• "ลุมพินี" หว่างกลาง…. ทางวิถี
สองธานี "กบิลพัสดุ์"…. สหัสา
“เทวะทะหะ" ข้างฝ่าย…. พระมารดา
คือเคหา คราประสูติ…. พระจอมคน
• ใน “วันเพ็ญเดือนหก”…. ปรกสวัสดิ์
"สาละ" จัด ผลัดกิ่ง…. ทิ้งดอกผล
โน้มกิ่งไว้ ใช้จับ…. ระงับทน
พอผ่านพ้น สกลก้อง…. ร้องครางครวญ
• มีน้ำฟ้า มาโปรย…. โรยสระสรง
สี่พรหมองค์ ทรงชื่น…. ระรื่นสรวล
ทินกร อ่อนให้…. ได้แสงนวล
ทุกผู้ล้วน ชวนซร้อง…. ร้องยินดี
• เจ็ดก้าวย่าง กลางบุษย์…. ผุดรองรับ
ธ ประทับ จับนิ่ง…. สิ่งเป็นศรี
เปล่งวาจา ว่าไว้…. ในธาตรี
ว่าชาตินี้ คือที่สุด…. หยุดแล้วเรา
เมื่อพระนางเจ้ามายาทรงพระครรภ์
๑๐ เดือนบริบูรณ์ มีพระทัยปรารถนาจะเสด็จไปเมืองเทวทหะนคร อันเป็นชาติภูมิ
จึงทูลลาพระเจ้าสุทโธทนะพระราชสามี เสด็จโดยราชยานสีวิกามาศ
ในวันวิสาขะปุณณมี เพ็ญเดือน ๖ ออกจากพระนครในเวลาเช้า
เสด็จไปตามมรรคาโดยสวัสดี บรรลุถึงลุมพินีสถาน
ตั้งอยู่ระหว่างพระนครทั้งสอง คือ กบิลพัสดุ์และเทวทหะ เป็นรมณียสถาน
บุบผากำลังผลิตดอกหอมฟุ้ง พระนางปรารถนาจะเสด็จประพาส
เสด็จดำเนินไปถึงร่มไม้สาละพฤกษ์
ทรงยกพระหัตถ์เหนี่ยวกิ่งสาละซึ่งอ่อนน้อมค้อมลงมา
ประจวบลมกัมมัชวาตหวั่นไหวประชวรพระครรภ์ ใกล้ประสูติ
เจ้าพนักงานทั้งหลายก็รีบจัดสถานที่ผูกม่านแวดวงเข้ากับภายใต้ร่มไม้สาละถวายเท่าที่พอจะทำได้
พระนางมายา ประทับยืนผันพระปฤษฏางค์พิงเข้ากับลำต้นมงคลสาละพฤกษ์
พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละ ทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ในกาลนั้น ท้าวสุธาวาสมหาพรหมทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงถือข่าย
ทองรองรับพระกายไว้ ในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชเทวีแล้วกล่าวว่า
พระแม่เจ้าจงทรงโสมนัสเถิด พระราชโอรสที่ประสูตินี้ มีมเหศักดา
อานุภาพยิ่งนัก ขณะนั้นท่ออุทกธาราทั้งสองก็ไหลหลั่งลงมาจาก
อากาศ ท่อหนึ่งเป็นน้ำร้อน ท่อหนึ่งเป็นน้ำเย็น ตกลงมาโสรจสรง
พระกายพระกุมารกับพระราชมารดา
ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ พระองค์ ทรงรับพระราชกุมารไปจากพระ
หัตถ์ท้าวมหาพรหม ต่อนั้น นางนมทั้งหลายจึงรองรับพระองค์ ขณะ
นั้นพระราชกุมาร ก็เสด็จอุฏฐาการลงจากมือนางนมทั้งหลาย เสด็จ
เหยียบยืนยังพื้นด้วยพระบาททั้งสองเสมอเป็นอันดี พระกุมารทอด
พระเนตรไปยังปราจีน แล้วพระกุมารเจ้าก็บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศ
อุตตรทิศ เสด็จย่างพระบาทไปบนพื้นแผ่นทอง อันท้าวจตุโลกบาล
ถือรองรับไว้ได้ ๗ ก้าว แล้วทรงหยุดประทับยืนบนทิพยปทุมบุบผา
ชาติ อันมีกลีบได้ ๑๐๐ กลีบ ทรงเปร่งพระสุรเสียงอันไพเราะ
ดำรัสอาภิสวาจาด้วยพระคาถาว่า
“อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ หมสฺมิ อยนฺติมา เม ชาติ
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวฯ” = (ในโลกนี้ เราเป็นยอด เป็นผู้เจริญที่สุด
เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ไม่มี)
ขณะนั้น โลกธาตุก็บังเกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว รัศมีพระอาทิตย์ก็อ่อน
มิได้ร้อนเย็นสบาย มหาเมฆก็ตั้งขึ้นในทิศทั้งหลาย ยังวัสโสทกให้
ตกลงในที่นั้นๆ โดยรอบ ทิศานุทิศทั้งหลายก็โอภาสสว่างยิ่งนัก
ทั้งสรรพบุพพนิมิตปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็ปรากฏมี
ดูภาพทั้งหมดได้ที่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613
ภาพพุทธประวัติ อันงดงามมาก พร้อมคำร้อยกรอง-คำบรรยายโดยสังเขป โดย นก พลัดถิ่น
• "ลุมพินี" หว่างกลาง…. ทางวิถี
สองธานี "กบิลพัสดุ์"…. สหัสา
“เทวะทะหะ" ข้างฝ่าย…. พระมารดา
คือเคหา คราประสูติ…. พระจอมคน
• ใน “วันเพ็ญเดือนหก”…. ปรกสวัสดิ์
"สาละ" จัด ผลัดกิ่ง…. ทิ้งดอกผล
โน้มกิ่งไว้ ใช้จับ…. ระงับทน
พอผ่านพ้น สกลก้อง…. ร้องครางครวญ
• มีน้ำฟ้า มาโปรย…. โรยสระสรง
สี่พรหมองค์ ทรงชื่น…. ระรื่นสรวล
ทินกร อ่อนให้…. ได้แสงนวล
ทุกผู้ล้วน ชวนซร้อง…. ร้องยินดี
• เจ็ดก้าวย่าง กลางบุษย์…. ผุดรองรับ
ธ ประทับ จับนิ่ง…. สิ่งเป็นศรี
เปล่งวาจา ว่าไว้…. ในธาตรี
ว่าชาตินี้ คือที่สุด…. หยุดแล้วเรา
เมื่อพระนางเจ้ามายาทรงพระครรภ์
๑๐ เดือนบริบูรณ์ มีพระทัยปรารถนาจะเสด็จไปเมืองเทวทหะนคร อันเป็นชาติภูมิ
จึงทูลลาพระเจ้าสุทโธทนะพระราชสามี เสด็จโดยราชยานสีวิกามาศ
ในวันวิสาขะปุณณมี เพ็ญเดือน ๖ ออกจากพระนครในเวลาเช้า
เสด็จไปตามมรรคาโดยสวัสดี บรรลุถึงลุมพินีสถาน
ตั้งอยู่ระหว่างพระนครทั้งสอง คือ กบิลพัสดุ์และเทวทหะ เป็นรมณียสถาน
บุบผากำลังผลิตดอกหอมฟุ้ง พระนางปรารถนาจะเสด็จประพาส
เสด็จดำเนินไปถึงร่มไม้สาละพฤกษ์
ทรงยกพระหัตถ์เหนี่ยวกิ่งสาละซึ่งอ่อนน้อมค้อมลงมา
ประจวบลมกัมมัชวาตหวั่นไหวประชวรพระครรภ์ ใกล้ประสูติ
เจ้าพนักงานทั้งหลายก็รีบจัดสถานที่ผูกม่านแวดวงเข้ากับภายใต้ร่มไม้สาละถวายเท่าที่พอจะทำได้
พระนางมายา ประทับยืนผันพระปฤษฏางค์พิงเข้ากับลำต้นมงคลสาละพฤกษ์
พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละ ทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ในกาลนั้น ท้าวสุธาวาสมหาพรหมทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงถือข่าย
ทองรองรับพระกายไว้ ในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชเทวีแล้วกล่าวว่า
พระแม่เจ้าจงทรงโสมนัสเถิด พระราชโอรสที่ประสูตินี้ มีมเหศักดา
อานุภาพยิ่งนัก ขณะนั้นท่ออุทกธาราทั้งสองก็ไหลหลั่งลงมาจาก
อากาศ ท่อหนึ่งเป็นน้ำร้อน ท่อหนึ่งเป็นน้ำเย็น ตกลงมาโสรจสรง
พระกายพระกุมารกับพระราชมารดา
ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ พระองค์ ทรงรับพระราชกุมารไปจากพระ
หัตถ์ท้าวมหาพรหม ต่อนั้น นางนมทั้งหลายจึงรองรับพระองค์ ขณะ
นั้นพระราชกุมาร ก็เสด็จอุฏฐาการลงจากมือนางนมทั้งหลาย เสด็จ
เหยียบยืนยังพื้นด้วยพระบาททั้งสองเสมอเป็นอันดี พระกุมารทอด
พระเนตรไปยังปราจีน แล้วพระกุมารเจ้าก็บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศ
อุตตรทิศ เสด็จย่างพระบาทไปบนพื้นแผ่นทอง อันท้าวจตุโลกบาล
ถือรองรับไว้ได้ ๗ ก้าว แล้วทรงหยุดประทับยืนบนทิพยปทุมบุบผา
ชาติ อันมีกลีบได้ ๑๐๐ กลีบ ทรงเปร่งพระสุรเสียงอันไพเราะ
ดำรัสอาภิสวาจาด้วยพระคาถาว่า
“อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ หมสฺมิ อยนฺติมา เม ชาติ
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวฯ” = (ในโลกนี้ เราเป็นยอด เป็นผู้เจริญที่สุด
เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ไม่มี)
ขณะนั้น โลกธาตุก็บังเกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว รัศมีพระอาทิตย์ก็อ่อน
มิได้ร้อนเย็นสบาย มหาเมฆก็ตั้งขึ้นในทิศทั้งหลาย ยังวัสโสทกให้
ตกลงในที่นั้นๆ โดยรอบ ทิศานุทิศทั้งหลายก็โอภาสสว่างยิ่งนัก
ทั้งสรรพบุพพนิมิตปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็ปรากฏมี
ดูภาพทั้งหมดได้ที่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613