคณะเดินทางของเจ้าหญิงทอรีเนียใช่หรือไม่” จามัสชี้มาทางไคลน์กับเรนและเหล่าเทพจิ๋วที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ทั้งหมดยิ้มตอบรับจามัสพร้อมกัน
“ท่านเตรียมตัวเลี้ยงเหล้าข้าเลย” ไคลน์กระซิบบอกเรนเบาๆ ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินตรงมายังชายฉกรรจ์ทั้งห้าซึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา
“ใช่แล้ว” เรนเอ่ยตอบรับเสียงดัง
“เกิดมาข้าเพิ่งเคยเห็นเทพจิ๋ว ก็ครั้งนี้ละ ไม่คิดว่าพวกท่านจะตัวเล็กราวกับเด็กเพียงนี้” นาซูดเอ่ย
“ท่านว่าใครเป็นเป็นเด็ก ชักดาบออกมา” ยาเอิ้งเอ่ยเสียงดังพร้อมชี้ดาบอันเล็กไปทางนาซูด
“เอาละซิ งานเข้าท่านแล้วละ” ไคลน์เอ่ยกับนาซูด น้ำเสียงปนหัวเราะไปด้วย เขาพอรู้จักพวกเทพจิ๋วดี พวกนี้ไม่ค่อยชอบนักหากใครเรียกพวกเขาว่าเด็ก
“เอ่อ ออ ข้าพูดเล่นนะท่าน ข้าหาได้ว่าท่านเป็นเด็กไม่” นาซูดรีบเอ่ยแก้ตัว ยังไม่อยากสู้รบตบมือกับพวกเทพจิ๋ว
“ฝีมือท่านทั้งสองไม่เบาทีเดียว เพลงดาบดุดันแลคล่องแคล่วนัก” เรนเอ่ยกับเหล่าชายฉกรรจ์
“นั้นเพราะท่านบาคอสช่วยสอนพวกเรา พวกเราก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาจับดาบ เพื่อปกป้องหมู่บ้านของเราไว้ จากพวกผีร้ายเหล่านั้น มันฆ่าคนของเราไปมากทีเดียว พวกที่เหลืออยู่นี้ก็อยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ไอ้พวกผีร้ายนั้นจะบุกมาเมื่อไร เราจำต้องมีวิชาต่อสู้เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง” ชายฉกรรจ์นามนาร์ดเบิร์กเอ่ยขึ้น มีแววตาเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงกลับเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัว
“พวกมันฆ่าลูกเมียข้า ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น” นาร์ดเบิร์กเอ่ยต่อ คราวนี้แววตากลับเกรี้ยวโกรธน่ากลัว
“คงต้องพึ่งพวกท่านแล้วละ หากพวกท่านสังหารจอมมาร ได้บ้านเมืองเราก็จะกลับมาสงบสุขดั่งเดิม” นาซูดเอ่ยกับพวกเขา
“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” คูไซเป็นผู้เอ่ยตอบ
“ใครอยากประลองดาบกับข้าหน่อยไหม ข้าขอลองดูฝีมือเหล่าทหารกล้าหน่อยซิ ว่าจะร้ายกาจสักเพียงใด” นาร์ดเบิร์กเอ่ยท้าทาย
ไคลเรนเข้าใจสัญญาณนั้น เขายักไหล่ให้ไคลน์หนึ่งทีก่อนจะดึงดาบออกจากฝัก มือกุมดาบไว้มั่น แล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ลานประลอง ตามด้วยนาร์ดเบิร์กเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรน เสียงเชียร์ทั้งสองฝ่ายดังกึกก้องทั่วลานประลอง
จามัสใช้ดาบตีกับโล่เหล็กเพื่อสร้างความครื้นเครง และสร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายของตน และบางคนก็ใช้ดาบสองเล่มตีกระทบกัน จนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น คล้ายกับเป็นการลั่นกลองรบก็ไม่ปาน
ในส่วนฝ่ายของเรนก็ไม่น้อยหน้า มียาเอิ้ง มักเวย์ คูไซต่างส่งเสียงร้องตะโกนเชียร์เรน พร้อมกับผิวปาก
“เอาให้หนักไปเลยท่านเรน” มักเวย์ตะโกนบอก
“อย่าให้เสียชื่อทหารนะเว้ยไอ้เสือ” เสียงของไคลน์ตะโกนสมทบอีกทีหนึ่ง
เสียงกองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มจนทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มทยอยกันเดินมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ ลานประลองจึงเริ่มคร่าคร่ำไปด้วยผู้คน แม้แต่เฟรสกับแอนนาก็มายืนดูด้วย ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกับไคลน์ ไคลน์เมื่อมองเห็นคู่หูมากับสาวก็อดที่จะอมยิ้มเสียมิได้ “ไม่เบาเลยนะท่านเฟรส” ไคลน์เอ่ยกับตัวคนเดียว
และการประลองดาบก็เริ่มขึ้น….
ฝ่ายบุกคือนาร์ดเบิร์กที่เดินตวัดดาบฟาดฟันใส่เรน เรนแกว่งดาบต้านรับไว้ฉับพลัน เสียงดาบสองเล่มกระทบใส่กันส่งเสียงดัง เคร็ง เคร้ง และดังติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อการปะทะดาบเริ่มดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่ยืนดูอยู่ต่อส่งร้องเชียร์อย่างสนุกสนาน บางคนชูไม้ชูมือโห่ร้อง เมื่อเห็นนาร์ดเบิร์กได้เปรียบเรน
แต่ก็เป็นไปได้เพียงไม่นาน เรนก็สวนกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ กระบวนท่าฟาดฟันดาบของเรนเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่ เลือดในกายของชายหนุ่มก็พลันสูบฉีดเดือดพล่าน พร้อมห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า