[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขออภัยท่านผู้ที่ติดตามศึกป่วน ห่างหายไปนานเหลือเกิน
กลับมาครั้งนี้ ขอนำตอนที่หนึ่งมาลงอีกครั้งนะคะ ซึ่งผู้เขียนได้แก้ไขใหม่
และจะนำตอนที่หนึ่งถึงตอนที่สามซึ่งเป็นสามตอนที่ผู้เขียน
เขียนได้แย่มากๆเข้าขั้นห่วยขั้นเทพ อ่านทีไรอับอายทุกที
ผู้เขียนจึงปรับปรุงแก้ไขสามตอนแรกใหม่ และจะทยอยนำมาให้ท่านผู้ท่านได้
อ่านแนะนำติชมนะคะ จะลงเฉพาะสามตอนแรกที่แก้ไขใหม่ค่ะ
ในส่วนของตอนอื่นๆจะลงต่อไปตามปกติค่ะ
สำหรับตอนที่ 12 ขอพ้นสิ้นเดือนมกราคมไปก่อนนะคะ ผู้เขียนจึงจะได้มาลงให้อ่าน ยังไม่มีเวลาเขียนจริงๆจังๆ
ช่วงนี้คงแก้ไขได้เฉพาะสามตอนแรกก่อนค่ะ
หากพบเห็นคำผิดสะกิดบอกได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ในการนี้ขอแนบนามปากกามาด้วยนอนคิดตั้งสามปีเลยนะเนี่ย อิอิ ล้อเล่นค่ะ สามนาทีต่างหาก ฮ่าๆ
เจ้าหญิงทอรีเนีย
เรื่อง : ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร
โดย : ป.เจิดจรัส
=================
ตอนที่ 1 ปราสาทเทพจิ๋ว
ปราสาทแห่งหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยเถาวัลย์เลื้อยปกคลุมทุกหย่อมหญ้า ลักษณะของตัวปราสาทมีรูปทรงที่ประหลาดแตกต่างไปจากปราสาทโดยทั่วไป มองดูจากภายนอกคล้ายดอกบัวตูมขนาดใหญ่หลายสิบดอกแผ่กระจายกินพื้นที่ออกไปกว้างขวาง บางตัวปราสาทก็มีสามชั้นสี่ชั้นโดยเหมือนเอาดอกบัวตูมซ้อนทับกันขึ้นไป ทุกตัวปราสาทถูกสร้างมาจากหินอ่อนและถูกทาสีด้วยสีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีแดงและน้ำตาล มองดูคล้ายทุ่งดอกบัวที่ถูกเนรมิตขึ้นมาท่ามกลางป่าใหญ่
ประตูทางเข้าตัวปราสาทแกะสลักเป็นรูปปากจระเข้ที่กำลังอ้าปากเผยให้เห็นฟันเขี้ยวแหลมคม สายตาของจระเข้จ้องมองถมึนตึงลงมาเบื้องล่างราวกับคอยเป็นยามเฝ้าประตู จับตาดูการเคลื่อนของผู้ไม่หวังดีที่จะย่างกรายเข้ามาในปราสาท และพร้อมเขมือบมันผู้นั้นทันที
ไคลน์บุรุษหนุ่มวัยสิบเก้าย่างยี่สิบ รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา นัยน์ตาเป็นประกายสีน้ำตาลเข้มซุกซ่อนความขี้เล่นไว้ในแววตาคมขริบนั้น เขาสาวก้าวเดินเข้าไปในปราสาทด้วยหัวใจระทึกสยองเกล้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ย่างก้าวที่เขาบรรจงประทับลงบนพื้นอิฐซึ่งทอดยาวเข้าไปในตัวประสาทก็ทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้แทบจะหยุดหายใจไปเสียมิได้
เพียงแค่เห็นที่เขามองประตูทางเข้าอันไม่น่าภิรมย์ก็ทำให้ไม่กล้าสาวเท้าเดินต่อไป แลแต่ละการก้าวเท้าเดินมันช่างแสนจะยากเย็นสำหรับเขาขึ้นมาทุกขณะ ราวกับขาทั้งสองข้างกำลังถูกตอกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะความหวาดกลัวกับสถานที่ไม่คุ้นชินแบบนี้
ไคลน์เริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองเมื่อเดินพ้นประตูปากจระเข้เข้ามา เขาหยุดอยู่ที่ทางเดินกรอบประตูวงกลมหินอ่อนที่มีตัวเป็นรูปทรงดอกบัวตูมสีเขียวซ้อนเรียงกันขึ้นไปถึงสามชั้น บนยอดปราสาทมีนกอินทรีตัวใหญ่ซึ่งทำมาจากทองคำยืนเด่นตระหง่านอยู่บนยอดปราสาท
ไคลน์สอดส่องสายตาแลซ้ายขวาเพื่อหาใครสักคนที่เขาพอจะถามไถ่ แต่ก็ไม่เห็นมีใคร เขาจึงเดินต่อเข้ามาภายในตัวปราสาทด้วยอาการหวาดหวั่น ใจสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างสุดจะห้ามได้
เขาเหลียวมองลวดลายตามผนังหินอ่อนซึ่งถูกเกาะสลักเป็นรูปงู ขนาดใหญ่พันรอบอาคาร ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนทุกอย่างถูกออกแบบเป็นรูปงูทั้งสิ้น และงูแต่ละตัวก็มีลวดลายสีสันที่แตกต่างกันออกไป และแม้แต่อยู่ภายในตัวปราสาทเถาวัลย์ก็ยังเลื่อยเข้ามาพันรอบเสาหิน ห้อยระโยงระยางลงมาเป็นสายมองดูคล้ายสวนพฤกษศาสาตร์ย่อมๆก็ไม่ปาน
อ๊าก….. เสียงร้องของไคลน์ดังขึ้น
เมื่องูเขียวตัวหนึ่งตกใส่ศีรษะของเขา ไคลน์รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม งูตัวนี้ทำเขาสติแตกในใจคิดว่ายังโชคดีอยู่ที่ไม่ใช่งูเห่า และเพียงเขาพูดถึงงูเห่าเท่านั้นแหละ เจ้างูเห่าตัวหนึ่งก็กำลังจ้องขึงมาที่เขา ชายหนุ่มสำนึกตนว่าไม่น่านึกถึงสิ่งที่ไม่ควรเจอเลย แต่ก็สายไปแล้วมันชูคอแผ่แม่เบี้ยมหึมาหมายจะจัดการแขกมาใหม่ ด้วยพิษร้ายที่อยู่ในกายมัน
ไคลน์ครุ่นคิดหาทางจัดการกับเจ้างูเห่าตัวนี้ แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะจัดการกับเจ้างูเห่าอย่างไรดี ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็แบกความเป็นชายชาติทหารไว้บนบ่า แลเขาเองก็ถูกฝึกมาไม่ให้เกรงกลัวต่อสิ่งใด หากคิดจะสู้กับงูเห่าคงไม่หนักหนาอะไร ไคลน์นึกในใจก่อนจะชักดาบออกจากฝักชี้ปลายดาบไปที่ศัตรูตัวใหญ่ยาวที่อยู่ตรงหน้าตั้งท่าพร้อมสู้ แต่ยังไม่ทันได้แกว่งดาบใส่งูเห่า
ไคลน์ซึ่งเป็นถึงองครักษ์มือขาวของเจ้าชายฟาดาเฟีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง ก็เกิดหวาดกลัวตื่นตกใจจนเผลอฉี่รดกางเกงตัวเอง ก่อนที่จะได้จัดการกับเจ้างูเห่านั้น
“โอ๊ย ให้ตายเถอะรู้ไปถึงไหนอายไปไกลกว่านั้นแน่” ไคลน์สบถคนเดียว เมื่อเห็นสภาพกันไม่น่าดูของตัวเอง ณ เวลานี้
“
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้า เจ้าเป็นใครนี่ ฉี่แตกใส่กางเกง ฮ่าๆ เจ้าปอดแหกเสียจริง งูเห่าไยจะทำอะไรท่านได้ มันไร้ซึ่งพิษ” เด็กผู้ชายยืนส่งเสียงหัวเราะแขกผู้มาใหม่ อย่างสุดจะกั้นไว้
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เด็กชายในชุดอาภรณ์สีดำ ผ้าคลุมสีแดง สวมหมวกสีแดงสดใสอีกใบเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเข้าหางูเห่าพร้อมกับก้มลงไปอุ้มเจ้างูเห่า ตัวอ้วนขึ้นมาจูบเล่นและเขาจับมันพันคอ หมองูตายเพราะงู ท่าทางไอ้เด็กนี้จะยังไม่รู้ ไคลน์นึกในใจ
“อ่อ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่เจ้าบั๊ด เจ้าเห็นมันแล้วว่ามันน่ารักเพียงใด” เด็กชายในผ้าคลุมสีแดงบอกแก่แขกผู้มาใหม่ ส่วนไคลน์เพียงแต่ยิ้มรับแห้งๆ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเจ้าหูเง่าตัวนี้ก็ไม่เห็นจะมีความน่ารักตรงไหนเลย
“อ่อ ข้าเห็นแล้ว มันน่าเอ็นดูเป็นยิ่งนัก” ไคลน์เอ่ยตอบฝืดๆ เพราะกลัวเด็กชายผ้าคลุมแดงจะปล่อยงูเห่าใส่ตน
“เจ้าจะลองจับมันดูหน่อยไหม” เจ้าเด็กชายผ้าคลุมแดงทำท่าจะเดินมาหาเขา โดยหารู้ไหมว่าคนถูกเชื้อเชิญตอนนี้ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียแล้ว
“อย่าเลย ข้ามีเรื่องด่วนอยากขอพบเจ้าหญิงทอรีเนีย” ไคลน์เอ่ยขึ้น และรู้สึกโล่งใจเมื่อเด็กชายผ้าคลุมสีแดงไม่เดินเข้ามาใกล้ เด็กชายหยุดซะงักทันทีเมื่อเขาเอ่ยถึงเจ้าหญิงทอเรีย
“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใดจะขอพบเจ้าหญิง”
“ข้าชื่อ ไคลน์ เป็นองครักษ์มือขวาของเจ้าชายฟาดาเฟีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง นำจดหมายจากเจ้าชายมามอบให้แก่เจ้าหญิงทอรีเนีย”
“เจ้าชายของท่านเป็นใคร จากแคว้นใด ข้าหาได้รู้จักไม่”
ไคลน์รู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที่เมื่อคนผู้นี้ไม่รู้จักเจ้าชายของตน แต่ต้องข่มอารมณ์ความไม่พอใจนั้นไว้เสีย พร้อมกับเอ่ยบอกแก่เด็กชายผ้าคลุมสีแดง
“เจ้าชายฟาดาเพีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องมหาสมุทร เหตุใดท่านไม่รู้จัก อาจเป็นเพราะท่านยังเด็กอยู่เป็นแน่ข้าให้อภัยท่านไม่เอาความหากพาข้าไปพบเจ้าหญิงทอรีเนีย”
“สามหาว เจ้าว่าใครเป็นเด็ก” เด็กชายผ้าคลุมแดงโพล่งเสียงดัง พร้อมชักดาบสั้นออกมาจากข้างเอว
ไคลน์นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆก็ถูกเด็กตัวกระจิริดท่าฟันดาบ หากใครรู้เข้าตนคงได้อายขายหน้าเป็นแน่ ที่ต้องมาสู้รบตบมือกับเด็กชายเยี่ยงนี้
“ข้าหาได้ พูดอะไรผิดเพี้ยนไป” ไคลน์เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“เจ้าพูดผิดเป็นแน่แท้ ข้ามิใช่เด็กอย่างที่ท่านเข้าใจ ชักดาบออกมาอย่ารอช้า” ว่าแล้วเด็กชายผ้าคลุมสีแดงก็ควงดาบหมุนวนไปมาเพื่อที่จะข่มขู่คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
เปรี้ยง …
ดาบเล่มเล็กในมือเด็กชายผ้าคลุมสีแดงซึ่งกำลังควงอยู่นั้นก็ตกลงบนพื้นในทันทีที่มันหมุนได้เพียงสองรอบ ไคลน์กั้นเสียงหัวร่อหลบลึกลงไปในลำคอ ไม่อยากเพิ่มความอับอายให้อีกฝ่าย
“มิทราบท่านเป็นใคร พอจะบอกกล่าวผู้มาเยือนได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่า เด็กชายเริ่มมีสีหน้าแดงขึ้นระเรื่อขึ้นมา
“อืม อ่อ … อะแฮ่ม” เด็กชายสำลักน้ำเสียงเชิงวางท่านิดๆก่อนจะเอ่ยวาจาต่อมาว่า
“อืม อ่อ …..อะแฮ่ม ข้ามีนามว่า นอส เป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงทอรีเนีย ฝีมือข้าเยี่ยมยอดที่สุดในผืนป่าแห่งนี้” องครักษ์นอสกล่าวอย่างภาคภูมิ
แต่คนฟังถึงกับกั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือองครักษ์ของเจ้าหญิงทอรีเนีย
“มีเรื่องอันใดน่าหัวเราะ” นอสเอ่ยเสียงเข้ม ขมวดคิ้วจ้องมองอย่างไม่พอใจนัก
“ข้าเพียงสงสัยเห็นท่านยังเป็นเพียงเด็กเหตุใดได้เป็นถึงองครักษ์ของเจ้าหญิง มิทราบท่านนอส อายุเท่าไร จะบอกได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยวาจาขึ้นอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องกลับมาพูดจาสุขุมขึ้น เนื่องเพราะกลัวนอสจะปล่อยงูใส่ตน
“ข้าอายุแปดปีเต็ม เป็นผู้ใหญ่ที่หาญกล้า” นอสตอบอย่างภาคภูมิใจ อกน้อยๆของเขายืดตรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แปดปีเต็มเป็นผู้ใหญ่ที่หาญกล้า ช่างกล้าพูดเสียงจริง บ้านเมืองนี้ใช้เด็กเป็นองครักษ์หรืออย่างไร เห็นแล้วมึนงง ไคลน์ครุ่นคิดในใจแต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวความใดออกไป เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาเองก็ยังไม่รู้
“ท่านมิเชื่อข้ารึ” นอสเอ่ยขึ้น
“หาได้มิเชื่อไม่ แค่สงสัยว่าเจ้ายังเยาว์วัย เหตุไฉนได้เป็นถึงองครักษ์แบบนี้ เป็นเรื่องที่แปลกยิ่งสำหรับข้า”
“แปลกอย่างไร บ้านเมืองเราล้วนแล้วเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับข้าทั้งสิ้น ท่านไยมิรู้เล่า” นอสเอ่ยบอก ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ท่านสังเกตดูรอบตัวท่านซิ” นอสบอกไคลน์ แต่สิ่งที่แขกผู้มาใหม่เห็นก็มีเพียงงูกับเถาวัลย์มิใช่รึ
“ท่านเห็นหรือยัง” นอสกล่าวเสริม
“ข้าไหนเลยจะไม่เห็น ในปราสาทแห่งนี้ล้วนแต่เป็นเด็ก อ่อ… ผู้เยาว์จริง” ไคลน์บอกนอสเมื่อมองอย่างตั้งใจก็เห็นว่ารอบปราสาทต่างมีทหาร นางรับใช้เดินสวนกันไปมา และทุกคนล้วนเป็นเด็กในสายตาของเขา แต่ทุกคนนั้นล้วนทำหน้าตาจริงจังราวกับเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้วกลับยิ่งทำให้ ไคลน์ฉงนสงสัยมากขึ้น
“เหตุใดบางคนใส่ผ้าคลุมสีฟ้า บางคนสีเขียว บางคนสีน้ำตาล สีแดงและมีสีเหลืองด้วย ข้ามีความสงสัย ท่านพอจะแจ้งแก่ข้าให้กระจ่างแก่ใจได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยถามนอส
“ไยมิได้เล่า เมื่อผู้มาเยือนมิรู้ข้าก็จะแจ้งให้ทราบ ผ้าคลุมสีแดงอย่างข้าคือ องครักษ์ฝีมือเก่งกาจ สีน้ำตาลคือทหารเวรยามเฝ้าปกป้องปราสาทจากสิ่งชั่วร้าย สีเขียวนางรับใช้และข้าทาสบริวารที่ทำงานในปราสาท สีฟ้าผู้รักษาพยาบาลคนเจ็บ สีเหลืองหน่วยผู้ปกครองลงโทษผู้ที่ทำผิดกฎปราสาท โดยเฉพาะข้อที่ร้ายแรงที่สุด คือ ห้ามฆ่างู”
“บทลงโทษคืออะไร” ไคลน์เอ่ยถามอย่างอยากรู้ ความคิดที่จะฆ่างูมันยังอยู่ในหัวของเขา
“นำร่างกาย มาสับเป็นชิ้นๆแล้วโยนให้งูกิน”
....................
*** ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร : ตอนที่ 1 ปราสาทเทพจิ๋ว *** (ฉบับแก้ไขปรับปรุง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เจ้าหญิงทอรีเนีย
เรื่อง : ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร
โดย : ป.เจิดจรัส
=================
ตอนที่ 1 ปราสาทเทพจิ๋ว
ปราสาทแห่งหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยเถาวัลย์เลื้อยปกคลุมทุกหย่อมหญ้า ลักษณะของตัวปราสาทมีรูปทรงที่ประหลาดแตกต่างไปจากปราสาทโดยทั่วไป มองดูจากภายนอกคล้ายดอกบัวตูมขนาดใหญ่หลายสิบดอกแผ่กระจายกินพื้นที่ออกไปกว้างขวาง บางตัวปราสาทก็มีสามชั้นสี่ชั้นโดยเหมือนเอาดอกบัวตูมซ้อนทับกันขึ้นไป ทุกตัวปราสาทถูกสร้างมาจากหินอ่อนและถูกทาสีด้วยสีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีแดงและน้ำตาล มองดูคล้ายทุ่งดอกบัวที่ถูกเนรมิตขึ้นมาท่ามกลางป่าใหญ่
ประตูทางเข้าตัวปราสาทแกะสลักเป็นรูปปากจระเข้ที่กำลังอ้าปากเผยให้เห็นฟันเขี้ยวแหลมคม สายตาของจระเข้จ้องมองถมึนตึงลงมาเบื้องล่างราวกับคอยเป็นยามเฝ้าประตู จับตาดูการเคลื่อนของผู้ไม่หวังดีที่จะย่างกรายเข้ามาในปราสาท และพร้อมเขมือบมันผู้นั้นทันที
ไคลน์บุรุษหนุ่มวัยสิบเก้าย่างยี่สิบ รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา นัยน์ตาเป็นประกายสีน้ำตาลเข้มซุกซ่อนความขี้เล่นไว้ในแววตาคมขริบนั้น เขาสาวก้าวเดินเข้าไปในปราสาทด้วยหัวใจระทึกสยองเกล้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ย่างก้าวที่เขาบรรจงประทับลงบนพื้นอิฐซึ่งทอดยาวเข้าไปในตัวประสาทก็ทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้แทบจะหยุดหายใจไปเสียมิได้
เพียงแค่เห็นที่เขามองประตูทางเข้าอันไม่น่าภิรมย์ก็ทำให้ไม่กล้าสาวเท้าเดินต่อไป แลแต่ละการก้าวเท้าเดินมันช่างแสนจะยากเย็นสำหรับเขาขึ้นมาทุกขณะ ราวกับขาทั้งสองข้างกำลังถูกตอกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะความหวาดกลัวกับสถานที่ไม่คุ้นชินแบบนี้
ไคลน์เริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองเมื่อเดินพ้นประตูปากจระเข้เข้ามา เขาหยุดอยู่ที่ทางเดินกรอบประตูวงกลมหินอ่อนที่มีตัวเป็นรูปทรงดอกบัวตูมสีเขียวซ้อนเรียงกันขึ้นไปถึงสามชั้น บนยอดปราสาทมีนกอินทรีตัวใหญ่ซึ่งทำมาจากทองคำยืนเด่นตระหง่านอยู่บนยอดปราสาท
ไคลน์สอดส่องสายตาแลซ้ายขวาเพื่อหาใครสักคนที่เขาพอจะถามไถ่ แต่ก็ไม่เห็นมีใคร เขาจึงเดินต่อเข้ามาภายในตัวปราสาทด้วยอาการหวาดหวั่น ใจสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างสุดจะห้ามได้
เขาเหลียวมองลวดลายตามผนังหินอ่อนซึ่งถูกเกาะสลักเป็นรูปงู ขนาดใหญ่พันรอบอาคาร ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนทุกอย่างถูกออกแบบเป็นรูปงูทั้งสิ้น และงูแต่ละตัวก็มีลวดลายสีสันที่แตกต่างกันออกไป และแม้แต่อยู่ภายในตัวปราสาทเถาวัลย์ก็ยังเลื่อยเข้ามาพันรอบเสาหิน ห้อยระโยงระยางลงมาเป็นสายมองดูคล้ายสวนพฤกษศาสาตร์ย่อมๆก็ไม่ปาน
อ๊าก….. เสียงร้องของไคลน์ดังขึ้น
เมื่องูเขียวตัวหนึ่งตกใส่ศีรษะของเขา ไคลน์รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม งูตัวนี้ทำเขาสติแตกในใจคิดว่ายังโชคดีอยู่ที่ไม่ใช่งูเห่า และเพียงเขาพูดถึงงูเห่าเท่านั้นแหละ เจ้างูเห่าตัวหนึ่งก็กำลังจ้องขึงมาที่เขา ชายหนุ่มสำนึกตนว่าไม่น่านึกถึงสิ่งที่ไม่ควรเจอเลย แต่ก็สายไปแล้วมันชูคอแผ่แม่เบี้ยมหึมาหมายจะจัดการแขกมาใหม่ ด้วยพิษร้ายที่อยู่ในกายมัน
ไคลน์ครุ่นคิดหาทางจัดการกับเจ้างูเห่าตัวนี้ แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะจัดการกับเจ้างูเห่าอย่างไรดี ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็แบกความเป็นชายชาติทหารไว้บนบ่า แลเขาเองก็ถูกฝึกมาไม่ให้เกรงกลัวต่อสิ่งใด หากคิดจะสู้กับงูเห่าคงไม่หนักหนาอะไร ไคลน์นึกในใจก่อนจะชักดาบออกจากฝักชี้ปลายดาบไปที่ศัตรูตัวใหญ่ยาวที่อยู่ตรงหน้าตั้งท่าพร้อมสู้ แต่ยังไม่ทันได้แกว่งดาบใส่งูเห่า
ไคลน์ซึ่งเป็นถึงองครักษ์มือขาวของเจ้าชายฟาดาเฟีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง ก็เกิดหวาดกลัวตื่นตกใจจนเผลอฉี่รดกางเกงตัวเอง ก่อนที่จะได้จัดการกับเจ้างูเห่านั้น
“โอ๊ย ให้ตายเถอะรู้ไปถึงไหนอายไปไกลกว่านั้นแน่” ไคลน์สบถคนเดียว เมื่อเห็นสภาพกันไม่น่าดูของตัวเอง ณ เวลานี้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้า เจ้าเป็นใครนี่ ฉี่แตกใส่กางเกง ฮ่าๆ เจ้าปอดแหกเสียจริง งูเห่าไยจะทำอะไรท่านได้ มันไร้ซึ่งพิษ” เด็กผู้ชายยืนส่งเสียงหัวเราะแขกผู้มาใหม่ อย่างสุดจะกั้นไว้
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เด็กชายในชุดอาภรณ์สีดำ ผ้าคลุมสีแดง สวมหมวกสีแดงสดใสอีกใบเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเข้าหางูเห่าพร้อมกับก้มลงไปอุ้มเจ้างูเห่า ตัวอ้วนขึ้นมาจูบเล่นและเขาจับมันพันคอ หมองูตายเพราะงู ท่าทางไอ้เด็กนี้จะยังไม่รู้ ไคลน์นึกในใจ
“อ่อ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่เจ้าบั๊ด เจ้าเห็นมันแล้วว่ามันน่ารักเพียงใด” เด็กชายในผ้าคลุมสีแดงบอกแก่แขกผู้มาใหม่ ส่วนไคลน์เพียงแต่ยิ้มรับแห้งๆ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเจ้าหูเง่าตัวนี้ก็ไม่เห็นจะมีความน่ารักตรงไหนเลย
“อ่อ ข้าเห็นแล้ว มันน่าเอ็นดูเป็นยิ่งนัก” ไคลน์เอ่ยตอบฝืดๆ เพราะกลัวเด็กชายผ้าคลุมแดงจะปล่อยงูเห่าใส่ตน
“เจ้าจะลองจับมันดูหน่อยไหม” เจ้าเด็กชายผ้าคลุมแดงทำท่าจะเดินมาหาเขา โดยหารู้ไหมว่าคนถูกเชื้อเชิญตอนนี้ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียแล้ว
“อย่าเลย ข้ามีเรื่องด่วนอยากขอพบเจ้าหญิงทอรีเนีย” ไคลน์เอ่ยขึ้น และรู้สึกโล่งใจเมื่อเด็กชายผ้าคลุมสีแดงไม่เดินเข้ามาใกล้ เด็กชายหยุดซะงักทันทีเมื่อเขาเอ่ยถึงเจ้าหญิงทอเรีย
“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใดจะขอพบเจ้าหญิง”
“ข้าชื่อ ไคลน์ เป็นองครักษ์มือขวาของเจ้าชายฟาดาเฟีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง นำจดหมายจากเจ้าชายมามอบให้แก่เจ้าหญิงทอรีเนีย”
“เจ้าชายของท่านเป็นใคร จากแคว้นใด ข้าหาได้รู้จักไม่”
ไคลน์รู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที่เมื่อคนผู้นี้ไม่รู้จักเจ้าชายของตน แต่ต้องข่มอารมณ์ความไม่พอใจนั้นไว้เสีย พร้อมกับเอ่ยบอกแก่เด็กชายผ้าคลุมสีแดง
“เจ้าชายฟาดาเพีย ไซเทียเรน วอเปอร์คิง เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องมหาสมุทร เหตุใดท่านไม่รู้จัก อาจเป็นเพราะท่านยังเด็กอยู่เป็นแน่ข้าให้อภัยท่านไม่เอาความหากพาข้าไปพบเจ้าหญิงทอรีเนีย”
“สามหาว เจ้าว่าใครเป็นเด็ก” เด็กชายผ้าคลุมแดงโพล่งเสียงดัง พร้อมชักดาบสั้นออกมาจากข้างเอว
ไคลน์นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆก็ถูกเด็กตัวกระจิริดท่าฟันดาบ หากใครรู้เข้าตนคงได้อายขายหน้าเป็นแน่ ที่ต้องมาสู้รบตบมือกับเด็กชายเยี่ยงนี้
“ข้าหาได้ พูดอะไรผิดเพี้ยนไป” ไคลน์เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“เจ้าพูดผิดเป็นแน่แท้ ข้ามิใช่เด็กอย่างที่ท่านเข้าใจ ชักดาบออกมาอย่ารอช้า” ว่าแล้วเด็กชายผ้าคลุมสีแดงก็ควงดาบหมุนวนไปมาเพื่อที่จะข่มขู่คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
เปรี้ยง …
ดาบเล่มเล็กในมือเด็กชายผ้าคลุมสีแดงซึ่งกำลังควงอยู่นั้นก็ตกลงบนพื้นในทันทีที่มันหมุนได้เพียงสองรอบ ไคลน์กั้นเสียงหัวร่อหลบลึกลงไปในลำคอ ไม่อยากเพิ่มความอับอายให้อีกฝ่าย
“มิทราบท่านเป็นใคร พอจะบอกกล่าวผู้มาเยือนได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่า เด็กชายเริ่มมีสีหน้าแดงขึ้นระเรื่อขึ้นมา
“อืม อ่อ … อะแฮ่ม” เด็กชายสำลักน้ำเสียงเชิงวางท่านิดๆก่อนจะเอ่ยวาจาต่อมาว่า
“อืม อ่อ …..อะแฮ่ม ข้ามีนามว่า นอส เป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงทอรีเนีย ฝีมือข้าเยี่ยมยอดที่สุดในผืนป่าแห่งนี้” องครักษ์นอสกล่าวอย่างภาคภูมิ
แต่คนฟังถึงกับกั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือองครักษ์ของเจ้าหญิงทอรีเนีย
“มีเรื่องอันใดน่าหัวเราะ” นอสเอ่ยเสียงเข้ม ขมวดคิ้วจ้องมองอย่างไม่พอใจนัก
“ข้าเพียงสงสัยเห็นท่านยังเป็นเพียงเด็กเหตุใดได้เป็นถึงองครักษ์ของเจ้าหญิง มิทราบท่านนอส อายุเท่าไร จะบอกได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยวาจาขึ้นอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องกลับมาพูดจาสุขุมขึ้น เนื่องเพราะกลัวนอสจะปล่อยงูใส่ตน
“ข้าอายุแปดปีเต็ม เป็นผู้ใหญ่ที่หาญกล้า” นอสตอบอย่างภาคภูมิใจ อกน้อยๆของเขายืดตรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แปดปีเต็มเป็นผู้ใหญ่ที่หาญกล้า ช่างกล้าพูดเสียงจริง บ้านเมืองนี้ใช้เด็กเป็นองครักษ์หรืออย่างไร เห็นแล้วมึนงง ไคลน์ครุ่นคิดในใจแต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวความใดออกไป เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาเองก็ยังไม่รู้
“ท่านมิเชื่อข้ารึ” นอสเอ่ยขึ้น
“หาได้มิเชื่อไม่ แค่สงสัยว่าเจ้ายังเยาว์วัย เหตุไฉนได้เป็นถึงองครักษ์แบบนี้ เป็นเรื่องที่แปลกยิ่งสำหรับข้า”
“แปลกอย่างไร บ้านเมืองเราล้วนแล้วเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับข้าทั้งสิ้น ท่านไยมิรู้เล่า” นอสเอ่ยบอก ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ท่านสังเกตดูรอบตัวท่านซิ” นอสบอกไคลน์ แต่สิ่งที่แขกผู้มาใหม่เห็นก็มีเพียงงูกับเถาวัลย์มิใช่รึ
“ท่านเห็นหรือยัง” นอสกล่าวเสริม
“ข้าไหนเลยจะไม่เห็น ในปราสาทแห่งนี้ล้วนแต่เป็นเด็ก อ่อ… ผู้เยาว์จริง” ไคลน์บอกนอสเมื่อมองอย่างตั้งใจก็เห็นว่ารอบปราสาทต่างมีทหาร นางรับใช้เดินสวนกันไปมา และทุกคนล้วนเป็นเด็กในสายตาของเขา แต่ทุกคนนั้นล้วนทำหน้าตาจริงจังราวกับเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้วกลับยิ่งทำให้ ไคลน์ฉงนสงสัยมากขึ้น
“เหตุใดบางคนใส่ผ้าคลุมสีฟ้า บางคนสีเขียว บางคนสีน้ำตาล สีแดงและมีสีเหลืองด้วย ข้ามีความสงสัย ท่านพอจะแจ้งแก่ข้าให้กระจ่างแก่ใจได้หรือไม่” ไคลน์เอ่ยถามนอส
“ไยมิได้เล่า เมื่อผู้มาเยือนมิรู้ข้าก็จะแจ้งให้ทราบ ผ้าคลุมสีแดงอย่างข้าคือ องครักษ์ฝีมือเก่งกาจ สีน้ำตาลคือทหารเวรยามเฝ้าปกป้องปราสาทจากสิ่งชั่วร้าย สีเขียวนางรับใช้และข้าทาสบริวารที่ทำงานในปราสาท สีฟ้าผู้รักษาพยาบาลคนเจ็บ สีเหลืองหน่วยผู้ปกครองลงโทษผู้ที่ทำผิดกฎปราสาท โดยเฉพาะข้อที่ร้ายแรงที่สุด คือ ห้ามฆ่างู”
“บทลงโทษคืออะไร” ไคลน์เอ่ยถามอย่างอยากรู้ ความคิดที่จะฆ่างูมันยังอยู่ในหัวของเขา
“นำร่างกาย มาสับเป็นชิ้นๆแล้วโยนให้งูกิน”
....................