***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 7 เจ้าชายฟาดาเฟียปะทะไพรทั่ม ***

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ตอนที่ 7 เจ้าชายฟาดาเฟียปะทะไพรทั่ม


เจ้าชายฟาดาเฟีย ไซนเทียเรน วอเปอร์คิง




              ค่ำคืนราตรีที่มืดมิด พระจันทร์เสี้ยวถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีดำทะมึน ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านร่างของไคลน์ ความเย็นยะเยือกของสายลมไม่มีผลกระทบต่อร่างของเขาที่ยืนแข็งทื่อราวกับหุ่นเ
แกะสลัก  สายตาจ้องมองสายน้ำไหลเฉื่อยอ้อยอิ่ง  ดวงตาเหม่อลอยใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา

    “ข้าเป็นเทพ” เสียงของไคลน์เอ่ยก้องในใจ

    “ใช่แล้ว--เจ้าเป็นเทพ” เสียงหนึ่งดังขึ้น แว่วเข้าโสตประสาทของเขา

    ไคลน์หันมองซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้น แต่ไม่มีใคร เขาอยู่คนเดียวในป่ามืดมิดแห่งนี้ แต่เสียงนั่นช่างอยู่ใกล้เขาเหลือเกิน เป็นเสียงคุ้นเคยที่เขาได้ยินบ่อยๆยามหลับใหล

    “เจ้าทำได้มากกว่านี้ไคลน์” เสียงดังแว่วเข้าหูเขาอีกครั้ง

    ไคลน์ตื่นตระหนกตกใจหันขวับมองไปด้านหลัง เขามองเข้าไปในป่าทึบที่มืดมิดไม่มีสิ่งมีชีวิตใด มีเพียงเสียงกิ่งไม้กระทบเสียดสีกัน และเสียงสายลมพัดโบกปลิว ไม่มีวี่แววของเจ้าทอรีเนียพระองค์หายไปท่ามกลางป่าทึบนั้น

             ไคลน์หันหน้ากลับมาที่เดิมแล้วพ่นลมหายใจแรงๆหนึ่ง เพื่อสลัดความคิด ที่ได้ยินเสียงนั้นทิ้งไป เขาเดินถอยห่างจากริมธารออกมาเพื่อจะกลับกระท่อมที่พัก แต่ทันได้นั้นเขาได้ยินเสียงคล้ายคนเหยียบกิ่งไม้ดังกรอบแกรบ ไคลน์หันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน  แล้วเดินเข้าไปดูในป่าทึบแต่ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต เมื่อไม่มีอะไรน่าสงสัยไคลน์ก็ควบม้าฝ่าดงป่าที่มืดมิดกลับสู่กระท่อมที่พัก ด้วยใจที่สับสนและมึนงงในสิ่งที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับตนเอง

โดยไคลน์หารู้ไม่ว่าไพรทั่มตนหนึ่งมันได้แอบซุ่มดูไคลน์  ตั้งแต่ ไคลน์มาอยู่ที่ริมธารมันเห็นทุกอย่างและทุกคำพูดระหว่างไคลน์กับเจ้าหญิงทอรีเนีย  ไพรทั่มตนนั้นยิ้มกระหยิ่มอย่างพอใจ มันได้ข่าวชิ้นสำคัญไปแจ้งแก่นายมันแล้ว

             คราวนี้มันคงจะได้รางวัลตอบแทนเป็นแน่ มันดีใจจนเผลอถอยกายเหยียบเอากิ่งไม้ที่อยู่ด้านหลัง โชคดีสำหรับมันที่ป่าในตอนนี้มืดมิด การหลบซ่อนตัวจึงทำได้ง่าย  ยากแก่การถูกพบ ไพรทั่มตนนั้นรีบควบม้าของตนเองออกไปจากป่าทันที  ที่ไคลน์ไปไกลแล้ว มันมุ่งตรงสู่หุบเขามรณะดินแดนแห่งจอมมารสูบวิญญาณ

*****



               ยามวิกาลช่วงเวลาที่ทุกคนต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ในเขตปราสาทพระราชวังนครมหาสมุทร ด้านหลังของราชวังคบเพลิงสิบอันถูกจุดสว่างไสว เผยให้เห็นลานหญ้าสีเขียวโล่งกว้าง อาวุธหลายชนิดถูกวางเรียงไว้อย่างสวยงาม หอกแหลมคมทั้งขนาดสั้นและยาว ดาบใหญ่หลายสิบเล่ม คันธนูและลูกเกาทัณฑ์ ถูกวางไว้ที่จุดเดียวกันและอาวุธชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ เรียงไว้เป็นระเบียบ แล้วแต่ใครจะหยิบจับเอาที่เหมาะมือและถนัดในการใช้งาน

              ทหารกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันสิบเก้านาย ยืนอยู่ท่ามกลางลานหญ้านั้น หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายฟาดาเฟีย ซึ่งเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดทหารเหมือนทหารคนอื่นๆ พระองค์อำพลางใบหน้าด้วยการทาโคลนสีดำทั่วทั้งหน้า  ทหารคนอื่นก็ทำเช่นด้วยกับพระองค์ พวกเขาคือหน่วยลาดตระเวนที่ออกไล่ล่าไพรทั่มยามค่ำคืน

ตั้งแต่ที่พวกไพรทั่มเหิมเกริมเริ่มบุกเข้ามาทำลายหมู่ไปหลายที่ เข่นฆ่าราษฎรอย่างไร้ปรานี ผู้คนที่รอดชีวิตต่างอพยพมายังค่ายลี้ภัยซึ่งถูกจัดสรรไว้ในเขตพระราชวัง  แต่ก็ยังมีชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถมาถึงค่ายลี้ภัย  บางกลุ่มที่เดินทางมาก็ถูกพวกไพรทั่มฆ่าตายหมดสิ้น
เจ้าฟาดาเฟียที่อยู่ในชุดทหารเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าเหล่าทหารกล้า ทั้งหมดต่างโค้งตัวทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน  แล้วทรงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้มกังวาน

              “ในวันหน้าคาดว่าคงมีศึกใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่ เราคงหนีไม่พ้น เวลานี้พวกเราทั้งหลายคงทำได้เพียงตัดรอนกองกำลังของพวกมันให้เหลือน้อยลง ฆ่ามันทุกตัวที่เห็น  และขอให้ทุกคนรอดปลอดภัยกลับมา”  
  
สิ้นเสียงของเจ้าชายฟาดาเฟียทหารทั้งสิบแปดนายเอ่ยตอบรับ พ่ะย่ะค่ะ พร้อมกับค้อมศีรษะรับบัญชาจากเจ้าชาย  ทหารทุกนายต่างถืออาวุธครบมือ เตรียมพร้อมออกไล่ล่าไพรทั่ม ทหารกล้าสิบแปดนายถูกแบ่งออกเป็นหน่วยลาดตระเวนสามกลุ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง กลุ่มของเจ้าชายฟาดาเฟียมีเจ็ดคน อีกสองกลุ่มแบ่งเป็นหกและเจ็ดคน คบเพลิงทั้งสิบถูกดับลง ลานกว้างมืดมิดลงทันที แล้วร่างของทหารทั้งสิบเก้าคนก็เคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบเชียบ

ภายใต้เงามืดแห่งค่ำคืนที่ดวงดาราและจันทราถูกเมฆบดบัง เมฆก้อนใหญ่สีดำทะมึนก่อตัวราวกับจะเกิดพายุร้าย สายลมแรงพัดกรรโชกธงรูปสามเหลี่ยมสีฟ้ามีรูปพญาอินทรีย์ทะเลอยู่ตรงกลางธง  ธงตราสัญลักษณ์ของเมืองถูกปักเรียงรายไว้ตามกำแพง คบเพลิงตามเสากำแพงเมืองดับไปหลายอันเมื่อลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

               ม้าสิบเก้าตัวพุ่งออกจากประตูไม้ที่ถูกชักรอกขึ้น วิ่งข้ามผ่านสะพานอิฐสีเทาทะยานสู่ป่าใหญ่อันมืดมิด ขบวนม้าทั้งสิบเก้า แตกย่อยแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มของเจ้าชายฟาดาเฟียมุ่งตรงไปด้านหน้า อีกสองกลุ่มแตกย่อยไปทางด้านซ้ายขวา เจ้าชายฟาดาเฟียควบม้านำขบวน สายพระเนตรเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น มุ่งสู่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลต้องการความช่วยเหลือ พระองค์เร่งความเร็วเพิ่มเป็นสองเท่า ทหารที่ตามมาหกคนต้องเร่งม้าตามเจ้าชายมาอย่างกระชั้นชิด
ม้าเจ็ดตัวเคลื่อนตัวผ่านม่านหมองยามราตรีประดุจฑูตพญายม รวดเร็วคล่องแคล่วว่องไวราวกับเกลียวคลื่นพายุ ก้าวข้ามทุกสรรพสิ่งอย่างง่ายดาย เบื้องหน้าพวกเข้าเป็นภูเขาลูกใหญ่ทะมึนตระหง่านกั้นทางที่มุ่งไปยังหมู่บ้าน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเจ้าชายและเหล่าทหารกล้า พวกเขาควบม้าอ้อมผ่านภูเขาไปด้วยความเร่งรีบ ไม่มีวาจาใดเอื้อนเอ่ยตลอดระยะการเดินทาง

“พระองค์ดูนั่น”   ทหารเอกนามคูสไนควบม้ามาตีขนาบข้างกับเจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง ซึ่งมองเห็นมาแต่ไกล ควันสีขาวขุ่นลอยฟุ้งขึ้นฟ้า

“เร็วเข้าทุกคน”   เจ้าชายฟาดาเฟียตะโกนบอกเหล่าทหาร

เพียงไม่นานทหารทั้งเจ็ดคนมาถึงเป้าหมาย หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาถูกทำลายย่อยยับ บ้านหลายครั้งถูกเผาจนเหลือแต่ตะกอนเถ้าถ่าน บ้านบ้างหลังยังคงลุกไหม้ ศพหลายศพนอนตายเกลื่อนกลาด บางศพยังนอนกอดลูกไว้ในอ้อมแขน

เจ้าชายฟาดาเฟียกระโดดลงจากหลังม้า เดินสำรวจหมู่บ้าน ด้วยความสะทกสะท้านใจกับสิ่งที่พวกไพรทั่มทำไว้กับหมู่บ้าน ครั้งหนึ่งหมู่บ้านเคยสงบสุข กลายเป็นสภาพราวกับขุมนรก พระองค์มองดูศพของชาวบ้านด้วยความเจ็บปวดใจ ดวงพระเนตรแดงก่ำ ร่างกายของพระองค์สั่นสะท้านไปทั้งตัว ด้วยความโกรธแค้นและสะเทือนใจ

“ พวกเรามาช้าไป ไอ้พวกสารเลวเราจักฆ่ามันให้หมดสิ้น”  พระองค์เอ่ยกับเหล่าทหาร น้ำเสียงเกรี้ยวกราดแววพระเนตรดุดันน่ากลัว มือกุมดาบแน่น

“ดูจากสภาพแล้วยังใหม่อยู่ คาดว่ามันมาถึงก่อนพวกเราเพียงไม่กี่ชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”  ทหารนามดิ๊ครายงานความแก่เจ้าชาย

“เราจะฝังศพพวกเขา” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยขึ้น

“ทุกคนขนศพชาวบ้านมากอง ณ จุดเดียวแล้วทำการฝังศพพวกเขาให้เรียบร้อย”  คูลไนหัวหน้าทหาร ตะโกนบอกเหล่าทหารที่กำลังเดินสำรวจ ทุกคนต่างเคลื่อนย้ายศพมารวมกัน เจ้าชายฟาดาเฟียอุ้มศพเด็กผู้หญิงด้วยใจสะท้านปวดร้าวในทรงอก พระองค์ค่อยๆวางศพเด็กน้อยลงอย่างทะนุถนอมราวกับว่าเด็กนั้นยังมีชีวิต

“โหดร้ายยิ่งนัก”   พระองค์พำพึม ตาเหม่อมองกองศพที่อยู่ตรงหน้า

“หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นับได้สิบหกศพ”  ดิ๊กรายงานแก่เจ้าชายฟาดาเฟีย

“คนที่เหลือน่าจะหนีรอดได้”  ทหารอีกคนเอ่ยขึ้น สายตาของเขายังจ้องมองกองศพ ด้วยความเศร้าใจ

“เราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”  เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ย

ทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียจัดการฝังศพชาวบ้านทุกคนออย่างเรียบร้อย ไฟที่ลุกไหม้โชติช่วงเริ่มดับลงเรื่อยๆ ความมืดมิดคืบคลานมาเยือน แต่ยังพอได้แสงสว่างจากสะเก็ดไฟที่คุกรุ่น

“กินฮอบส์ สะกดรายตามพวกมัน  เราจะไปฆ่าไอ้พวกผีร้ายให้หมดสิ้น”   เจ้าชายฟาดาเฟียสั่งทหารร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างพระองค์

“พ่ะย่ะค่ะ”   กินฮอบส์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง

ยังไม่ทันที่กินฮอบส์จะก้าวเดิน ก็มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งหน้าตาตื่นกลัววิ่งมุ่งตรงมาที่พวกเขา ตามหลังมาด้วยไพรทั่งสามตนมือถือดาบไล่ล่าเด็กน้อย
ทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียกระโดดเข้าขวางกั้นมันจากเด็กน้อย กวาดตวัดดาบฟาดฟันกันขึ้นอย่างดุดันน่ากลัว  เจ้าชายฟาดาเฟียที่ยืนอยู่ด้านหลัง รีบคว้าแขนเด็กชายไว้ก่อนที่จะวิ่งเตลิดไปไกล

“ไม่เป็นไรนะ เจ้าปลอดภัยแล้ว”  เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับเด็กชาย
  
เด็กชายเงยหน้ามองเจ้าชายฟาดาเฟียดวงแววตาที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัว ปนแปลกใจ ไม่แน่ใจชายที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร

“ไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยเจ้า มาหลบอยู่หลังข้า” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยกับเด็กน้อยอีกครั้งเมื่อเห็นแววตาคู่นั้น

“ท่านเป็นทหารหรือขอรับ” เด็กชายเอ่ยถาม

“ใช่--ข้าเป็นทหาร มาเพื่อช่วยเจ้า”  เจ้าชายฟาดาเฟียตอบน้ำเสียงหนักแน่น

เด็กชายยิ้มที่มุมปากด้วยความดีใจก่อนจะรีบหลบไปอยู่ด้านหลังเจ้าชาย เมื่อการต่อสู้ของทหารทั้งสามเคลื่อนตัวมาใกล้พวกเขาสองคน เด็กชายเกาะชายเสื้อเจ้าชายไว้มั่น สายตาเหลือบมองการต่อสู้ของเหล่าทหารทั้งสาม ด้วยความสนอกสนใจ  และไม่นานทหารกล้าของเจ้าชายฟาดาเฟีย ก็สังหารไพรทั่มสามตนนั่นลงอย่างง่ายดาย

การต่อสู้สงบลงทุกคนก็จับจ้องมายังเด็กน้อยที่รอดชีวิตเพียงคนเดียว  เจ้าชายฟาดาเฟียนั่งคุกเข่ามือสองข้างจับที่ไหล่เด็กชาย แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เจ้าชื่ออะไรหนูน้อย”

“เซเดอริก” เด็กน้อยตอบเสียงแผ่วเบา

“เซเดอริกเป็นชื่อที่เพราะทีเดียว  ข้าชอบชื่อนี้ หากข้ามีบุตร ข้าจะตั้งชื่อบุตรตามชื่อของเจ้า เจ้าจะอนุญาตหรือไม่”  เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยชื่นชมเด็กน้อยเพื่อปลอบขวัญ และก็ได้ผลเด็กชายยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ในชื่อของตน และพยักหน้าตอบรับคำขอของเจ้าชาย

“ที่นี้หมู่บ้านของเจ้าใช่หรือไม่”  เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยถามอีกครั้ง เด็กน้อยเพียงแต่พยักหน้ารับเป็นคำตอบ

“ข้าเสียใจด้วย--ข้ามาช่วยพวกเจ้าช้าไป”   เสียงเจ้าชายเอ่ยแผ่วเบา รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเรื่องที่เกิดในหมู่บ้านนี้

“กระผมพลัดหลงกับท่านพ่อท่านแม่ขอรับ  เราทั้งสามต่างวิ่งหนีเข้าป่า และทุกคนก็วิ่งหนีเข้าป่าเหมือนกัน ทุกคนวิ่งเร็วมาก บางคนก็ชนกันล้มเลย พวกนั่นตามเรามาติดๆ ทุกคนแตกตื่น หนีไปคนละทิศละทาง มือของกระผมหลุดจากมือท่านแม่ ท่านทั้งสองหายเข้าไปในความมืด กระผมวิ่งตามแต่หาท่านพ่อท่านแม่ไม่เจอ พวกนั่นก็ตามมา กระผมจึงหาที่ซ่อน พวกมันหากระผมไม่เจอ  กระผมจึงย้อนกลับมาที่หมู่บ้านเผื่อจะเจอท่านพ่อท่านแม่ และพวกมันก็เจอกระผมน่ะขอรับ-- ผมอยากไปหาท่านพ่อท่านแม่”

เด็กชายเซเดอริกเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างรีบเร่ง  ก่อนจบลงด้วยน้ำเสียงสะอื้นในลำคอ

“ข้าจะตามหาท่านพ่อท่านแม่ของเจ้า และคนอื่นๆ”  เจ้าชายฟาดาเฟียบอกแก่เด็กชาย  น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตั้งพระทัยมั่น

“ระวัง”  ดิ๊กตะโกนบอกทุกคนเมื่อเห็นไพรทั่มสองตนพุ่งออกมาจากความมืด และไม่นานอีกหลายตนก็วิ่งกรูมาล้อมพวกเขาทั้งหมดไว้  ไพรทั่มยี่สิบตนถือดาบพุ่งทะยานใส่พวกเขา

“คุ้มครององค์ชาย” เสียงของคูสไนตะโกนบอกทหาร

ทหารสองคนที่อยู่ใกล้เจ้าชายฟาดาเฟีย กระโดดเข้ามาขวางด้านหน้าพระองค์ ทั้งสองยกดาบต้านรับไพรทั่มที่มุ่งตรงมายังเจ้าชายฟาดาเฟีย

“คุ้มครองเด็ก เด็กต้องปลอดภัย”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่