นิยาย...emergency love วิกฤตรักฉบับฉุกเฉิน ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 2...ป้ายชื่อกับกาแฟ


            ประตูแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับร่างของนายแพทย์ครรชิตและหมอเจ้าของเวร หลังจากที่เขาตัดสินใจขึ้นรถกู้ชีพมาส่งผู้บาดเจ็บด้วยตัวเองเนื่องจากประเมินอาการแล้วว่าหากไม่มีคนเคลียร์ทางเดินหายใจ คนไข้อาจตายก่อนถึงโรงพยาบาล จึงเป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงต้องมาด้วย


                “ขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับ นับเป็นความโชคดีของคนไข้ ไม่อย่างนั้นผมว่า case นี้ก็คงไม่รอด”

                “ยินดีครับ ผมเองก็ดีใจที่ได้ช่วยชีวิตคนไข้” นายแพทย์ครรชิตเอ่ยได้แค่นั้นเพราะตกใจกับเสียงเรียกของพยาบาลนางหนึ่งที่วิ่งมาหน้าตาตื่น

                “แย่แล้วค่ะ บนดาดฟ้ามีคนไข้จะฆ่าตัวตาย” พยาบาลวิ่งมาบอกคุณหมอคนนั้นแต่เขาที่ได้ฟังถึงกับใจเต้นแรงก่อนจะขอตัวแล้วตรงไปยังจุดที่พยาบาลคนนั้นบอกไว้

“ใจเย็นๆ นะคะคนไข้”

                เป็นเสียงของแพทย์หญิงสิริลักษณ์ที่เข้าไปไกล่เกลี่ยเมื่อคนไข้กำลังคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย หากเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมา โรงพยาบาลไม่เพียงเสียชื่อแต่มันจะมีผลต่อการประเมินคุณภาพในไตรมาศแรก ดังนั้น หญิงสาวจะไม่มีวันให้คนไข้ในความรับผิดชอบของเธอทำเรื่องนี้สำเร็จ

                “อย่าเข้ามานะ หนูไม่คุยกับหมอ หนูไม่คุยกับใครทั้งนั้น ออกไป หนูอยากตาย ได้ยินไหมว่าหนูอยากตาย” คนไข้วัยสิบเจ็ดปีตะโกนลั่น เธอกำลังยืนอยู่ที่ขอบพื้นชันและพร้อมจะกระโดดลงไปทุกเมื่อ แพทย์สาวพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้งแม้ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

                “ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ การตายไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก”

                “ไม่ต้องมาพูด บอกแล้วไงว่าหนูไม่คุยกับหมอ”

                “ก็อย่าคิดว่าฉันเป็นหมอสิคะ ฉันกำลังพูดในฐานะคนทั่วไป ฉันอยากให้คุณนึกถึงคนที่รักคุณให้มากๆ คุณแม่ของคุณ ท่านรอให้คุณกลับไปหาท่านด้วยความหวังว่าคุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลองนึกดูสิคะ ในวันที่คุณประสบความสำเร็จใครจะมีความสุขมากที่สุด ใครจะภูมิใจในตัวคุณ อย่าทำแบบนี้เลย อย่าทำร้ายคนที่รักคุณด้วยวิธีนี้เลย ยื่นมือมาให้ฉัน แล้วเราค่อยมาหาทางแก้ไขกัน ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เสมอ” แพทย์หญิงสิริลักษณ์ยื่นมือออกไปข้างหน้าหวังลึกๆ ว่าคนไข้จะยอมใจอ่อนแต่ผิดคาด

                “ไม่ อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นหนูจะโดดลงไปจริงๆ ด้วย ออกไป”

                นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังมีประชาชนทั่วไปยืนลุ้นอยู่และหนึ่งในนั้นก็มีนายแพทย์หนุ่มร่วมอยู่ด้วย ครรชิตหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นหมอที่เขาสนใจกำลังทำในสิ่งที่เสี่ยงตายด้วยการขึ้นไปยืนบนราวระเบียงด้วยกันกับคนไข้ เสียงกรีดร้องของผู้ชมทำให้คนไข้ยิ่งสับสน

                “นั่น หมอจะทำอะไร” คนไข้วัยรุ่นถามเสียงสั่นๆ

                “ฉันก็จะทำเหมือนคุณไง ถ้าคุณคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ดี ฉันก็อยากตายเหมือนกัน เพราะปัญหาที่ฉันมีจะได้ไม่มารบกวนจิตใจฉันอีก”

                “ระดับหมอจะมีปัญหาอะไร”

                “หมอบอกแล้วไงว่าทุกคนก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น หมอเองก็มี มีมากซะด้วย แต่หมอไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลย หมอถือว่าปัญหาคือบทเรียนที่หมอจะต้องเรียนรู้และผ่านมันไปให้ได้ ลองคิดดูสิ ระหว่างมีชีวิตอยู่ต่อไปกับตายอย่างน่าสมเพช ถ้าเป็นหมอ หมอเลือกที่จะอยู่ต่อและใช้โอกาสที่เรายังมีลมหายใจทำแต่เรื่องดีๆ” แพทย์สาวโดดลงจากระเบียงอย่างใจเย็น เงยหน้ามองคนไข้ที่เหมือนจะเริ่มเอียงเอนมาทางเธอ

                “เห็นไหม ความตายอยู่ใกล้นิดเดียวเอง แต่ถ้ายังมีโอกาสเลี่ยงก็ควรจะเลี่ยงมันซะ เหมือนอย่างที่หมอกำลังทำอยู่ตอนนี้ เอาละ หมอลงมาแล้วคนไข้ก็ต้องลงมาด้วยนะคะ ยื่นมือมาให้หมอแล้วจับมือหมอไว้ หมอรับปากว่าจะไม่ปล่อยมือคนไข้ไปแน่นอน” เธอยื่นมือไปให้ดูปฏิกิริยา คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนไข้เริ่มเอนออกับคำพูดนั้นแล้ว

            แต่บางทีคนรอบตัวก็มักทำเสียเรื่อง


                “ทางนี้เลยค่ะพี่ยาม”

เสียงพยาบาลผู้ดูแลคนไข้ตะโกนมาพร้อมกับชี้ทางให้ยาม พอคนไข้เห็นก็ทำท่าหวาดผวา ตกใจอย่างเห็นได้ชัดและจังหวะไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“ว้าย...กรี๊ด...”

ร่างคนไข้เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่จนเอนไปข้างหลังก่อนจะตกลงไปข้างล่างท่ามกลางเสียงกรีดร้องของทุกคนในละแวกนั้น

                “กรี๊ด...กรี๊ด...หมอช่วยหนูด้วย” เสียงนั้นแทบทำให้แพทย์สาวใจหายวาบเพราะคิดว่าคนไข้ตกตึกไปแล้วแต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่ามีคนมาช่วยไว้ทัน

                “จับมือผมไว้นะครับ ห้ามปล่อยเด็ดขาด”

นายแพทย์ครรชิตเข้ามาช่วยไว้ได้ทันเวลา พยายามจะดึงคนไข้ขึ้นมาแต่เขาคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มเป่าปากเริ่มรู้สึกว่าแรงมือกำลังจะหมดไปอาจเพราะคนไข้พยายามดิ้นจนกลายเป็นถ่วงน้ำหนัก มันเลยยากเข้าไปใหญ่ เขามองหน้าคนไข้ด้วยความรู้สึกสงสาร ดวงตาคู่นั้นมองจ้องเขาอย่างเว้าวอนราวกับขอร้องไม่ให้เขาปล่อยมือไป หยาดเหงื่อไหลออกมาเป็นหยดๆ สำหรับตอนนี้มันไม่ง่ายเลย ในใจได้แต่ขอให้มีปาฏิหาริย์ก่อนที่กำลังมือจะหมดไปจริงๆ

                “อย่าปล่อยมือหมอไปนะ ต้องจับไว้ให้แน่นๆ เข้าใจไหม”   

                ก่อนที่พละกำลังของศัลยแพทย์หนุ่มจะหมดไปจริงๆ เสียงนั้นก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่เข้าไปช่วยจับมือคนไข้ไว้ เขามองเธอนิ่งราวกับต้องสะกด

“หมอจะไม่มีทางยอมให้คนไข้ตายง่ายๆ แบบนี้หรอก” แพทย์หญิงสิริลักษณ์ว่า แล้วตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนที่ยังมุงดูอยู่ ไม่นานยามสองคนก็วิ่งเข้ามาช่วยจนสามารถพาร่างของคนไข้ขึ้นมาได้ อาจเพราะอาการเหนื่อยล้าบวกกับความตกใจสุดขีดจึงทำให้คนไข้หมดสติไป

                “รีบพาคนไข้กลับไปที่ห้องพักซะ แล้วก็อย่าปล่อยให้คนไข้หนีออกมาได้อีก ไม่งั้นหมอเล่นงานคุณแน่” หญิงสาวหันมาเอ่ยเสียงเข้มกับพยาบาลที่ยืนรับคำมาอย่างสั่นๆ ก่อนจะรีบพาคนไข้ออกไป

                หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผมไว้หลังหูข้างหนึ่ง อาการเหนื่อยยังไม่หายไปเห็นได้จากการหายใจหอบถี่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าไม่ควรไว้ใจคนไข้ รวมถึงความสะเพร่าของผู้ดูแลด้วย

มือเล็กกระชับเสื้อกาวน์ให้เข้าที่ก่อนสายตาคู่หวานจะหันไปมองตามใจสั่งเมื่อรู้สึกเหมือนถูกมอง และก็เป็นเช่นนั้น ชายคนนั้น คนที่ช่วยเหลือคนไข้ของเธอ          สัมผัสแรกคือดวงตาคู่นั้นมีพลังมากมายที่สามารถทำให้หัวใจเธอเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ และความรู้สึกนั้นก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ด้วยว่ามันคืออะไรกันแน่ ดวงตาหวานหันกลับไปมองทางอื่นก่อนจะตัดสินใจเดินจากไปโดยไม่ทันได้เห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของอีกฝ่าย

นายแพทย์ครรชิตกำลังรอเครื่องดื่มที่สั่งกับร้านกาแฟซึ่งอยู่ข้างโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่าน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพนักงานในร้าน กระทั่งกาแฟแก้วนั้นถูกวางลงตรงหน้าแต่กลิ่นหอมติดจมูกของกาแฟนั้นไม่ได้ทำให้คนใจลอยตื่นจากภวังค์ เมื่อหมอหนุ่มยังคงนั่งนิ่งเพียงเพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เขาคิดถึงเธอมากขนาดมองเด็กในร้านเป็นผู้หญิงในฝันไปแล้วเหรอ

                “กาแฟของคุณ รับไปสิคะ”

                “หะ” นายแพทย์ครรชิตมึนตื้อเหมือนยังไม่ตื่นแต่ก็เอื้อมมือไปรับมาอย่างงงๆ เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดก็ในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าคือหมอคนสวยคนนั้นจริงๆ และเธอกำลังนั่งเก้าอี้ลงตรงข้ามเขาโดยในมือยังกำ Stethoscope อยู่เลย

                “เออ...” เขากลืนน้ำลายไปอึดหนึ่งแล้วเม้มปากเข้าหากันก่อนจะยิ้มฝืดๆ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาในครั้งนี้ยังไงดี ยอมรับว่าการมาของเธอมันกระชันชิดจนตั้งตัวไม่ติด

                “เรื่องเมื่อกี้ ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะ”

                เป็นเธอที่เริ่มต้นประโยคสนทนาก่อนพร้อมกับยิ้มให้ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่โดดเด่นนักแต่สำหรับศัลยแพทย์หนุ่ม มันคือรอยยิ้มที่ทรงคุณค่าและดีงามต่อใจเขามาก

                “ยินดีครับ เผอิญผมเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องแค่นั้นสบายมากครับ” คนตอบ หน้าตายแม้จะฟังดูเลี่ยนๆ ไปหน่อย

                “อ๋อ...แบบนี้นี่เอง ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณแทนคนไข้ค่ะ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ป่านนี้คงเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ไม่แน่ฉันอาจถูกคณะกรรมการสอบสวน”

                “คงจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้นมั้งครับ” เขาออกความคิด ยังได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ แฝงไว้ น่าแปลกที่มันมีเสน่ห์อย่างน่าดึงดูด

                “แล้วนี่ มาเยี่ยมใครหรือคะ”

                “ครับ” ครรชิตทำหน้างงก่อนจะนึกขึ้นได้ตอบกลับไปว่า ‘เปล่า’ ตนแค่เป็นพลเมืองดีพาคนเจ็บมาส่งโรงพยาบาลจากนั้นก็คิดว่าจะกลับเลยแต่ต้องเปลี่ยนแผนเพราะมาเจอเหตุการณ์นี้เสียก่อน

“ถือเป็นความผิดของฉันเองค่ะที่ไม่กำชับพยาบาลให้ดี จนปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้”

“อย่าไปคิดให้มันเครียดเลยครับ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ที่สำคัญคนเราก็มีโอกาสผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น” เขาว่ายิ้มๆ

                พนักงานของร้านเดินถือแก้วกาแฟออกมาพร้อมกับเสิร์ฟให้ แพทย์หญิงสิริลักษณ์รับมาถือไว้ก่อนจะล้วงบางอย่างในกระเป๋าเสื้อกาวน์แต่พอรู้ว่ามันว่างเปล่าก็ถึงกับทำหน้าเซ็ง หันมามองชายหนุ่มที่กำลังดูดน้ำกาแฟอย่างเอร็ดอร่อย

                “โทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณจ่ายเงินค่าน้ำไปแล้วหรือยัง”

                “หะ อ๋อ ไม่ต้องครับ ผมจ่ายเองได้” นายแพทย์ครรชิตเอ่ยอย่างเกรงใจ รู้สึกดีในความมีน้ำใจของเธอแต่แทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

                “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ...ฉันอยากจะให้คุณช่วยจ่ายให้ด้วย”

                “หะ” ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าต้องทำหน้ายังไงดี มันค่อนข้างมึนงงและสับสนเอาหน่อยๆ ชายหนุ่มรอฟังคำอธิบายจากเธอเพราะเขาไม่เชื่อว่าหมอสวยๆ แบบนี้จะขี้เหนียวเอาแต่ได้

                “ที่ต้องให้คุณจ่ายให้ก่อนเพราะความจริงแล้วฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องพักนะคะ” แพทย์หญิงเอ่ย อายมากที่ต้องขอให้คนแปลกหน้ามาจ่ายให้แต่เพราะสมองปลาทองของเธอแท้ๆ ที่ลืมได้แม้กระทั่งกระเป๋าสตางค์

                “ถ้าจ่ายให้แล้ว จะได้เจอกันอีกไหมครับ” เขาถามขึ้น สายตาที่ทอดมองสาวสวยตรงหน้าบอกชัดว่าต้องการอะไร

                “ก็...ถ้าคุณมาที่นี่อีก เราอาจจะได้เจอกันค่ะ อ้อ และนี่” เธอถอดป้ายชื่อที่คล้องคออยู่เป็นประจำตอนมาทำงาน วางไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม

                “อะไรเหรอครับ” นายแพทย์ครรชิตถามขึ้น ไม่เข้าใจในความหมายของเธอ

ป้ายชื่อเอาไว้ดูต่างหน้าเหรอ...


“ป้ายชื่อของฉันเองค่ะ เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่ สำหรับค่ากาแฟในวันนี้ฉันรับปากว่า ถ้าเจอกันอีกคราวหน้าจะเลี้ยงกาแฟคุณคืนค่ะ ถึงตอนนั้นฉันขอป้ายชื่อฉันคืนด้วยนะคะ” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

“งั้นผมก็รับปากว่าผมจะคืนป้ายชื่อของคุณหมอด้วยมือของผมเอง เพราะผมเชื่อว่าเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน” แพทย์หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“แล้วฉันจะรอค่ะ คุณ...”

“ครรชิตครับ”

“ค่ะ ไปก่อนนะคะคุณครรชิต”

นายแพทย์ครรชิตมองป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่วนเจ้าของป้ายตอนนี้เดินจากไปพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น มือหนาหยิบขึ้นมาอ่าน อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อเต็มๆ ของเธอซะที สายตาคมมองนิ่งที่รูปถ่ายครึ่งตัว ใบหน้าสวยรูปไข่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเปรยเสียงอ่อน

“จ่ายเงินเพื่อแลกกับสิ่งนี้สิน่ะ”

ปากหนาได้แต่พึมพำกับตัวเอง พลางเก็บป้ายชื่อใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นดูดอีกครั้ง คราวนี้ดูดยาวกว่าเดิม สีหน้าแววตาดูได้อารมณ์มาก

50 %
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่