สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม (ตอนจบ)
โดยธีร์ วรรณกร
๑๙มีนาคม๒๕๔๖เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วขึ้นระงมเป็นระยะไปทั่วทั้งป่า ทั้งเสียงนกไพรก็ส่งเสียงร้องกันแซ่ไปหมด อันเป็นรหัสที่บอกว่าเป็นเวลาของวันใหม่แล้วนั้นเอง
ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อยพลางสะบัดหน้าแรงๆไล่ความมึนงงออกไปให้หมด ค่อยๆชันกายลุกขึ้นนั่ง แล้วซอยเปลือกตาถี่ๆมองไปรอบๆราวป่าเพื่อปรับสายตารับแสงและทัศนียภาพแวดล้อม
“เช้าแล้วเหรอเนี่ย?” ผมอุทานขึ้นในใจ
และทันใดนั้นเองสายตาของผมก็พลันไปปะทะเข้ากับภาพๆหนึ่งซึ่งทำเอาผมตกใจสะดุ้งโหยงแทบหัวใจวายและน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ผมร้องเฮ้ย!!!! ขึ้นมาสุดเสียง เพราะภาพที่ผมเห็นนั้นก็คือ ด้านขวามือของผมนั้นอันเคยมีพรานชุ่มนอนขนาบอยู่ข้างๆ บัดนี้ปรากฏเป็นซากศพที่ขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นเน่าเฟะ หนอนตัวเท่านิ้วโป้งชอนไชไปเกือบทั่วทั้งร่าง เนื้อหนังหลุดลุ่ยเป็นสีคล้ำๆออกดำๆ น้ำเหลืองน้ำหนองก็ไหลเยิ้มออกมาจากบาดแผลที่เกิดจาการชอนไชของพวกหนอนนั้นอย่างสยองใจเป็นที่สุด ร่างนั้นนอนแผ่หลาในท่าหงายนิ่งเป็นดุษณี ใบหน้าบวมฉึ่งตาเบิกค้างนิ่ง ปากก็อ้าค้างคล้ายอาการที่พะงาบๆก่อนตาย แมลงวันและแมลงไพรตัวน้อยๆหลายตัวก็พากันบินวนตอมหยอดไข่ใส่แลเห็นขาวทั่วเป็นหย่อมๆไปหมด
“อะไรกันเนี่ยพรานชุ่ม.....พรานชุ่มตายแล้ว!!!”
ผมแหกปากร้องลั่น ลากกายถอยกรูดๆออกห่างจากศพนั้นอย่างไร้สติ พลันก็มีเสียงร้องว้าก!!!มาจากด้ายซ้ายของผมซึ่งก็เป็นพรานเดชนั่นเอง บัดนี้แกนั่งนิ่งตัวสั่นจับจ้องไปยังซากศพของพรานชุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจปากก็ขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้น
ข้างกายของศพผมมองไปก็พบกับห่อใบตองห่อใหญ่สองสามห่อเหมือนจะเป็นห่อเนื้อหรือห่ออะไรสักอย่างวางอยู่ตรงนั้น พร้อมกันนั้นพรานเดชก็ชี้ไม้ชี้มือร้องลั่น
“นาย!!!นาย!!! มาดูอะไรนี่สินาย!!!”
พอผมหันกลับไปพร้อมกับผุดลุกขึ้นเดินไปยังฝั่งปลายเท้าของพรานเดชก็พบว่าสมุดบันทึกประจำตัวของผมนั้นตกอยู่ที่นั่นและเหมือนว่ามันจะถูกรื้อออกมาจากเป้ของผมเสียด้วย หน้าสมุดเปิดออกแทบจะถึงหน้าสุดท้ายพร้อมกับมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับไว้เหมือนจะเป็นการป้องกันไม่ให้มันปลิวคลาดจากหน้าที่เปิดไว้ คล้ายๆกับว่าต้องการให้เห็นเพียงหน้าที่ถูกทับไว้หน้าเดียวเพียงเท่านั้น
ผมวิ่งเข้าไปพิจารณาทั้งๆที่ยังตะลึงอยู่ เอื้อมมือไปหยิบก้อนหินที่ทับหน้ากระดาษนั้นไว้ออกมาวางลง แล้วก็พบว่ากระดาษหน้านั้น มีรอยเปรอะเปื้อนเลอะเทอะของน้ำเลือดน้ำหนองอยู่และก็มีข้อความที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่ไม่คุ้นตาซึ่งก็คงไม่ใช่ลายมือผมเป็นแน่ปรากฏอยู่ที่หน้ากระดาษนั้นอีกด้วย ลักษณะลายมือมันไม่บรรจงสวยงามอะไรนัก เป็นตัวหวัดๆเล็กน้อยซึ่งผมก็หยิบขึ้นมาอ่านแบบออกเสียงให้พรานเดชฟังด้วย โดยข้อความนั้นมันเขียนเอาไว้ว่า.....
“ ถึงนายมิ่งและครูเดชที่เคารพ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ สารนี้เขียนขึ้นด้วยลายมือของพรานชุ่มเองก่อนที่วิญญาณจะสละร่างทิ้งศพของผมอันเน่าขึ้นอืดไป ผมรู้ว่าทั้งสองท่านสงสัยอยู่มากว่าเหตุใดตื่นขึ้นมาผมถึงกลายเป็นศพ ซึ่งผมก็ขออธิบายให้ชัดเจนนะครับว่า แท้จริงแล้วผมนั้นได้เสียชีวิตลงไปเมื่อวันที่สองของการเข้าป่ามาล่าสัตว์แล้วด้วยพิษไข้มาลาเรียที่ไม่มีใครเยียวยาได้
ผมเป็นห่วงคนทางบ้านทุกคนมากแต่ก็กลับไปไม่ได้เพราะเหตุใดไม่ทราบ จนกระทั่งหลายวันต่อมานายกับครูเดชก็มาพบผมเข้า และผมก็ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนะครับที่เมตตาต่อผมทุกเรื่องมาโดยตลอดและครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะร้องขอความต้องการจากท่าน คือให้เผาศพผมเสียตรงนี้แล้วนำผ้ามาห่อเถ้ากระดูกกลับไปบ้านพร้อมกับแจ้งข่าวให้ครอบครัวของผมให้ทราบด้วย
ส่วนห่อใบตองที่ท่านพบนั้นก็คือห่อเนื้อที่ผมอยากจะนำไปให้คนทางบ้านของผมได้ประทังชีพกันครับ ซึ่งผมได้ออกไปหามาเมื่อใกล้รุ่งนี้เองแล้วจึงสละวิญญาณทิ้งร่างไป ได้โปรดทำตามคำขอของผมด้วยเถิดครับเพราะนี่คือสารสุดท้ายจากพรานชุ่มผู้จะไปปรโลกอยู่นี้แล้ว ขอให้พวกท่านจงพบแต่ความสุขสมหวังทุกประการครับ ฝากบอกถึงน้องชายและคนในบ้านทุกคนด้วยนะครับว่าผมนั้นยังรักยังห่วงและคิดถึงเสมอ ลาก่อนตลอดกาล ด้วยรักด้วยอาลัยและเคารพอย่างสูง......
ลงชื่อ:พรานชุ่ม”
เมื่ออ่านจบผมเผลอปล่อยสมุดบันทึกให้ร่วงลงจากมือที่ถืออยู่ด้วยอาการสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง น้ำตาแห่งความอาลัยและสงสารไหลรินออกมาในทันทีนั้น พรานเดชเองก็หน้าแดงสะอื้นอั่กๆเอามือฟายน้ำตาอยู่เช่นกัน
“โถ...พรานชุ่มคุณตายไปแล้วก็จริงแต่คุณก็ยังทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวและพรานคู่ใจของผมได้อย่างไม่บกพร่องจนวินาทีสุดท้าย ผมนับถือน้ำใจคุณจริงๆ ลาก่อนนะสหายไพรคู่ใจของผม”
ผมรำพันอยู่ในใจด้วยความเศร้าสลดพลางมองไปทางซากศพของเขาอย่างสังเวชอาวรณ์
“สู่สุคตินะชุ่มนะ ไอ้ศิษย์รักของข้า...” พรานเฒ่าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือแล้วสะอื้นด้วยอาลัยรัก
จากนั้นทั้งผมและพรานเดชก็จัดการฌาปนกิจศพของพรานชุ่มอยู่ ณ ที่นั้นอย่างง่ายๆด้วยฟืนไม้ป่าที่ช่วยกันหามาเท่าที่จะหาได้ พอร่างของพรานชุ่มมอดไหม้กลายเป็นธุลีแล้วก็ช่วยกันเก็บเอาเถ้ากระดูกใส่ห่อผ้าขาวม้าของพรานเดชที่สละเพื่อลูกศิษย์ของตนแล้วมัดให้เรียบร้อยจากนั้นก็เก็บของเดินทางกลับออกจากป่านี้ไปอย่างสลดใจเป็นที่สุด
เมื่อกลับไปถึงบ้านผมกับพรานเดชก็ช่วยกันเล่าความเป็นไปของพรานชุ่มให้ครอบครัวของเขาได้รับฟัง ภาพที่ผมเห็น ณ ตอนนี้มันสะเทือนใจยิ่งนัก เพราะเมื่อเขาทั้งหลายได้รับรู้ก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเหลือที่จะกล่าว อ้อยกับแม่นั้นร่ำไห้แทบใจจะขาดต่างก็เป็นลมล้มพับกันไปจนได้ปฐมพยาบาล นายเชิดน้องชายก็ฟูมฟายกอดห่อเถ้ากระดูกรำพันอยู่เช่นนั้น มันช่างเป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจของผมกับพรานเดชเป็นที่สุดเราทั้งสองก็ต่างน้ำตาซึมไปเช่นกัน
จากนั้นต่อมางานพิธีบำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายก็ถูกจัดขึ้นโดยมีผมเป็นหนึ่งในเจ้าภาพด้วย และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมก็ได้มอบเงินเป็นค่าปลอบขวัญให้ครอบครัวของเขาเป็นจำนวนสามหมื่นบาท แล้วก็ไปมาหาสู่กันอยู่เรื่อยๆเพราะสายใยสายสัมพันธ์มันตัดกันไม่ขาดหรอกครับ
นี่แหละครับคือเรื่องราวทั้งหมดในสมุดบันทึกชีวิตในไพรของอามิ่งที่ผมได้นำมาเสนอทุกท่านในครั้งนี้ หวังว่าคงได้รับความบันเทิงปนขนหัวลุกจากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ...
จบบริบูรณ์......
ธีร์ วรรณกร
นวนิยายสยองขวัญ เรื่อง:สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม ตอนที่5(ตอนจบ) ประพันธ์โดย "ธีร์ วรรณกร"
โดยธีร์ วรรณกร
๑๙มีนาคม๒๕๔๖เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วขึ้นระงมเป็นระยะไปทั่วทั้งป่า ทั้งเสียงนกไพรก็ส่งเสียงร้องกันแซ่ไปหมด อันเป็นรหัสที่บอกว่าเป็นเวลาของวันใหม่แล้วนั้นเอง
ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อยพลางสะบัดหน้าแรงๆไล่ความมึนงงออกไปให้หมด ค่อยๆชันกายลุกขึ้นนั่ง แล้วซอยเปลือกตาถี่ๆมองไปรอบๆราวป่าเพื่อปรับสายตารับแสงและทัศนียภาพแวดล้อม
“เช้าแล้วเหรอเนี่ย?” ผมอุทานขึ้นในใจ
และทันใดนั้นเองสายตาของผมก็พลันไปปะทะเข้ากับภาพๆหนึ่งซึ่งทำเอาผมตกใจสะดุ้งโหยงแทบหัวใจวายและน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ผมร้องเฮ้ย!!!! ขึ้นมาสุดเสียง เพราะภาพที่ผมเห็นนั้นก็คือ ด้านขวามือของผมนั้นอันเคยมีพรานชุ่มนอนขนาบอยู่ข้างๆ บัดนี้ปรากฏเป็นซากศพที่ขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นเน่าเฟะ หนอนตัวเท่านิ้วโป้งชอนไชไปเกือบทั่วทั้งร่าง เนื้อหนังหลุดลุ่ยเป็นสีคล้ำๆออกดำๆ น้ำเหลืองน้ำหนองก็ไหลเยิ้มออกมาจากบาดแผลที่เกิดจาการชอนไชของพวกหนอนนั้นอย่างสยองใจเป็นที่สุด ร่างนั้นนอนแผ่หลาในท่าหงายนิ่งเป็นดุษณี ใบหน้าบวมฉึ่งตาเบิกค้างนิ่ง ปากก็อ้าค้างคล้ายอาการที่พะงาบๆก่อนตาย แมลงวันและแมลงไพรตัวน้อยๆหลายตัวก็พากันบินวนตอมหยอดไข่ใส่แลเห็นขาวทั่วเป็นหย่อมๆไปหมด
“อะไรกันเนี่ยพรานชุ่ม.....พรานชุ่มตายแล้ว!!!”
ผมแหกปากร้องลั่น ลากกายถอยกรูดๆออกห่างจากศพนั้นอย่างไร้สติ พลันก็มีเสียงร้องว้าก!!!มาจากด้ายซ้ายของผมซึ่งก็เป็นพรานเดชนั่นเอง บัดนี้แกนั่งนิ่งตัวสั่นจับจ้องไปยังซากศพของพรานชุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจปากก็ขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้น
ข้างกายของศพผมมองไปก็พบกับห่อใบตองห่อใหญ่สองสามห่อเหมือนจะเป็นห่อเนื้อหรือห่ออะไรสักอย่างวางอยู่ตรงนั้น พร้อมกันนั้นพรานเดชก็ชี้ไม้ชี้มือร้องลั่น
“นาย!!!นาย!!! มาดูอะไรนี่สินาย!!!”
พอผมหันกลับไปพร้อมกับผุดลุกขึ้นเดินไปยังฝั่งปลายเท้าของพรานเดชก็พบว่าสมุดบันทึกประจำตัวของผมนั้นตกอยู่ที่นั่นและเหมือนว่ามันจะถูกรื้อออกมาจากเป้ของผมเสียด้วย หน้าสมุดเปิดออกแทบจะถึงหน้าสุดท้ายพร้อมกับมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับไว้เหมือนจะเป็นการป้องกันไม่ให้มันปลิวคลาดจากหน้าที่เปิดไว้ คล้ายๆกับว่าต้องการให้เห็นเพียงหน้าที่ถูกทับไว้หน้าเดียวเพียงเท่านั้น
ผมวิ่งเข้าไปพิจารณาทั้งๆที่ยังตะลึงอยู่ เอื้อมมือไปหยิบก้อนหินที่ทับหน้ากระดาษนั้นไว้ออกมาวางลง แล้วก็พบว่ากระดาษหน้านั้น มีรอยเปรอะเปื้อนเลอะเทอะของน้ำเลือดน้ำหนองอยู่และก็มีข้อความที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่ไม่คุ้นตาซึ่งก็คงไม่ใช่ลายมือผมเป็นแน่ปรากฏอยู่ที่หน้ากระดาษนั้นอีกด้วย ลักษณะลายมือมันไม่บรรจงสวยงามอะไรนัก เป็นตัวหวัดๆเล็กน้อยซึ่งผมก็หยิบขึ้นมาอ่านแบบออกเสียงให้พรานเดชฟังด้วย โดยข้อความนั้นมันเขียนเอาไว้ว่า.....
“ ถึงนายมิ่งและครูเดชที่เคารพ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ สารนี้เขียนขึ้นด้วยลายมือของพรานชุ่มเองก่อนที่วิญญาณจะสละร่างทิ้งศพของผมอันเน่าขึ้นอืดไป ผมรู้ว่าทั้งสองท่านสงสัยอยู่มากว่าเหตุใดตื่นขึ้นมาผมถึงกลายเป็นศพ ซึ่งผมก็ขออธิบายให้ชัดเจนนะครับว่า แท้จริงแล้วผมนั้นได้เสียชีวิตลงไปเมื่อวันที่สองของการเข้าป่ามาล่าสัตว์แล้วด้วยพิษไข้มาลาเรียที่ไม่มีใครเยียวยาได้
ผมเป็นห่วงคนทางบ้านทุกคนมากแต่ก็กลับไปไม่ได้เพราะเหตุใดไม่ทราบ จนกระทั่งหลายวันต่อมานายกับครูเดชก็มาพบผมเข้า และผมก็ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนะครับที่เมตตาต่อผมทุกเรื่องมาโดยตลอดและครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะร้องขอความต้องการจากท่าน คือให้เผาศพผมเสียตรงนี้แล้วนำผ้ามาห่อเถ้ากระดูกกลับไปบ้านพร้อมกับแจ้งข่าวให้ครอบครัวของผมให้ทราบด้วย
ส่วนห่อใบตองที่ท่านพบนั้นก็คือห่อเนื้อที่ผมอยากจะนำไปให้คนทางบ้านของผมได้ประทังชีพกันครับ ซึ่งผมได้ออกไปหามาเมื่อใกล้รุ่งนี้เองแล้วจึงสละวิญญาณทิ้งร่างไป ได้โปรดทำตามคำขอของผมด้วยเถิดครับเพราะนี่คือสารสุดท้ายจากพรานชุ่มผู้จะไปปรโลกอยู่นี้แล้ว ขอให้พวกท่านจงพบแต่ความสุขสมหวังทุกประการครับ ฝากบอกถึงน้องชายและคนในบ้านทุกคนด้วยนะครับว่าผมนั้นยังรักยังห่วงและคิดถึงเสมอ ลาก่อนตลอดกาล ด้วยรักด้วยอาลัยและเคารพอย่างสูง......
ลงชื่อ:พรานชุ่ม”
เมื่ออ่านจบผมเผลอปล่อยสมุดบันทึกให้ร่วงลงจากมือที่ถืออยู่ด้วยอาการสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง น้ำตาแห่งความอาลัยและสงสารไหลรินออกมาในทันทีนั้น พรานเดชเองก็หน้าแดงสะอื้นอั่กๆเอามือฟายน้ำตาอยู่เช่นกัน
“โถ...พรานชุ่มคุณตายไปแล้วก็จริงแต่คุณก็ยังทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวและพรานคู่ใจของผมได้อย่างไม่บกพร่องจนวินาทีสุดท้าย ผมนับถือน้ำใจคุณจริงๆ ลาก่อนนะสหายไพรคู่ใจของผม”
ผมรำพันอยู่ในใจด้วยความเศร้าสลดพลางมองไปทางซากศพของเขาอย่างสังเวชอาวรณ์
“สู่สุคตินะชุ่มนะ ไอ้ศิษย์รักของข้า...” พรานเฒ่าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือแล้วสะอื้นด้วยอาลัยรัก
จากนั้นทั้งผมและพรานเดชก็จัดการฌาปนกิจศพของพรานชุ่มอยู่ ณ ที่นั้นอย่างง่ายๆด้วยฟืนไม้ป่าที่ช่วยกันหามาเท่าที่จะหาได้ พอร่างของพรานชุ่มมอดไหม้กลายเป็นธุลีแล้วก็ช่วยกันเก็บเอาเถ้ากระดูกใส่ห่อผ้าขาวม้าของพรานเดชที่สละเพื่อลูกศิษย์ของตนแล้วมัดให้เรียบร้อยจากนั้นก็เก็บของเดินทางกลับออกจากป่านี้ไปอย่างสลดใจเป็นที่สุด
เมื่อกลับไปถึงบ้านผมกับพรานเดชก็ช่วยกันเล่าความเป็นไปของพรานชุ่มให้ครอบครัวของเขาได้รับฟัง ภาพที่ผมเห็น ณ ตอนนี้มันสะเทือนใจยิ่งนัก เพราะเมื่อเขาทั้งหลายได้รับรู้ก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจเหลือที่จะกล่าว อ้อยกับแม่นั้นร่ำไห้แทบใจจะขาดต่างก็เป็นลมล้มพับกันไปจนได้ปฐมพยาบาล นายเชิดน้องชายก็ฟูมฟายกอดห่อเถ้ากระดูกรำพันอยู่เช่นนั้น มันช่างเป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจของผมกับพรานเดชเป็นที่สุดเราทั้งสองก็ต่างน้ำตาซึมไปเช่นกัน
จากนั้นต่อมางานพิธีบำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายก็ถูกจัดขึ้นโดยมีผมเป็นหนึ่งในเจ้าภาพด้วย และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมก็ได้มอบเงินเป็นค่าปลอบขวัญให้ครอบครัวของเขาเป็นจำนวนสามหมื่นบาท แล้วก็ไปมาหาสู่กันอยู่เรื่อยๆเพราะสายใยสายสัมพันธ์มันตัดกันไม่ขาดหรอกครับ
นี่แหละครับคือเรื่องราวทั้งหมดในสมุดบันทึกชีวิตในไพรของอามิ่งที่ผมได้นำมาเสนอทุกท่านในครั้งนี้ หวังว่าคงได้รับความบันเทิงปนขนหัวลุกจากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ...
จบบริบูรณ์......
ธีร์ วรรณกร