พระเจ้าอชาตศัตรูคบมิตรชั่ว

ต่อจาก http://ppantip.com/topic/31050536
ก็การที่บุคคลเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริง แล้วสารภาพตามเป็นจริง
รับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัยของพระอริยเจ้า


             ชื่อว่า อชาตสตฺตุ ด้วยอรรถว่า เนมิตตกาจารย์ (โหร) ทั้งหลายชี้แจงไว้ว่า ยังไม่ทันเกิดก็จักเป็นศัตรูแก่พระราชา

             ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูยังอยู่ในพระครรภ์ พระนางโกศลเทวีเกิดการแพ้ท้องถึงขนาดอย่างนี้ว่า
             โอ หนอ เราพึงดื่มโลหิตพระพาหาเบื้องขวาของพระราชา(๑) (คือพระสวามี คือพระเจ้าพิมพิสาร)
             พระนางไม่อาจบอกให้ใครทราบได้ เมื่อไม่อาจบอกได้ จึงซูบผอมผิวพรรณซีดลง
             พระราชาตรัสถามจนทราบ จึงรับสั่งให้เรียกหมอมา ให้เอามีดทองกรีดพระพาหา แล้วรองพระโลหิตเจือด้วยน้ำแล้วให้พระนางดื่ม

             โหรทั้งหลายได้ทราบข่าวดังนั้น พากันพยากรณ์ว่า พระโอรสในครรภ์องค์นี้จักเป็นศัตรูแก่พระราชา
             พระราชาจักถูกพระโอรสองค์นี้ปลงพระชนม์


             พระเทวีทรงสดับข่าวดังนั้น จึงมีพระประสงค์จะทำลายครรภ์ให้ตกไป เสด็จไปพระราชอุทยานให้บีบพระครรภ์
             แต่พระครรภ์ก็หาตกไม่ พระนางเสด็จไปให้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ พระราชาทรงสืบดูว่า พระเทวีนี้เสด็จไปพระราชอุทยานเนืองๆ
เพื่ออะไร ทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงทรงห้ามว่า
             ยังไม่รู้เลยว่า เด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง พระนางก็กระทำอย่างนี้กะทารกที่เกิดแก่ตนเสียแล้ว แล้วได้ประทานอารักขา

             พระนางเธอได้หมายใจไว้ว่าเวลาคลอดจักฆ่าเสีย แม้ในเวลาที่คลอดนั้น พวกเจ้าหน้าที่อารักขาก็ได้นำพระกุมารออกไปเสีย

             ต่อมา พระกุมารเจริญวัยแล้ว จึงนำมาแสดงแก่พระเทวี พอทอดพระเนตรเห็นพระกุมารเท่านั้น พระนางก็เกิดความรักพระโอรส
             ฉะนั้นจึงไม่อาจฆ่าพระกุมารนั้นได้ พระราชาก็ได้พระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส

             พระเทวทัตคิดว่า พระสารีบุตรก็มีบริษัทมาก พระโมคคัลลานะก็มีบริษัทมาก พระมหากัสสปะก็มีบริษัทมาก ท่านเหล่านี้มีธุระ
คนละอย่างๆ ถึงเพียงนี้ แม้เราก็จะแสดงธุระสักอย่างหนึ่ง

             พระเทวทัตนั้น เมื่อไม่มีลาภก็ไม่อาจทำบริษัทให้เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่า เราจักทำลาภให้เกิดขึ้น จึงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ทำให้
อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส(๒) พอรู้ว่า พระกุมารอชาตศัตรูเลื่อมใสตนแล้ว จึงแนะให้ปลงพระชนม์พระบิดาเสียแล้วเป็นพระราชา
ส่วนตนจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า

             พระกุมารอชาตศัตรูเหน็บกฤชที่พระอุรุมุ่งจะฆ่ากลางวันแสกๆ แต่ถูกพวกอำมาตย์จับได้ ส่งออกมาปรึกษาโทษว่า
             พระกุมารจะต้องถูกประหาร พระเทวทัตจะต้องถูกประหาร และภิกษุพวกพระเทวทัตทั้งหมดจะต้องถูกประหาร
             แล้วกราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระองค์จักกระทำตามพระราชอาญา

             พระราชาทรงลดตำแหน่งของพวกอำมาตย์ที่ประสงค์ลงโทษประหาร ทรงตั้งพวกอำมาตย์ที่ไม่ต้องการให้ลงโทษประหาร
ไว้ในตำแหน่งสูงๆ แล้วตรัสถามพระกุมารว่า ลูกต้องการจะฆ่าพ่อเพื่ออะไร
             พระกุมารกราบทูลว่า หม่อมฉันต้องการราชสมบัติ พระเจ้าข้า
             พระราชาได้พระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรสนั้น

             อชาตศัตรูราชกุมารบอกแก่พระเทวทัตว่า ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว พระเทวทัตกล่าวว่า พระองค์สำคัญผิดแล้ว
             เพราะอีกสองสามวัน พระบิดาของพระองค์ทรงคิดว่า พระองค์ทำการดูหมิ่น จักเป็นพระราชาเสียเอง

             พระกุมารถามว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเล่า
             พระเทวทัตตอบว่า จงฆ่าชนิดถอนรากเลย
             พระกุมารตรัสว่า พระบิดาของข้าพเจ้าไม่ควรฆ่าด้วยศาตรามิใช่หรือ พระเทวทัตจึงกล่าวว่า จงฆ่าด้วยการตัดพระกระยาหาร
             พระกุมารจึงสั่งให้เอาพระบิดาใส่เข้าในเรือนอบ (คือเรือนมีควันที่ทำไว้เพื่อลงโทษแก่นักโทษ)
             พระกุมารสั่งไว้ว่า นอกจากพระมารดาของเราแล้ว อย่าให้คนอื่นเยี่ยม

             พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารในขันทองคำแล้วห่อชายพกเข้าเยี่ยมพระราชา
             พระราชาเสวยภัตตาหารนั้นจึงประทังพระชนม์อยู่ได้
             ครั้นพระกุมารทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ตรัสสั่งห้ามมิให้พระมารดานำสิ่งของใส่ชายพกเข้าเยี่ยม

             ตั้งแต่นั้น พระเทวีก็ใส่ภัตตาหารไว้ในพระเมาลีเข้าเยี่ยม
             พระกุมารทรงทราบแม้ดังนั้น รับสั่งห้ามมิให้พระมารดานุ่งพระเมาลีเข้าเยี่ยม

             พระเทวีทรงใส่ภัตตาหารไว้ในฉลองพระบาททองปิดดีแล้ว ทรงฉลองพระบาททองเข้าเยี่ยม
             ครั้นพระกุมารทรงทราบความนั้น ก็ตรัสสั่งห้ามมิให้แม้แต่ทรงฉลองพระบาทเข้าเยี่ยม

             ตั้งแต่นั้น พระเทวีก็ทรงสนานพระวรกายด้วยน้ำหอม แล้วทาพระวรกายด้วยอาหารมีรสอร่อย ๔ อย่าง แล้วทรงห่มพระภูษา
เข้าเยี่ยม ครั้นพระกุมารทรงทราบดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งว่า ตั้งแต่นี้ไป ห้ามพระมารดาเข้าเยี่ยม

             ต่อแต่นั้น พระเทวีประทับยืนแทบประตู ทรงกันแสงคร่ำครวญว่า
             ข้าแต่พระสวามีพิมพิสาร เวลาที่เขาผู้นี้เป็นเด็ก พระองค์ก็ไม่ให้โอกาสฆ่าเขา ทรงเลี้ยงศัตรูของพระองค์ไว้ด้วย
พระองค์เองแท้ๆ บัดนี้การเห็นพระองค์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อแต่นี้ไปหม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก ถ้าโทษของ
หม่อมฉันมีอยู่ ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยเถิด พระเจ้าข้า แล้วก็เสด็จกลับ

             ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่มีพระกระยาหาร ดำรงพระชนม์อยู่ด้วยความสุขประกอบด้วยมรรคผล
             (ทรงเป็นพระโสดาบัน(๓)) ด้วยวิธีเดินจงกรม พระวรกายของพระองค์ก็เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น

             ครั้นพระกุมารทรงทราบว่า ยังดำรงพระชนม์อยู่ได้ด้วยวิธีเดินจงกรม ซ้ำพระวรกายยังเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นอีก
             จึงทรงพระดำริว่า เราจักตัดมิให้พระบิดาเดินจงกรมได้ในบัดนี้

             ทรงบังคับช่างกัลบก (ช่างตัดผม) ทั้งหลายว่า พวกท่านจงเอามีดโกนผ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระบิดาของเรา
             แล้วเอาน้ำมันผสมเกลือทา แล้วจงย่างด้วยถ่านไม้ตะเคียนซึ่งติดไฟคุไม่มีเปลว

             พระราชาทอดพระเนตรเห็นพวกช่างกัลบก ทรงดำริว่า ลูกของเราคงจักมีใครเตือนให้รู้สึกตัวแน่แล้ว
             ช่างกัลบกเหล่านี้คงจะมาแต่งหนวดของเรา

             ช่างกัลบกเหล่านั้นไปถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ครั้นถูกตรัสถามว่า มาทำไม จึงกราบทูลให้ทรงทราบ
             พระราชาพิมพิสารจึงตรัสว่า พวกเจ้าจงทำตามใจพระราชาของเจ้าเถิด

             พวกช่างกัลบกจึงกราบทูลว่า ประทับนั่งเถิด พระเจ้าข้า ถวายบังคมพระเจ้าพิมพิสาร แล้วกราบทูลว่า
             ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์จำต้องทำตามพระราชโองการ ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธพวก
ข้าพระองค์เลย การกระทำเช่นนี้ไม่สมควรแก่พระราชาผู้ทรงธรรมเช่นพระองค์ แล้วจับข้อพระบาทด้วยมือซ้าย
ใช้มือขวาถือมีดโกนผ่าพื้นพระบาททั้ง ๒ ข้าง เอาน้ำมันผสมเกลือทาแล้วย่างด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียนที่กำลังคุไม่มีเปลว


             เล่ากันว่า ในกาลก่อน พระราชาพิมพิสารได้ทรงฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และเอาพระบาทที่ไม่ได้ชำระเหยียบ
เสื่อกกที่เขาปูไว้สำหรับนั่ง นี้เป็นผลของบาปนั้น.

             พระราชาพิมพิสารทรงเกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง ทรงรำลึกอยู่ว่า อโห พุทฺโธ อโห ธมฺโม อโห สงฺโฆ
             (โอหนอพระพุทธเจ้า โอหนอพระธรรม โอหนอพระสงฆ์ โอหนอพระธรรมที่ตรัสดีแล้ว)
             เท่านั้นก็ทรงสวรรคต ทรงเหี่ยวแห้งไปเหมือนพวงดอกไม้ที่เขาวางไว้ในลานพระเจดีย์ บังเกิดเป็นยักษ์ชื่อชนวสภะ
             เป็นผู้รับใช้ของท้าวเวสสวรรณในเทวโลกชั้นจาตุมหาราช(๔).

             และในวันนั้นนั่นเอง พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติ
             หนังสือ ๒ ฉบับ คือข่าวพระโอรสประสูติฉบับหนึ่ง ข่าวพระบิดาสวรรคตฉบับหนึ่ง มาถึงในขณะเดียวกันพอดี

             พวกอำมาตย์ปรึกษากันว่า พวกเราจักทูลข่าวพระโอรสประสูติก่อน
             จึงเอาหนังสือข่าวประสูตินั้นทูนถวายในพระหัตถ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู

             ความรักลูกเกิดขึ้นแก่พระองค์ในขณะนั้นทันที ท่วมไปทั่วพระวรกายแผ่ไปจดเยื่อในกระดูก
             ในขณะนั้น พระองค์ได้รู้ซึ้งถึงคุณของพระบิดาว่า แม้เมื่อเราเกิด พระบิดาของเราก็คงเกิดความรักอย่างนี้เหมือนกัน
             จึงรีบมีรับสั่งว่า แน่ะพนาย จงไปปล่อยพระบิดาของเรา
             พวกอำมาตย์ทูลว่า พระองค์สั่งให้ปล่อยอะไร พระเจ้าข้า แล้วถวายหนังสือแจ้งข่าวอีกฉบับหนึ่งที่พระหัตถ์

             พอทรงทราบความเป็นไปดังนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสง เสด็จไปเฝ้าพระมารดา ทูลว่า
             ข้าแต่เสด็จแม่ เมื่อหม่อมฉันเกิด พระบิดาของหม่อมฉันเกิดความรักหม่อมฉันหรือหนอ

             พระนางรับสั่งว่า เจ้าลูกโง่ เจ้าพูดอะไร เวลาที่ลูกยังเล็กอยู่ เกิดเป็นฝีที่นิ้วมือ ครั้นนั้น พวกแม่นมทั้งหลาย
ไม่สามารถทำให้ลูกซึ่งกำลังร้องไห้ หยุดร้องได้ จึงพาลูกไปเฝ้าเสด็จพ่อของลูกซึ่งประทับนั่งอยู่ในโรงศาล
             เสด็จพ่อของลูกได้อมนิ้วมือของลูกจนฝีแตกในพระโอษฐ์นั้นเอง ครั้งนั้น เสด็จพ่อของลูกมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับ
ทรงกลืนพระบุพโพปนพระโลหิตนั้นด้วยความรักลูก เสด็จพ่อของลูกมีความรักลูกถึงปานนี้


             พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสงคร่ำครวญ ได้ถวายเพลิงพระศพพระบิดา

             ทรงสำนึกและกลับพระทัยได้(๕) หันมาทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
             และได้เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในการสังคายนาครั้งที่ ๑

             อรรถกถาสามัญญผลสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=91&p=1&bgc=bisque

             (๑) เรื่องอชาตสัตตุกุมาร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=3493&Z=3543&pagebreak=0&bgc=bisque
             (๒) เรื่องพระเทวทัต
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=3218&Z=3382&bgc=8
             (๓) ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=1216&Z=1357&pagebreak=0&bgc=bisque
             (๔) ชนวสภสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=4465&Z=4870&bgc=8
             (๕) สามัญญผลสูตร เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919&pagebreak=0&bgc=bisque


             พระเจ้าอชาตศัตรูทรงคบมิตรชั่ว ปลงพระชนม์พระบิดา จึงไม่ได้ทรงบรรลุมรรคผลในอัตภาพนี้
             แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์เข้าเฝ้าพระตถาคต ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจะบังเกิดในโลหกุมภี
ตกอยู่ในเบื้องต่ำ ๓ หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องล่างแล้วผุดขึ้นเบื้องบน ๓ หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องบน อีกจึงจักพ้นได้ เหมือนใครๆ ฆ่าคนแล้ว พึงพ้น
โทษได้ด้วยทัณฑกรรมเพียงดอกไม้กำมือหนึ่งฉะนั้น เพราะพระศาสนาของเรามีคุณใหญ่

             ได้ยินว่า คำที่กล่าวมาแล้วแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วทีเดียว แต่มิได้ยกขึ้นไว้ในบาลี
             ตั้งแต่เวลาที่ปลงพระชนม์พระชนกแล้ว พระราชานี้มิได้บรรทมหลับเลยทั้งกลางคืนกลางวัน แต่ตั้งแต่เวลาที่เข้าเฝ้าพระศาสดา
ทรงสดับพระธรรมเทศนาอันไพเราะมีโอชานี้แล้ว (สามัญญผลสูตร) ทรงบรรทมหลับได้
             ได้ทรงกระทำสักการะใหญ่แด่พระรัตนตรัย ชื่อว่าผู้ที่ประกอบด้วยศรัทธาระดับปุถุชนที่เสมอเหมือนพระราชานี้ไม่ ก็ในอนาคต
จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า ชีวิตวิเสส จักปรินิพพานแล
             พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นดีใจชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่