สารบัญ นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม
https://ppantip.com/topic/39358562
“อ๊ากกก...!!! ทรมานเหลือเกิน/แม่จ๋า! ช่วยข้าด้วย/ฯลฯ” ท่ามกลางโลกอันมืดมิดและเสียงร้องโหยหวนจากเหล่าฝูงชนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังชักดิ้นชักงอ กะอื่น ๆ อันดูไม่ได้บนพื้นผิวทมิฬเรียบ ซึ่งมีลวดลายสีม่วงเรืองแรงกระจายไปทั่ว อากาศก็หนาวเหน็บมาก แม้แต่จะเป็นวิญญาณก็ตาม ถึงกับมีคราบน้ำแข็งเกาะตามร่างอยู่เลย
“อาาา...!!! ทนทานไม่ไหวอีกแล้ว” แถม ณ เบื้องหน้าเมื่อรู้สึกตัวกลับปรากฏภาพของน้องร่วมสาบานที่เคยเกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้นด้วยความรวดร้าว
เขาได้กัดฟันพาร่างกายมาคุกเข่าเข้าหาอย่างตาลีตาเหลือก ในระยะเกือบประชิดตัว จนแทบจะสัมผัสโดนเป้ากางเกง เลยทำให้ผู้ทรรศนาสับสนขึ้นไปอีกหลายขั้น ทั้ง ๆ ที่ความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวยังมิฟื้นคืนถึงระดับอันควร
“พี่พอลช่วยสังหารข้าเสียเถิด อย่างน้อย ๆ ท่านก็สามารถทำได้แน่” เซนเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง ท่าทีสื่อว่ามิไหวแล้วเต็ม ๆ เส้นเลือดสีดำปูดโปนตามใบหน้าครึ่งหนึ่ง ครั้นบางอย่างกำลังรีบชอกไชเคลื่อนเข้าสู่สมอง โดยมือขวากุมข้อแขนซ้ายเอาไว้สุดเรี่ยวแรง ประดุจอัลฟาเบทตัวแอลพิมพ์ใหญ่ปลายชี้ฟ้าอยู่
นิ้วมือกางและแข็งเกร็ง ปานจะฉีกขาดออกจากกันให้ได้ เพราะซีกร่างนี้ท่อนบนได้บวมพองสุด ๆ จากลำแขนถึงลำคอ จนอาจจะระเบิดขึ้น ถ้าเพิ่มกำลังจากภายในหรือข้างนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งตาขาวถูกพลังแห่งความมืดแทรกซึมทั้งคู่ น้ำที่หลั่งรินเป็นทางจึงมีลักษณะเดียวกันด้วย
“...”
(เซน! ข้าขอโทษ ตอนนี้ยังคงมึนงงไม่หาย ร่างเลยมิขยับดั่งใจเลยสักนิด ทำได้แค่มองดูเจ้า นี่ก็หรูหราแล้วนะ) พอลนึกในใจอย่างจำยอม ขณะที่ยืนหัวโด่เพียงบุคคลเดียวกลางกลุ่ม จึงคล้ายเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ เขาพยายามยื่นมือขวาไปคว้าหัวไหล่ของผู้เป็นน้อง แต่กลับมิกล้ามาแตะต้อง
“ฟ่อออ...!!!” เนื่องจากเจ้าอสรพิษตัวน้อย ๆ บนฝ่ามือซ้ายของพอลเองได้ข่มขู่ออกมาทันควัน เกล็ดตามร่างมีสีดำและเปล่งออร่าม่วงขาวขึ้นมิหยุด ลิ้นแดงสดสองแฉกแลบยาว ส่วนศีรษะถึงท้ายทอยเป็นปล่อง ๆ และปรากฏเดือยหนามควบคู่เลยดูดุร้ายยิ่งนัก หางเป็นรูปสมอเรือซึ่งปลายสั่นเป็นกระดิ่ง
“...”
(เจ้านี่ก็เหมือนกัน ทำไมถึงไม่กัดข้าล่ะ?) พอลครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด
เพราะในตอนแรกกำเนิด เมื่อเปลือกไข่โดนเจ้างูน้อยดูดกลืนต่างอาหารมื้อแรก พวกเขากลับจดจ้องกันแบบงงเต้กทีเดียว มันชูคอขึ้น แล้วส่ายไปมาและดวงตาก็หรี่ลงทันที เหมือนจะประเมินเขม็งอยู่สักช่วงหนึ่ง ระหว่างที่พรรคพวกตัวเรียว ๆ รอบข้างได้ฝังคมเขี้ยวโง้งที่ฝ่ามือของเหยื่อแต่ละรายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงพุ่งทะลวงเข้าสู่บาดแผลไปทั้งแบบนั้น
“ฟ่อออ...!!!” จู่ ๆ อสรพิษตัวน้อยก็กรอกดวงตาขึ้นบนอย่างมิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดีอยู่ครู่หนึ่ง พอตัดสินใจได้แล้ว จึงเร่งเลื้อยมาพันเกลียวรอบแขนซ้ายที่เคยขาดด้วน มันซึมซาบผ่านผิวหนังจนหมด ทำให้กลายเป็นรอยสักอันสวยงามในที่สุด โดยเปล่งออร่าสีม่วงขาวขึ้นและลามไปตามร่างกายมิหยุด
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น?” ครั้นเริ่มมีพลังงานมาขับเคลื่อนร่างกายแล้ว สติสัมปชัญญะก็กลับเข้าสู่ที่เดิม พอลจึงยื่นแขนขวาไปจับต้องรอยสักอย่างฉงนสนเท่ห์น่าดู เขารู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ในบัดดล ราวกับจิตวิญญาณถูกกระตุ้นให้เปลวไฟแห่งการต่อสู้ติดพรึ่บเป็นกองใหญ่ดื้อ ๆ
“แฮกกก...!!! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” ขณะที่ผู้คนรายล้อมรอบกำลังหอบจากปากแบบหายใจไม่ทัน เนื่องด้วยสภาพทางกายภาพเริ่มยุบแฟบลงทั้งหมดแล้ว รวมทั้งท่าทีของเซนด้วยในทางที่ดี ทำให้พอลหมดห่วงไปบ้าง ทว่าเหตุการณ์นี้กลับแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนจริง ๆ
“อ๊ากกก...!!! จะต้องตายอยู่แล้ว ใครก็ได้? ช่วยมาโปรดข้าที” ดังนั้นพอลเลยต้องจงใจล้มตัวลงเอง โดยกุมข้อมือซ้ายแนบแน่น ทั้งยังพลิกร่างกลับกลายเต็มความสามารถ เพื่อเข้ากับพวกด้วยให้ได้ทันที
(อาจจะซวยหนักก็ได้ ถ้าขืนเป็นจุดเด่นขึ้นมา) เขานึกในใจจากประสบการณ์ส่วนตัว โดยแสดงตรงบทบาทอยู่เยี่ยงนี้ ณ ระยะเวลามินานนัก
“อาาา...!!!/กรอดดด...!!!” สำเนียงครวญครางและการขบฟันทนเลยปรากฏขึ้นในชั่วอึดใจเดียว
“พะ พลัง! ข้ารู้สึกถึงอำนาจแห่งมนตราภายในร่างกายอีกครั้งแล้ว มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?” เซนต้องตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง ในท่วงท่านั่งคุกเข่ากับพื้น ตัวสั่นสะท้านด้วยความยินดี เมื่อได้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา ร่างวิญญาณที่โปร่งใสมีความเข้มขึ้นเหมือนกายหยาบจริง ๆ เช่นกับพอลและเหยื่อรายอื่น ๆ ดวงตาแผ่ออร่าสีดำเป็นประกาย
“เฮฮฮ...!!! พลังเวทย์! ข้ารู้สึกถึงมันภายในร่างกายอย่างเต็มเปี่ยมล้นไปเลย/อาาา...!!! ถึงเวลาได้ลืมตาอ้าปากอีกคราแล้ว/ดีล่ะ! ต้องเอาคืนพวกที่ดูถูกดูแคลนให้ได้ ไม่งั้นมิขอเป็นผู้คน/ชีวิตเอ้ย! ในที่สุดเจ้าก็กลับคืนมา/ฯลฯ” ผู้คนรอบข้างจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเฉกเช่นกัน โดยโวยวายกันด้วยความปรีดาชะมัด
“แถมยังเรืองฤทธิ์มากกว่าเดิมด้วย คราวนี้แหละ ตัวของข้า เซน กีโดรนจะกลับมาผงาดใหม่ พวกเจ้าเตรียมรับกรรมเอาไว้ได้เลย ฮา ๆ” ทำให้เซนต้องรีบเงยหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้าอันไร้แสงสว่าง เพื่อกู่ร้องแสดงความรู้สึกภายในแบบมิน้อยหน้าใคร
“...”
(เอาเข้าไป! จิตสำนึกช่างไขว้เขวมากเหลือเกิน) พอลคิดขึ้นอย่างปวดกบาล ขณะที่นอนราบกับพื้นและเงยหน้ามองผู้เป็นน้องจากเบื้องล่างพอดี
“เซน! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ดังนั้นเขาจึงหยุดแสดงและพยุงร่างขึ้นมานุ่งคุกเข้าบ้าง โดยยื่นมือได้คว้าหัวไหล่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“เปรี้ยง!” ทว่ากลับเกิดสภาวะต่อต้านขึ้นในทันใด ดั่งไฟแลบแปล๊บ ๆ
“พี่พอล! ท่านไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าต่อไปแล้ว” เพราะเซนได้ยกมือขึ้นปัดอย่างรวดเร็ว โดยใช้พลังเวทมนต์ไปด้วย
“ดูสิ เห็นแล้วใช่ไหม? ว่าข้าไม่คนเดิมที่ท่านจะมาโขกสับได้อีก ฮา ๆ” เขากล่าวขึ้นด้วยความไร้น้ำใจ พร้อมกับยืนตัวตรง เพื่อมองดูอีกฝ่ายจากเบื้องบนกว่า ซึ่งทำให้พอลรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก
(นี่เป็นวิญญาณนะ เจ้าบ้าเอ้ย! จะกลับเข้าสู่ร่างจริง ๆ ได้หรือเปล่า? ก็ยังไม่อาจล่วงรู้เลย) ผู้เป็นพี่คิดในใจอย่างหงุดหงิดยิ่งนัก
“เอ๊ะ! แผลเป็นที่ใบหน้าของท่านจางหายไปแล้วนี่ แขนซ้ายก็กลับมาแล้วด้วย” ก่อนที่ยืนขึ้นมาโต้ตอบด้วยกำลัง พอลกลับถูกคำพูดของเซนชักจูงซะก่อน ถึงกับหยุดกึกทันที เนื่องจากประการแรกยังไม่รู้สึกตัว
“เพล้ง!? ๆ ๆ ๆ ... ๆ” และในทันใดนั้นเอง เสียงร้าวรานได้ปรากฏขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ ณ เบื้องบน ราวกับกระจกแตกกระจายหลายร้อยบาน ท่ามกลางโลกอันเวิ้งว้างแห่งนี้
“เวรแล้วไง!” เมื่อพอลแหงนหน้าขึ้นมามอง ทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะมีวงเวทย์โบราณอันหลากสีสันผุดโผล่เต็มฟ้า ซึ่งส่งผลให้บิดเบี้ยวห้วงมิติให้แตกกระจายเป็นรอยโหว่ไปด้วย ทั้งยังมีผู้กระทำการทลายออกมาเสริมอีกต่างหาก ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งลงแบบเฉียบพลัน
“เซน! เร่งชิ่งด่วน อย่าเพิ่งมากำราบเสิบสานกันตอนนี้นะ” พอลเลยต้องดีดตัวขึ้นมาโดยไม่คิด มือขวาจึงคว้าหมับที่แขนของอีกฝ่ายที่กำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจเอากลับมาได้อีก เพื่อฉุดดึงให้เขาวิ่งตามไปอย่างเร่งรวด
“นี่ท่านทำอะไรน่ะ? ข้าพูดชัดเจนแล้วนะ” เซนที่ยังคงฮึกเหิมกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ว้าเว้ย! โง่งมยิ่งนัก แหกดูที่เบื้องบนซะ แล้วก็รีบทำตามคำสั่งของข้าเดี๋ยวนี้” พอลจึงตะคอกด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง เงื้อมส่งพละกำลังมากยิ่งขึ้น เพราะ ณ กาลต่อมาได้เหล่าคลื่นพลังงานอันท่วมท้นได้พุ่งเข้าใส่ทั้งฝูงชนที่เบื้องล่างในบัดดล
“บ้าเอ้ย!” มือทั้งคู่ของ [ความมืดมิด] ถึงต้องกำแน่นสุด ๆ ณ เหนือฟากฟ้าในโลกใบเดียวกัน
(เจ้านี่ปากเปราะจริง ๆ ข้าก็โง่บรมนัก ไม่น่าเชื่อถือมันเลย) เนื่องด้วยกำลังคิดแค้นตัวเองอยู่ สำหรับผู้คนเบื้องล่างถึงจะตื่นตัวช้าเกินไปสักหน่อย เพราะฤทธิ์เดชของพลังแฝงยังคงตกค้างอยู่ภายในร่าง ครั้นยังดูดกลืนไม่สิ้นสุด แต่ส่วนใหญ่จะแตกฮือต่อ เสมือนฝูงปลาเล็กปลาน้อยพานพบเจอกับเหล่าผู้ล่า
“เปรี้ยงงง...!!!/ตูมมม...!!!/เฟี้ยววว...!!!/ฯลฯ”
“อ๊ากกก...!!!”x??? เนื่องจากพวกเขากำลังถูกต้อนรับขับสู้เยี่ยงคนบาปหนาอยู่น่ะสิ
“เริ่มปฏิบัติการณ์ได้/ฮา ๆ รีบเข้าตีกันเถอะ/อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ เมื่ออยากมีเรื่อง พวกเราก็จะจัดให้/ฯลฯ” โดยฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนแทบร้อยหนึ่ง แต่สุ่มเสียงกลับพร้อมเพรียงกันจริง ๆ
สไตล์การแต่งตัวจึงมากธรรมเนียม แถมสีหน้าท่าทางยังถมึนทึงกันทั้งแถบ โดยส่วนใหญ่จะเปิดฉากจู่โจมก่อนเลย ด้วยคลื่นพลังวงกว้าง จนเป้าหมายเกือบสิ้นสภาพไปกว่าครึ่ง ต่อมาก็อาวุธประจำกายและอื่น ๆ ตามความสะดวกสบายในการลงมือ
บทบาทของแต่ละท่านได้จัดแจงมาเป็นอย่างดี โดยทำร้ายกันตรง ๆ ระนาวตามสัดส่วนสำคัญ ๆ ทั้งมิใช่ของร่างกาย ซึ่งพวกเขาไม่เคยสนเพศ สถานภาพและวัยวุฒิ เนื่องด้วยยึดผลลัพธ์อันจับต้องได้เป็นหลักฐาน ความเห็นใจจึงไม่ปรากฏเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าพวกช้าชั่วเอ้ย! กล้าดีอย่างไรกัน? พวกเขาจะกำลังเริ่มต้นด้วยดีอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาขัดขวางเอาไว้อีก เลวมาก” [ความมืดมิด] จึงต้องตะโกนอย่างเดือดดาล ขณะที่กำลังรีบเร่งลงไปห้ามปรามสุดฤทธิ์
“อั่ก!” ซึ่งคงไม่เป็นไปตามประสงค์อีกแล้ว เพราะเมื่อเขาเหินลงสุดตัวได้แค่ 10 กว่าเมตร ก็มีอีกสิ่งหนึ่งวาร์ปเข้ามากระแทกจากด้านหลังอย่างจัง
[ความมืดมิด] เลยต้องกระเด็นตามแรงชน แถมยังโดนรวบตัวเอาไว้ก่อนด้วย โดยมีเหล่าโซ่สีทองทะลวงมิติมาผนึกเสริมอีกชั้น เพื่อล่ามแทบหมดทั้งตัว ทำให้การเคลื่อนที่ต้องชะงักงัน อีกฝ่ายเลยถือโอกาสฝืนจัดท่วงท่าของเขาใหม่ จนแขนขากางออกเป็นรูปดาวห้าแฉก ศีรษะจึงบวมพองปานลูกโป่งอัดก๊าซ
“ใครกันที่กล้าลองของน่ะ?” อารมณ์ของ [ความมืดมิด] เลยเดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว เขาจึงหันหลังกลับไปในทันควัน
“... บ้าน่า!? อำนาจเร้นลับ ท่านมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย?” ซึ่งทำให้ต้องตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 12 วิกฤตในความมืด]
https://ppantip.com/topic/39358562
“อ๊ากกก...!!! ทรมานเหลือเกิน/แม่จ๋า! ช่วยข้าด้วย/ฯลฯ” ท่ามกลางโลกอันมืดมิดและเสียงร้องโหยหวนจากเหล่าฝูงชนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังชักดิ้นชักงอ กะอื่น ๆ อันดูไม่ได้บนพื้นผิวทมิฬเรียบ ซึ่งมีลวดลายสีม่วงเรืองแรงกระจายไปทั่ว อากาศก็หนาวเหน็บมาก แม้แต่จะเป็นวิญญาณก็ตาม ถึงกับมีคราบน้ำแข็งเกาะตามร่างอยู่เลย
“อาาา...!!! ทนทานไม่ไหวอีกแล้ว” แถม ณ เบื้องหน้าเมื่อรู้สึกตัวกลับปรากฏภาพของน้องร่วมสาบานที่เคยเกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้นด้วยความรวดร้าว
เขาได้กัดฟันพาร่างกายมาคุกเข่าเข้าหาอย่างตาลีตาเหลือก ในระยะเกือบประชิดตัว จนแทบจะสัมผัสโดนเป้ากางเกง เลยทำให้ผู้ทรรศนาสับสนขึ้นไปอีกหลายขั้น ทั้ง ๆ ที่ความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวยังมิฟื้นคืนถึงระดับอันควร
“พี่พอลช่วยสังหารข้าเสียเถิด อย่างน้อย ๆ ท่านก็สามารถทำได้แน่” เซนเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง ท่าทีสื่อว่ามิไหวแล้วเต็ม ๆ เส้นเลือดสีดำปูดโปนตามใบหน้าครึ่งหนึ่ง ครั้นบางอย่างกำลังรีบชอกไชเคลื่อนเข้าสู่สมอง โดยมือขวากุมข้อแขนซ้ายเอาไว้สุดเรี่ยวแรง ประดุจอัลฟาเบทตัวแอลพิมพ์ใหญ่ปลายชี้ฟ้าอยู่
นิ้วมือกางและแข็งเกร็ง ปานจะฉีกขาดออกจากกันให้ได้ เพราะซีกร่างนี้ท่อนบนได้บวมพองสุด ๆ จากลำแขนถึงลำคอ จนอาจจะระเบิดขึ้น ถ้าเพิ่มกำลังจากภายในหรือข้างนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งตาขาวถูกพลังแห่งความมืดแทรกซึมทั้งคู่ น้ำที่หลั่งรินเป็นทางจึงมีลักษณะเดียวกันด้วย
“...”
(เซน! ข้าขอโทษ ตอนนี้ยังคงมึนงงไม่หาย ร่างเลยมิขยับดั่งใจเลยสักนิด ทำได้แค่มองดูเจ้า นี่ก็หรูหราแล้วนะ) พอลนึกในใจอย่างจำยอม ขณะที่ยืนหัวโด่เพียงบุคคลเดียวกลางกลุ่ม จึงคล้ายเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ เขาพยายามยื่นมือขวาไปคว้าหัวไหล่ของผู้เป็นน้อง แต่กลับมิกล้ามาแตะต้อง
“ฟ่อออ...!!!” เนื่องจากเจ้าอสรพิษตัวน้อย ๆ บนฝ่ามือซ้ายของพอลเองได้ข่มขู่ออกมาทันควัน เกล็ดตามร่างมีสีดำและเปล่งออร่าม่วงขาวขึ้นมิหยุด ลิ้นแดงสดสองแฉกแลบยาว ส่วนศีรษะถึงท้ายทอยเป็นปล่อง ๆ และปรากฏเดือยหนามควบคู่เลยดูดุร้ายยิ่งนัก หางเป็นรูปสมอเรือซึ่งปลายสั่นเป็นกระดิ่ง
“...”
(เจ้านี่ก็เหมือนกัน ทำไมถึงไม่กัดข้าล่ะ?) พอลครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด
เพราะในตอนแรกกำเนิด เมื่อเปลือกไข่โดนเจ้างูน้อยดูดกลืนต่างอาหารมื้อแรก พวกเขากลับจดจ้องกันแบบงงเต้กทีเดียว มันชูคอขึ้น แล้วส่ายไปมาและดวงตาก็หรี่ลงทันที เหมือนจะประเมินเขม็งอยู่สักช่วงหนึ่ง ระหว่างที่พรรคพวกตัวเรียว ๆ รอบข้างได้ฝังคมเขี้ยวโง้งที่ฝ่ามือของเหยื่อแต่ละรายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงพุ่งทะลวงเข้าสู่บาดแผลไปทั้งแบบนั้น
“ฟ่อออ...!!!” จู่ ๆ อสรพิษตัวน้อยก็กรอกดวงตาขึ้นบนอย่างมิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดีอยู่ครู่หนึ่ง พอตัดสินใจได้แล้ว จึงเร่งเลื้อยมาพันเกลียวรอบแขนซ้ายที่เคยขาดด้วน มันซึมซาบผ่านผิวหนังจนหมด ทำให้กลายเป็นรอยสักอันสวยงามในที่สุด โดยเปล่งออร่าสีม่วงขาวขึ้นและลามไปตามร่างกายมิหยุด
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น?” ครั้นเริ่มมีพลังงานมาขับเคลื่อนร่างกายแล้ว สติสัมปชัญญะก็กลับเข้าสู่ที่เดิม พอลจึงยื่นแขนขวาไปจับต้องรอยสักอย่างฉงนสนเท่ห์น่าดู เขารู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ในบัดดล ราวกับจิตวิญญาณถูกกระตุ้นให้เปลวไฟแห่งการต่อสู้ติดพรึ่บเป็นกองใหญ่ดื้อ ๆ
“แฮกกก...!!! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” ขณะที่ผู้คนรายล้อมรอบกำลังหอบจากปากแบบหายใจไม่ทัน เนื่องด้วยสภาพทางกายภาพเริ่มยุบแฟบลงทั้งหมดแล้ว รวมทั้งท่าทีของเซนด้วยในทางที่ดี ทำให้พอลหมดห่วงไปบ้าง ทว่าเหตุการณ์นี้กลับแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนจริง ๆ
“อ๊ากกก...!!! จะต้องตายอยู่แล้ว ใครก็ได้? ช่วยมาโปรดข้าที” ดังนั้นพอลเลยต้องจงใจล้มตัวลงเอง โดยกุมข้อมือซ้ายแนบแน่น ทั้งยังพลิกร่างกลับกลายเต็มความสามารถ เพื่อเข้ากับพวกด้วยให้ได้ทันที
(อาจจะซวยหนักก็ได้ ถ้าขืนเป็นจุดเด่นขึ้นมา) เขานึกในใจจากประสบการณ์ส่วนตัว โดยแสดงตรงบทบาทอยู่เยี่ยงนี้ ณ ระยะเวลามินานนัก
“อาาา...!!!/กรอดดด...!!!” สำเนียงครวญครางและการขบฟันทนเลยปรากฏขึ้นในชั่วอึดใจเดียว
“พะ พลัง! ข้ารู้สึกถึงอำนาจแห่งมนตราภายในร่างกายอีกครั้งแล้ว มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?” เซนต้องตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง ในท่วงท่านั่งคุกเข่ากับพื้น ตัวสั่นสะท้านด้วยความยินดี เมื่อได้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา ร่างวิญญาณที่โปร่งใสมีความเข้มขึ้นเหมือนกายหยาบจริง ๆ เช่นกับพอลและเหยื่อรายอื่น ๆ ดวงตาแผ่ออร่าสีดำเป็นประกาย
“เฮฮฮ...!!! พลังเวทย์! ข้ารู้สึกถึงมันภายในร่างกายอย่างเต็มเปี่ยมล้นไปเลย/อาาา...!!! ถึงเวลาได้ลืมตาอ้าปากอีกคราแล้ว/ดีล่ะ! ต้องเอาคืนพวกที่ดูถูกดูแคลนให้ได้ ไม่งั้นมิขอเป็นผู้คน/ชีวิตเอ้ย! ในที่สุดเจ้าก็กลับคืนมา/ฯลฯ” ผู้คนรอบข้างจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเฉกเช่นกัน โดยโวยวายกันด้วยความปรีดาชะมัด
“แถมยังเรืองฤทธิ์มากกว่าเดิมด้วย คราวนี้แหละ ตัวของข้า เซน กีโดรนจะกลับมาผงาดใหม่ พวกเจ้าเตรียมรับกรรมเอาไว้ได้เลย ฮา ๆ” ทำให้เซนต้องรีบเงยหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้าอันไร้แสงสว่าง เพื่อกู่ร้องแสดงความรู้สึกภายในแบบมิน้อยหน้าใคร
“...”
(เอาเข้าไป! จิตสำนึกช่างไขว้เขวมากเหลือเกิน) พอลคิดขึ้นอย่างปวดกบาล ขณะที่นอนราบกับพื้นและเงยหน้ามองผู้เป็นน้องจากเบื้องล่างพอดี
“เซน! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ดังนั้นเขาจึงหยุดแสดงและพยุงร่างขึ้นมานุ่งคุกเข้าบ้าง โดยยื่นมือได้คว้าหัวไหล่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“เปรี้ยง!” ทว่ากลับเกิดสภาวะต่อต้านขึ้นในทันใด ดั่งไฟแลบแปล๊บ ๆ
“พี่พอล! ท่านไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าต่อไปแล้ว” เพราะเซนได้ยกมือขึ้นปัดอย่างรวดเร็ว โดยใช้พลังเวทมนต์ไปด้วย
“ดูสิ เห็นแล้วใช่ไหม? ว่าข้าไม่คนเดิมที่ท่านจะมาโขกสับได้อีก ฮา ๆ” เขากล่าวขึ้นด้วยความไร้น้ำใจ พร้อมกับยืนตัวตรง เพื่อมองดูอีกฝ่ายจากเบื้องบนกว่า ซึ่งทำให้พอลรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก
(นี่เป็นวิญญาณนะ เจ้าบ้าเอ้ย! จะกลับเข้าสู่ร่างจริง ๆ ได้หรือเปล่า? ก็ยังไม่อาจล่วงรู้เลย) ผู้เป็นพี่คิดในใจอย่างหงุดหงิดยิ่งนัก
“เอ๊ะ! แผลเป็นที่ใบหน้าของท่านจางหายไปแล้วนี่ แขนซ้ายก็กลับมาแล้วด้วย” ก่อนที่ยืนขึ้นมาโต้ตอบด้วยกำลัง พอลกลับถูกคำพูดของเซนชักจูงซะก่อน ถึงกับหยุดกึกทันที เนื่องจากประการแรกยังไม่รู้สึกตัว
“เพล้ง!? ๆ ๆ ๆ ... ๆ” และในทันใดนั้นเอง เสียงร้าวรานได้ปรากฏขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ ณ เบื้องบน ราวกับกระจกแตกกระจายหลายร้อยบาน ท่ามกลางโลกอันเวิ้งว้างแห่งนี้
“เวรแล้วไง!” เมื่อพอลแหงนหน้าขึ้นมามอง ทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะมีวงเวทย์โบราณอันหลากสีสันผุดโผล่เต็มฟ้า ซึ่งส่งผลให้บิดเบี้ยวห้วงมิติให้แตกกระจายเป็นรอยโหว่ไปด้วย ทั้งยังมีผู้กระทำการทลายออกมาเสริมอีกต่างหาก ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งลงแบบเฉียบพลัน
“เซน! เร่งชิ่งด่วน อย่าเพิ่งมากำราบเสิบสานกันตอนนี้นะ” พอลเลยต้องดีดตัวขึ้นมาโดยไม่คิด มือขวาจึงคว้าหมับที่แขนของอีกฝ่ายที่กำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจเอากลับมาได้อีก เพื่อฉุดดึงให้เขาวิ่งตามไปอย่างเร่งรวด
“นี่ท่านทำอะไรน่ะ? ข้าพูดชัดเจนแล้วนะ” เซนที่ยังคงฮึกเหิมกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ว้าเว้ย! โง่งมยิ่งนัก แหกดูที่เบื้องบนซะ แล้วก็รีบทำตามคำสั่งของข้าเดี๋ยวนี้” พอลจึงตะคอกด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง เงื้อมส่งพละกำลังมากยิ่งขึ้น เพราะ ณ กาลต่อมาได้เหล่าคลื่นพลังงานอันท่วมท้นได้พุ่งเข้าใส่ทั้งฝูงชนที่เบื้องล่างในบัดดล
“บ้าเอ้ย!” มือทั้งคู่ของ [ความมืดมิด] ถึงต้องกำแน่นสุด ๆ ณ เหนือฟากฟ้าในโลกใบเดียวกัน
(เจ้านี่ปากเปราะจริง ๆ ข้าก็โง่บรมนัก ไม่น่าเชื่อถือมันเลย) เนื่องด้วยกำลังคิดแค้นตัวเองอยู่ สำหรับผู้คนเบื้องล่างถึงจะตื่นตัวช้าเกินไปสักหน่อย เพราะฤทธิ์เดชของพลังแฝงยังคงตกค้างอยู่ภายในร่าง ครั้นยังดูดกลืนไม่สิ้นสุด แต่ส่วนใหญ่จะแตกฮือต่อ เสมือนฝูงปลาเล็กปลาน้อยพานพบเจอกับเหล่าผู้ล่า
“เปรี้ยงงง...!!!/ตูมมม...!!!/เฟี้ยววว...!!!/ฯลฯ”
“อ๊ากกก...!!!”x??? เนื่องจากพวกเขากำลังถูกต้อนรับขับสู้เยี่ยงคนบาปหนาอยู่น่ะสิ
“เริ่มปฏิบัติการณ์ได้/ฮา ๆ รีบเข้าตีกันเถอะ/อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ เมื่ออยากมีเรื่อง พวกเราก็จะจัดให้/ฯลฯ” โดยฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนแทบร้อยหนึ่ง แต่สุ่มเสียงกลับพร้อมเพรียงกันจริง ๆ
สไตล์การแต่งตัวจึงมากธรรมเนียม แถมสีหน้าท่าทางยังถมึนทึงกันทั้งแถบ โดยส่วนใหญ่จะเปิดฉากจู่โจมก่อนเลย ด้วยคลื่นพลังวงกว้าง จนเป้าหมายเกือบสิ้นสภาพไปกว่าครึ่ง ต่อมาก็อาวุธประจำกายและอื่น ๆ ตามความสะดวกสบายในการลงมือ
บทบาทของแต่ละท่านได้จัดแจงมาเป็นอย่างดี โดยทำร้ายกันตรง ๆ ระนาวตามสัดส่วนสำคัญ ๆ ทั้งมิใช่ของร่างกาย ซึ่งพวกเขาไม่เคยสนเพศ สถานภาพและวัยวุฒิ เนื่องด้วยยึดผลลัพธ์อันจับต้องได้เป็นหลักฐาน ความเห็นใจจึงไม่ปรากฏเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าพวกช้าชั่วเอ้ย! กล้าดีอย่างไรกัน? พวกเขาจะกำลังเริ่มต้นด้วยดีอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาขัดขวางเอาไว้อีก เลวมาก” [ความมืดมิด] จึงต้องตะโกนอย่างเดือดดาล ขณะที่กำลังรีบเร่งลงไปห้ามปรามสุดฤทธิ์
“อั่ก!” ซึ่งคงไม่เป็นไปตามประสงค์อีกแล้ว เพราะเมื่อเขาเหินลงสุดตัวได้แค่ 10 กว่าเมตร ก็มีอีกสิ่งหนึ่งวาร์ปเข้ามากระแทกจากด้านหลังอย่างจัง
[ความมืดมิด] เลยต้องกระเด็นตามแรงชน แถมยังโดนรวบตัวเอาไว้ก่อนด้วย โดยมีเหล่าโซ่สีทองทะลวงมิติมาผนึกเสริมอีกชั้น เพื่อล่ามแทบหมดทั้งตัว ทำให้การเคลื่อนที่ต้องชะงักงัน อีกฝ่ายเลยถือโอกาสฝืนจัดท่วงท่าของเขาใหม่ จนแขนขากางออกเป็นรูปดาวห้าแฉก ศีรษะจึงบวมพองปานลูกโป่งอัดก๊าซ
“ใครกันที่กล้าลองของน่ะ?” อารมณ์ของ [ความมืดมิด] เลยเดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว เขาจึงหันหลังกลับไปในทันควัน
“... บ้าน่า!? อำนาจเร้นลับ ท่านมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย?” ซึ่งทำให้ต้องตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก