นวนิยายสยองขวัญ เรื่อง:สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม ตอนที่1 ประพันธ์โดย "ธีร์ วรรณกร"

สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม (ตอนที่๑)
โดยธีร์ วรรณกร

              ในครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปเยี่ยมอามิ่งที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง โดยมีพ่อกับแม่และผมนั่งรถยนต์ส่วนตัวไป เมื่อไปถึง ทางบ้านอามิ่งก็ต้อนรับเป็นอย่างดีจัดข้าวปลาอาหารชุดใหญ่ออกมาให้เราได้ร่วมรับประทานกัน ทานไปพลางก็คุยกันพลางถามสารทุกข์สุขดิบกันไปเรื่อยจนค่ำ ในฐานะพี่ชาย พ่อของผมท่านได้เอ่ยปากขออามิ่งว่าจะนอนค้างที่บ้านนี้ด้วยสักคืนซึ่งอามิ่งก็มิได้มีเหตุขัดข้องแต่ประการใดยินยอมให้เราผู้มาเยือนอาศัยอยู่ได้ตามอัธยาศัยเหมือนกับเป็นบ้านของตนเอง
ผมกับอามิ่งนั้นเราทั้งสองคนรักสนิทกันมากยามเมื่อได้มีโอกาสมาเยือนทีไรก็จะพาผมไปเที่ยวดูหมู่บ้าน พาไปซื้อของนาๆจิปาถะให้ไปหมด

              อามิ่งนั้นปกติแล้วแกจะเข้าป่าทีก็เดือนละ2-3ครั้งโดยเดินทางไปใกล้เขตอุทยานหน่อย แต่ทางการเขาก็เพิ่งจะได้มีคำสั่งประกาศให้ป่าแถบที่อามิ่งไปประจำนั้นเป็นเขตป่าสงวนเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง  โดยส่วนตัวแกจะชอบเข้าป่าล่าสัตว์ยิงนกตกปลาอะไรของแกไปตามประสาคนมีเงิน เว้นไว้ก็แต่สัตว์ป่าสงวนที่แกจะไม่แตะต้องด้วยเลย

              ในคืนที่ไปค้างบ้านของอามิ่งนั้นผมบังเอิญได้ไปพบหนังสือเก่าๆเล่มใหญ่เล่มหนึ่งเข้า มันวางอยู่บนโต๊ะข้างๆโทรทัศน์ของแก ลักษณะของมันนั้นเป็นหนังสือเล่มหนาปกแข็งสีเหลืองซีดๆ มีฝุ่นจับเขรอะไปหมดโดยหน้าปกเขียนไว้ว่า “ชีวิตในไพร” ผมเกิดความสงสัยเลยรีบแจ้นออกจากห้องแล้วเรียกอามิ่งเข้ามาดูสิ่งที่แปลกตากับผมข้างบน

“มีอะไรเหรอธีร์?” อามิ่งถามหน้าตาตื่นงง ผมชี้ไปที่หนังสือเล่มนั้นแล้วบอกว่า
“หนังสือเล่มนั้นชื่อน่าสนใจดีนะครับอา”
พออามิ่งมองตามก็ยิ้มออกมาแล้วหัวเราะอย่างขบขันพลางตอบมาว่า
“โอ๊ยไม่มีอะไรหรอกนั่นมันสมุดบันทึกเดินป่าของอาเอง หน้าปกอาก็เขียนโก้ๆไปงั้นแหละ”
แต่พอพูดมาถึงตรงนี้แกก็ชะงักไปเสียดื้อๆแล้วหันหน้ามาถามผมอย่างเรียบๆว่า
“เออ...แน่ะ แต่มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจดีอยู่นะบันทึกไว้เมื่อปีสี่หกอยากจะอ่านมั้ยล่ะ”
ทีแรกผมก็เกิดอาการลังเลตัดสินใจไม่ถูกว่าจะตอบไปอย่างไรแต่เมื่อความสนใจมันเพิ่มทวีคูนขึ้นมา พลันก็ตอบอามิ่งเสียงใสไปว่า
“เอ่อ...ก็ได้ครับอาถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท”
“โฮ้ย...อาไม่ถือหรอก อ่ะนี่เดี๋ยวอาจะพับหน้ามันไว้ให้นั่งอ่านเลย แล้วจะรู้ว่ามันน่าสนใจสักแค่ไหน”
พูดแล้วก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าๆนั้นขึ้นมาพลางตบปัดฝุ่นจนกระจายคลุ้งไปหมด เปิดกวาดตาอ่านอยู่อึดใจก็ทำการพับมุมกระดาษของสมุดนั้นไว้ด้านหนึ่งพร้อมกับยื่นส่งมาให้กับผม

ผมเองก็รับไว้อย่างตื่นเต้นพร้อมที่จะอ่านอยู่เต็มประดา และทันทีที่ร่างของอามิ่งลับตาออกไปจากห้อง ผมก็เดินไปที่โซฟาตัวหนึ่งที่มุมห้องพร้อมกับทิ้งกายลงนั่งเปิดหน้าสมุดบันทึกเล่มนั้นตามที่อามิ่งได้พับไว้แล้วอ่านอยู่ในใจ ซึ่งบทความในสมุดตั้งแต่หน้าแรกของเรื่องราวจนจบเขียนไว้ดังนี้ครับว่า.....

              ๑๘มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ผมเดินทางออกจากบ้านของตนเองตั้งแต่เช้าตรู่โดยจัดสัมภาระที่ต้องการไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว และมุ่งหน้าไปยังที่หมายอันเป็นบ้านโนนชัยใกล้ๆแถบป่าประจำที่ผมชอบไปอยู่แล้ว ผมเดินทางมาถึงทางเข้าของหมู่บ้านก็ระยะประมาณตีห้าใกล้จะหกโมงเช้าเต็มที เจ้าโคโรราโดของผมก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านตรอกซอกซอยของหนทางในหมู่บ้านแห่งนั้นไปอย่างแช่มช้า จนกระทั่งแล่นมาหยุดที่หน้าบ้านของคนที่ผมคุ้นเคย ใช่แล้วบ้านพรานชุ่มพรานนำทางคู่ใจของผมเองนั่นแหละ   ผมบีบแตรเรียกอยู่สองสามครั้ง อึดใจนั้นเองก็มีหญิงชราคนหนึ่งผมหงอกโพลนไปทั้งศีรษะเดินกระย่องกระแย่งออกมาเปิดประตูรั้วเก่าๆของบ้านให้ หญิงชราคนนั้นก็คือมารดาของพรานชุ่มนั่นเอง
พอรถเคลื่อนเข้าไปจอดใต้ร่มสะเดาข้างเรือน ผมก็ติดเครื่องไว้สักพักแล้วดับเครื่องยนต์ลงจนเงียบสนิท พร้อมกับเปิดประตูรถก้าวลงมาอย่างปกติ

“พ่อมิ่งนี่เองว่าอยู่รถคุ้นๆตา มีธุระอะไรรึ?” มารดาของพรานชุ่มเอ่ยทักขึ้น
“ครับยายผมมิ่งเอง คือ...ผมจะมาหาพรานชุ่มน่ะครับ” ผมตอบกลับอย่างสุภาพ
“อ้อ....เรอะ โฮ้ย...เจ้าชุ่มน่ะมันออกป่าไปหลายวันแล้วยังไม่กลับเลยจนป่านนี้ไม่รู้ข่าวอะไรเลยเนี่ยพ่อเอ๊ย...”
“อ้าว!!!เป็นอย่างงั้นไปแล้วทีนี้ใครจะนำทางผมไปดอนอีเห็นล่ะครับเนี่ย เพิ่งไปมาใหม่ๆเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ว่าจะให้นำทางไปซะหน่อยกำลังติดใจที่นั่นพอดีเลย ถ้าจะไปเองก็กลัวหลงเพราะเคยไปแค่ครั้งเดียวเองไม่เหมือนกับที่อื่นๆน่ะครับ” ผมพูดไปหน้าตาตื่น
“มาเสียเที่ยวแล้วล่ะพ่อมิ่ง เจ้าชุ่มน่ะก็บอกว่าจะไปดอนอีเห็นนั่นแหละ มันว่าจะไปหาเนื้อมาให้นังอ้อยเมียมันจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นหัว ยายเองก็รอคอยใจคอไม่ดีอยู่นี่”
ประโยคหลังผู้เป็นแม่นั้นมีน้ำเสียงและสีหน้าสลดลงแววตาบอกถึงความห่วงกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วพลันก็มีเสียงใสๆของใครอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“มีอะไรเหรอจ๊ะแม่? ใครมา?”
เมื่อผมหันไปหาที่ต้นเสียงนั้นก็พบว่าเป็นอ้อยภรรยาของพรานชุ่มกำลังเดินตรงมาทางที่ผมกับแม่ของพรานชุ่มกำลังสนทนากันอยู่ แต่บัดนี้เธอเดินมาอย่างไม่คล่องตัวนักเพราะท้องโตกำลังตั้งครรภ์ พอเดินมาถึงพบหน้าผมเข้าเธอก็ยกมือไหว้ผมเองก็รับไหว้ตอบเช่นกัน
“นายมิ่งนี่เองมาหาพี่ชุ่มเหรอคะ?” เธอถามมาด้วยน้ำเสียงปกติ
ผมพยักหน้ารับคำพลางพูดไปว่า
“ใช่..แต่รู้แล้วล่ะว่าพรานชุ่มไม่อยู่ ว่าแต่...เขาไปป่านานแค่ไหนแล้วล่ะ?”
“สักสี่ห้าวันได้แล้วค่ะนาย”
“โห...ก็นานอยู่นะ แล้วไม่ได้ข่าวบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่เลยค่ะนาย เงียบกริบเลยฉันกับแม่นี่เป็นห่วงมากกลัวจะเป็นอะไรไป”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกคนอย่างพรานชุ่มน่ะ ถ้าจะนานๆแบบนี้ล่ะก็สงสัยยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการเท่าที่ควรกระมัง” ผมพูดปลอบใจ
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะนายมิ่ง เราทั้งสองคนก็คอยอยู่บ้านอย่างเลื่อนลอยแต่คิดว่าจะมีหวังได้เห็นหน้าอยู่แบบนี้แหละค่ะ”
“เอาอย่างนี้มั้ยอ้อย....วันนี้ไหนๆฉันก็มาแล้ว พอจะมีพรานฝีมือดีๆสักคนในหมู่บ้านอีกไหมฉันจะให้เขานำทางไปที่ดอนอีเห็นเพื่อที่จะตามหาพรานชุ่มให้” ผมเสนอมาอย่างเต็มใจที่สุด
พออ้อยได้ฟังก็ตาลุกวาวมีแววปราโมทย์อย่างเห็นได้ชัด เธอเอียงคอคิดอยู่ครู่ก็เอ่ยขึ้นว่า
“มีค่ะนาย มีอยู่คนหนึ่งแต่อายุมากหน่อยอยู่ท้ายๆหมู่บ้านนี่เอง ขอบคุณมากนะคะนายที่จะช่วยตามหาพี่ชุ่มให้ เดี๋ยวหนูจะบอกเจ้าเชิดน้องชายพี่ชุ่มไปตามแกมาให้”
ผมเองก็พยักหน้ารับคำ สิ้นประโยคนั้นเธอก็ร้องเรียกนายเชิดผู้อยู่บนเรือนให้ลงมาพบ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกันนั้นนายเชิดก็รับคำแล้วผละไปตามคำสั่งของอ้อยอย่างว่าง่าย

              ท้องฟ้าเริ่มส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงไก่ในเล้าของบ้านละแวกใกล้เคียงและของเจ้าบ้านก็ขันเซ็งแซ่ไปหมด ผมเองในขณะนั้นกำลังนั่งสวาปามข้าวเหนียวหมูทอดที่ห่อมาจากบ้านอย่างออกรส ในใจก็คิดไปถึงแต่ว่าหากเจอหน้าพรานชุ่มแล้วก็จะรีบชวนให้กลับบ้านมาหาน้องชายกับเมียและแม่ของเขาที่บ้านทันที

              ทันใดนั้นเองเสียงเรียกชื่อผมของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น พอหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่าเป็นนายเชิดกำลังยิ้มร่าทักทายมา  และข้างกายของเขานั้นก็มีชายคนหนึ่งกำลังเดินเคียงมาด้วย ชายคนนั้นถ้าจะกะเกณฑ์แล้วอายุราวๆ๕๐-๕๕ปีเห็นจะได้ รูปร่างผอมสูงไว้  เคราสีดอกเลาจากมุมปากบนจนถึงเป็นเคราแพะที่คาง  บนศีรษะโพกด้วยผ้าขาวม้าสีเก่าๆคร่ำคร่าผืนหนึ่ง  แววตาดุดันแต่ไม่น่าจะมีพิษภัย ผิวเข้มกร้านแดด คล้องเขี้ยวเสือห้อยไว้ที่คอ สวมเสื้อม่อฮ่อมและกางเกงสีดำขายาวดูมอซอแบบฉบับชาวป่า สะพายย่ามสีดำเฉียงไปทางด้านขวาในมือนั้นถือปืนลูกซองมาด้วย
และก็สวมรองเท้าแตะธรรมดาของชาวบ้านดูท่าแล้วก็น่าจะเจนไพรดีเช่นกัน นี่คงจะเป็นพรานคนที่ผมสั่งให้ไปหามาแน่แท้

              เมื่อเดินเข้ามาถึงนายเชิดก็แนะนำเขาผู้นั้นให้รู้จักกับผมซึ่งก็ซักความได้ว่าพรานอาวุโสคนนี้ชื่อพรานเดชอดีตเคยเป็นครูพรานของพรานชุ่มและวางมือไปนานแล้ว แต่เมื่อได้ข่าวว่าลูกศิษย์ของตนเข้าป่าไปหลายวันยังไม่กลับอีกทั้งยังมีคนมาให้ไปช่วยตามหาจึงมาด้วยความเต็มใจ
พรานเฒ่าเดินเข้ามาหาผมแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อมซึ่งผมก็รับไหว้ตอบอย่างสุภาพเช่นกัน ใบหน้าอันประกอบไปด้วยริ้วรอยของอายุนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างร่าเริงและรักใคร่ผิดกับแววตาอันดุดันเมื่อครู่นี้ไปเสียถนัด

“ผมรู้จักและเดินป่าแถบนั้นกับเจ้าชุ่มตั้งแต่สมัยมันยังเป็นพรานฝึกหัดและก็นานปีพอควร นายมิ่งไว้ใจผมได้ครับ ไอ้ดอนอีเห็นน่ะไม่ยากเลยที่จะไปเพียงแต่ระยะทางมันไกลสักหน่อยก็เท่านั้นเอง” พรานเดชพูดขึ้นอย่างหนักแน่นแล้วหัวเราะเบาๆ
“ถ้าพรานเดชพูดแบบนี้แล้วผมก็วางใจได้มากเลยทีเดียวครับ เพราะถึงยังไงเสียพรานก็เคยเป็นครูพรานของพรานชุ่ม นี่ยิ่งน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่” ผมพูดยิ้มๆ
“ว่าแต่นายพร้อมแล้วเหรอครับข้าวปลากินมารึยัง?”
“โอ๊ย..ไอ้เรื่องนั้น่ะไม่ต้องพูดถึงผมซัดข้าวห่อเกลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว พลังกายเหลือเฟือ”
“เออแน่ะนายผมอยากจะแนะอย่างหนึ่งนะ”
“อะไรเหรอ?”
“ไอ้ของที่นายเตรียมมามันพะรุพะรังเกิน คัดใหม่ดีกว่าเอาแค่ ปืน เกลือ ข้าวสาร แล้วก็พริกป่นกับน้ำไปสัก2กระติกสนามก็พอ กับไอ้หม้อสนามใบหนึ่งใส่เป้ของนายไปก็หรูแล้วล่ะ พวกอื่นๆไม่จำเป็นหรอกนาย”
“อ๋อ...ไม่มีปัญหาหรอกพรานเดชผมน่ะรู้อยู่แก่ใจแล้ว ทีแรกก็ว่าจะมาค้างป่ากับพรานชุ่มให้นานๆก็เลยเตรียมมามากมายเกิน แต่พอรู้ว่าจะไปตามหาคนก็ว่าจะเอาไปแค่ที่พรานได้บอกมานั่นแหละ” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ
“แหม...นายรู้อย่างนี้ก็ดี ที่จริงเรื่องเจ้าชุ่มนี่เข้าป่าหลายวันก็ไม่เป็นการแปลกอะไรหรอก สมัยผมไปนะเป็นเดือนก็มี กว่าจะออกมา แต่ว่าพอได้ฟังเรื่องจากไอ้เชิดมันแล้วใจมันตุ๊มๆต่อมๆตากระตุกพิกล”
“หือ...ตากระตุกงั้นเหรอพรานเดช แล้วไอ้ตาข้างไหนล่ะที่มันกระตุกซ้ายหรือขวา?” ผมถามไปอย่างสนใจ พรานเดชหัวเราะแล้วตอบมาอย่างติดตลกว่า
“ฮ่ะๆ...ตาตุ่มน่ะนาย..แฮ่ะๆ”
“โถ่..พรานเดชนี่..ขี้เล่นเหมือนกันนะเรา”
“ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เดินป่ากับผมนี่ไม่เครียดหรอกครับนาย สบายอารมณ์จะตายไป ว่าแต่นี่นายพร้อมแล้วรึยังล่ะ?ถ้าพร้อมแล้วเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไม่เสียเวลามาก เพราะมันก็ยังเช้าๆอยู่ด้วย”
ผมพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยพลางเดินไปสำรวจคัดของในเป้ตามที่จำเป็นในแค็ปรถ พรานเดชเองก็เดินตามมาดูด้วย
“อืม...ก็ดีเหมือนกันผมก็ว่าจะพูดแบบพรานเดชพอดี เดี๋ยวเช็คของก่อนแป๊บหนึ่งนะ” ผมกล่าว

              หลังจากที่เตรียมของเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วผมกับพรานเดชก็เข้าไปคุยกับนายเชิดพร้อมทั้งอ้อยและแม่ของพรานชุ่มอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากประตูรั้วบ้านแล้วมุ่งหน้าสู่ที่หมายต่อไป   ผมกับพรานเดชใช้เวลาเดินทางกันอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ลัดทุ่งมาโผล่ที่ตีนเขาท้ายหมู่บ้าน  มองไปก็เป็นป่าทึบซึ่งเป็นทางเข้าดงอยู่เบื้องหน้า ผมหันหน้ามาสบตากับพรานเดชแล้วต่างก็พยักหน้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางกันต่อไปได้

(โปรดติดตามอ่านตอนที่๒เป็นตอนต่อไป....)
ธีร์ วรรณกร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่