ตอนที่ 2 คัมภีร์สังหาร
ข้าพเจ้าถูกเจ้าเด็กฟันหลอมักเวย์ กับไอ้หัวเขียวยาเอิ้งผลักให้ข้าพเจ้าเดินตามไอ้อ้วนเตี้ยคูไซ เข้าไปยังซอยเล็กๆ ซึ่งสกปรกที่สุดของปราสาทและมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนข้าพเจ้าเองต้องเอามือขึ้นมาปิดจมูก
สงสัยข้าพเจ้าต้องตายเป็นแน่แท้ แค่กลิ่นศพที่พัดมากระทบประสาทจมูกทำเอาข้าพเจ้าอยากกลับไปเกิดใหม่อย่างทันที ถ้าไม่ติดที่ว่าจะได้หน้าตาหล่อเหลาแบบนี้มาอีกไหมก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าเห็นอีหนูผีหลายตัววิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ลักษณะของหนูผีเหมือนหนูทั่วๆไป แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่มันขนยาวกว่า ฟันยาวกว่า ใบหูใหญ่กว่าหนูปกติหลายเท่า มีตากลมโตส่งเสียงร้องแหลมดังฟังแสบแก้วหูยิ่งนัก
เอาละซิ….กลิ่นศพพวกนี้ทำเอาข้าพเจ้าอ้วกแตกต่อหน้าเด็กชายสามคน น่าอายยิ่งนัก ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะตั้งตัวได้ไอ้อ้วนเตี้ยคูไซ ผลักข้าเข้าไปในห้องมืด เหม็นอับ ดูท่าจะฆ่าข้าพเจ้าให้ตายตรงนี้กระมัง เมื่อเป็นเช่นข้าพเจ้าอดที่จะนึกถึงท่านพ่อท่านแม่มิได้ขอดวงวิญญาณท่านทั้งสองคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ จบกันชีวิตชายโสด
“เจ้าเข้าไปหาอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องนี้ แล้วมาเก็บกวาดซากหนูน้อยแสนน่ารักที่นอนตายนี้ให้หมด พร้อมกับเอาพวกมันไปฝังไว้หลังปราสาทด้วย”
ไอ้อ้วนเตี้ยสั่งข้าพเจ้า ทำเอาข้าพเจ้างง มันไม่ฆ่า แต่มันสั่งให้ข้พเจ้าเก็บศพอีหนูผี จะขอบคุณมันดีไหมนี่
“เก็บกวาดให้หมดทุกตัว แล้วจำเอาไว้อย่าฆ่าหนูน้อยแสนน่ารักตัวไหนอีก ไม่งั้นเจ้าได้เก็บกวาดซากพวกนี้ทั้งประสาทแน่” คราวนี้ไอ้หัวเขียวยาเอิ้งสั่งข้าพเจ้าแทน ทั้งไอ้หัวเขียวยาเอิ้ง กับไอ้อ้วนเตี้ยคูไซเดินไปอย่าไม่แยแส เหลือแต่ไอ้ฟันหลอมักเวย์ยืนมองผมอย่างเห็นใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
“อย่าอู้นะ ซากหนูน้อยแสนน่ารักมีเยอะ ถ้าเจ้าทำไม่เสร็จน่าว่าพรุ่งนี้เจ้าจะต้องอยู่ที่นี้ต่อไปจนกว่างานเจ้าจะเสร็จ” ไอ้ฟันหลอมักเวย์มันช่างเห็นใจข้าพเจ้าเหลือเกิน
ข้าพเจ้าไม่ตายแต่ได้มาตามเก็บศพอีหนูผี กลิ่นศพที่ไอ้นอสพูดถึงมันคือกลิ่นซากอีหนูผีชัดๆ ขู่ซะข้ากลัวหัวหด การเริ่มเก็บกวาดซากอีหนูผีเป็นไปอย่างยากเย็นยิ่งนักทั้งรูปอันเน่าเละ กลิ่นอันชวนให้อ้วกแตก (ข้าพเจ้าอ้วกไปแล้วทั้งสิ้น แปดครั้ง มีแนวโม้วจะเป็นอย่างต่อเนื่อง)
เสียงร้องอันหนวกหูของอีหนูผีที่ยังเป็น ๆจับมันฆ่าให้หมดเลยดีไหม คิดแล้วข้าพเจ้าอยากทำนัก คิดอีกทีอย่าดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของหน้าตาอันหล่อเหลา
เช้าวันใหม่ข้ากำลังขุดหลุมฝังเจ้าพวกอีหนูผีที่สิ้นอายุไข ตัวข้าพเจ้าก็จะหมดแรง จะหลับตาปิดแล้วนะ ล่องลอย…ข้าพเจ้ากำลังฝัน ล่องลอย…ฝันไปไกลบนท้องฟ้าที่น่าอยู่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์……..
พลับ พลับ พลับ……เสียงฝีเท้าม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น
“ซวยแล้ว วันนี้เป็นันออกเดินทาง ข้าพเจ้าต้องไปพบเจ้าชายที่นครมหาสมุทร พร้อมกับเจ้าหญิงทอรีเนีย” คิดได้เยี่ยงนี้ข้าพเจ้าก็วิ่งมายังประตูปากจระเข้
“ท่านๆ เจ้าหญิงไปแล้วหรือ” ข้าพเจ้าหันไปถามเด็กหญิงผ้าคลุมสีเขียวอย่างร้อนรน
“ไปแล้ว”นางตอบ แล้วเดินจากข้าไปทันที
ข้าพเจ้าควบม้าตามอย่างรีบเร่ง จะทันหรือไม่นั้นมิอาจรู้ได้
***************************************************************************************************************
นครมหาสมุทรตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ร่ายล้อมไปด้วยมหาสมุทร ตัวปราสาทเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมปลายแหลมคมชี้เด่นห้ายอด ตัวปราสาทเป็นหินสีขาวทั่วทั้งหมด ตั้งเด่นสูงสง่ามองเห็นมหาสมุทรกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
เจ้าชายวัยสิบแปดปี ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าดูตายิ้มแย้มแต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง ดวงตาเปล่งประกายลุ่มลึกยากจะหาผู้ใดเปรียบได้ อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว นั่งบนแท่นบังลังก์อย่างสง่างาม รอผู้มาเยียนจากแดนไกลอย่างจดจ่อ
“มาทาเรีย เจ้าไปจัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มให้พร้อม อีกไม่นานคาดว่าสหายของเราจะมาถึง”
เจ้าชายฟาดาเฟีย สั่งแก่หญิงสาวรับใช้เมื่อเห็นนางเดินเข้ามายังท้องพระโรง นางสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผมยาวสีดำ รูปร่างสูงผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มมีดวงตากลมโตสีดำเข้ม
“กระหม่อมได้จัดเตรียมสิ่งเหล่านั้นไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ รอเพียงสหายเหล่านั้นมาเยียน” มาทาเรียกล่าวกับเจ้าชายฟาดาเฟีย
“เจ้ามีเหตุอันใดเป็นกังวลหรือ” เจ้าชายฟาดาเฟียถามหญิงสาวเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลปรากฎขึ้น
“กระหม่อม เป็นห่วงน้องชายกระหม่อมเพคะ เพิ่งเข้ารับเป็นองครักษ์ครั้งแรก กลัวจะเกิดเภทภัยแก่มัน”
“ฮ่า ฮ่า อย่าได้เป็นกังวลเลย ไคลน์น้องเจ้าแม้มันจะทำอะไรซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ฝีมือมันน้อยหน้าใครที่ไหน มิเยี่ยงนั้นมันจะเป็นองครักษ์มือขวาของข้าหรือ”
“เรื่องที่ห่วงมิใช่เป็นการสู้รบกับใคร แต่กระหม่อมเป็นห่วงมันเพราะความซุ่มซ่ามของมันนี้แหละ เกรงจะสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์”
“ฮ่า ฮ่า อ่า….เรื่องนี้มิเป็นใดดอก ข้าเข้าใจดี”
สิ้นเสียงของเจ้าชายฟาดาเฟีย เสียงกลองก็ตีสนั่นหวั่นไหวไปทั่วปราสาทสีขาว ทหารยามในชุดสีฟ้าวิ่งตรงเข้ามาในท้องพระโลง
“ผู้เดินทางจากแดนไกลมาแล้วขอรับ” ทหารยามรายงานความ
“มากันกี่คน เจ้าเห็นหรือไม่” เจ้าชายตรัสถาม
“เห็นเป็น เจ็ดคนขอรับ”
“ไปตามพวกนั้นเข้ามา” เจ้าชายออกคำสั่ง ทหารยามวิ่งออกไปอย่างทันที
ไม่นานนักทหารยามคนเก่าก็เดินนำมาขบวนคณะผู้เดินทางจากแดนไกล เข้ามายังท้องพระโลงกันโอ่อาด
***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 2 คัมภีร์สังหาร ***
ข้าพเจ้าถูกเจ้าเด็กฟันหลอมักเวย์ กับไอ้หัวเขียวยาเอิ้งผลักให้ข้าพเจ้าเดินตามไอ้อ้วนเตี้ยคูไซ เข้าไปยังซอยเล็กๆ ซึ่งสกปรกที่สุดของปราสาทและมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนข้าพเจ้าเองต้องเอามือขึ้นมาปิดจมูก
สงสัยข้าพเจ้าต้องตายเป็นแน่แท้ แค่กลิ่นศพที่พัดมากระทบประสาทจมูกทำเอาข้าพเจ้าอยากกลับไปเกิดใหม่อย่างทันที ถ้าไม่ติดที่ว่าจะได้หน้าตาหล่อเหลาแบบนี้มาอีกไหมก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าเห็นอีหนูผีหลายตัววิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ลักษณะของหนูผีเหมือนหนูทั่วๆไป แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่มันขนยาวกว่า ฟันยาวกว่า ใบหูใหญ่กว่าหนูปกติหลายเท่า มีตากลมโตส่งเสียงร้องแหลมดังฟังแสบแก้วหูยิ่งนัก
เอาละซิ….กลิ่นศพพวกนี้ทำเอาข้าพเจ้าอ้วกแตกต่อหน้าเด็กชายสามคน น่าอายยิ่งนัก ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะตั้งตัวได้ไอ้อ้วนเตี้ยคูไซ ผลักข้าเข้าไปในห้องมืด เหม็นอับ ดูท่าจะฆ่าข้าพเจ้าให้ตายตรงนี้กระมัง เมื่อเป็นเช่นข้าพเจ้าอดที่จะนึกถึงท่านพ่อท่านแม่มิได้ขอดวงวิญญาณท่านทั้งสองคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ จบกันชีวิตชายโสด
“เจ้าเข้าไปหาอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องนี้ แล้วมาเก็บกวาดซากหนูน้อยแสนน่ารักที่นอนตายนี้ให้หมด พร้อมกับเอาพวกมันไปฝังไว้หลังปราสาทด้วย”
ไอ้อ้วนเตี้ยสั่งข้าพเจ้า ทำเอาข้าพเจ้างง มันไม่ฆ่า แต่มันสั่งให้ข้พเจ้าเก็บศพอีหนูผี จะขอบคุณมันดีไหมนี่
“เก็บกวาดให้หมดทุกตัว แล้วจำเอาไว้อย่าฆ่าหนูน้อยแสนน่ารักตัวไหนอีก ไม่งั้นเจ้าได้เก็บกวาดซากพวกนี้ทั้งประสาทแน่” คราวนี้ไอ้หัวเขียวยาเอิ้งสั่งข้าพเจ้าแทน ทั้งไอ้หัวเขียวยาเอิ้ง กับไอ้อ้วนเตี้ยคูไซเดินไปอย่าไม่แยแส เหลือแต่ไอ้ฟันหลอมักเวย์ยืนมองผมอย่างเห็นใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
“อย่าอู้นะ ซากหนูน้อยแสนน่ารักมีเยอะ ถ้าเจ้าทำไม่เสร็จน่าว่าพรุ่งนี้เจ้าจะต้องอยู่ที่นี้ต่อไปจนกว่างานเจ้าจะเสร็จ” ไอ้ฟันหลอมักเวย์มันช่างเห็นใจข้าพเจ้าเหลือเกิน
ข้าพเจ้าไม่ตายแต่ได้มาตามเก็บศพอีหนูผี กลิ่นศพที่ไอ้นอสพูดถึงมันคือกลิ่นซากอีหนูผีชัดๆ ขู่ซะข้ากลัวหัวหด การเริ่มเก็บกวาดซากอีหนูผีเป็นไปอย่างยากเย็นยิ่งนักทั้งรูปอันเน่าเละ กลิ่นอันชวนให้อ้วกแตก (ข้าพเจ้าอ้วกไปแล้วทั้งสิ้น แปดครั้ง มีแนวโม้วจะเป็นอย่างต่อเนื่อง)
เสียงร้องอันหนวกหูของอีหนูผีที่ยังเป็น ๆจับมันฆ่าให้หมดเลยดีไหม คิดแล้วข้าพเจ้าอยากทำนัก คิดอีกทีอย่าดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของหน้าตาอันหล่อเหลา
เช้าวันใหม่ข้ากำลังขุดหลุมฝังเจ้าพวกอีหนูผีที่สิ้นอายุไข ตัวข้าพเจ้าก็จะหมดแรง จะหลับตาปิดแล้วนะ ล่องลอย…ข้าพเจ้ากำลังฝัน ล่องลอย…ฝันไปไกลบนท้องฟ้าที่น่าอยู่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์……..
พลับ พลับ พลับ……เสียงฝีเท้าม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น
“ซวยแล้ว วันนี้เป็นันออกเดินทาง ข้าพเจ้าต้องไปพบเจ้าชายที่นครมหาสมุทร พร้อมกับเจ้าหญิงทอรีเนีย” คิดได้เยี่ยงนี้ข้าพเจ้าก็วิ่งมายังประตูปากจระเข้
“ท่านๆ เจ้าหญิงไปแล้วหรือ” ข้าพเจ้าหันไปถามเด็กหญิงผ้าคลุมสีเขียวอย่างร้อนรน
“ไปแล้ว”นางตอบ แล้วเดินจากข้าไปทันที
ข้าพเจ้าควบม้าตามอย่างรีบเร่ง จะทันหรือไม่นั้นมิอาจรู้ได้
***************************************************************************************************************
นครมหาสมุทรตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ร่ายล้อมไปด้วยมหาสมุทร ตัวปราสาทเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมปลายแหลมคมชี้เด่นห้ายอด ตัวปราสาทเป็นหินสีขาวทั่วทั้งหมด ตั้งเด่นสูงสง่ามองเห็นมหาสมุทรกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
เจ้าชายวัยสิบแปดปี ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าดูตายิ้มแย้มแต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง ดวงตาเปล่งประกายลุ่มลึกยากจะหาผู้ใดเปรียบได้ อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว นั่งบนแท่นบังลังก์อย่างสง่างาม รอผู้มาเยียนจากแดนไกลอย่างจดจ่อ
“มาทาเรีย เจ้าไปจัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มให้พร้อม อีกไม่นานคาดว่าสหายของเราจะมาถึง”
เจ้าชายฟาดาเฟีย สั่งแก่หญิงสาวรับใช้เมื่อเห็นนางเดินเข้ามายังท้องพระโรง นางสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผมยาวสีดำ รูปร่างสูงผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มมีดวงตากลมโตสีดำเข้ม
“กระหม่อมได้จัดเตรียมสิ่งเหล่านั้นไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ รอเพียงสหายเหล่านั้นมาเยียน” มาทาเรียกล่าวกับเจ้าชายฟาดาเฟีย
“เจ้ามีเหตุอันใดเป็นกังวลหรือ” เจ้าชายฟาดาเฟียถามหญิงสาวเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลปรากฎขึ้น
“กระหม่อม เป็นห่วงน้องชายกระหม่อมเพคะ เพิ่งเข้ารับเป็นองครักษ์ครั้งแรก กลัวจะเกิดเภทภัยแก่มัน”
“ฮ่า ฮ่า อย่าได้เป็นกังวลเลย ไคลน์น้องเจ้าแม้มันจะทำอะไรซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ฝีมือมันน้อยหน้าใครที่ไหน มิเยี่ยงนั้นมันจะเป็นองครักษ์มือขวาของข้าหรือ”
“เรื่องที่ห่วงมิใช่เป็นการสู้รบกับใคร แต่กระหม่อมเป็นห่วงมันเพราะความซุ่มซ่ามของมันนี้แหละ เกรงจะสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์”
“ฮ่า ฮ่า อ่า….เรื่องนี้มิเป็นใดดอก ข้าเข้าใจดี”
สิ้นเสียงของเจ้าชายฟาดาเฟีย เสียงกลองก็ตีสนั่นหวั่นไหวไปทั่วปราสาทสีขาว ทหารยามในชุดสีฟ้าวิ่งตรงเข้ามาในท้องพระโลง
“ผู้เดินทางจากแดนไกลมาแล้วขอรับ” ทหารยามรายงานความ
“มากันกี่คน เจ้าเห็นหรือไม่” เจ้าชายตรัสถาม
“เห็นเป็น เจ็ดคนขอรับ”
“ไปตามพวกนั้นเข้ามา” เจ้าชายออกคำสั่ง ทหารยามวิ่งออกไปอย่างทันที
ไม่นานนักทหารยามคนเก่าก็เดินนำมาขบวนคณะผู้เดินทางจากแดนไกล เข้ามายังท้องพระโลงกันโอ่อาด