ผจญภัยป่าสาละวิน ตอนที่ 2
ล. วิลิศมาหรา
ขณะกำลังนั่งคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงลมพัดดัง วู้ วู้ มาแต่ไกล พร้อมกับเสียงหวีดร้องแหลมเล็กปนมากับเสียงลม คนในถ้ำหยุดชะงักการพูดจากัน นั่งนิ่งเงี่ยหูฟัง คิดว่าคืนนี้ท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว ป่านี้ยังมีสิ่งลี้ลับอีกหลายอย่างที่จะเข้ามารบกวนพวกตน สงสัยคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแน่
เป็นเพราะคิดว่าป่ามหากาฬที่บรรดานายพรานต่างร่ำลือถึงความอาถรรพ์ของมัน ตนเองน่าจะพอรับมือไหวอยู่ แต่ครั้นได้เข้ามาแล้วถึงค่อยพบว่า โดนอาถรรพ์ป่าเล่นงานตั้งแต่คืนแรกกันทีเดียว แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องหาทางเอาตัวรอดออกไปให้ได้ ไม่มีทางงอมืองอเท้าให้ต้องกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปอีกคนหนึ่งแน่
พรานถมมองหน้าเพื่อน ถามเสียงเบาว่ายังเจ็บแผลมากอยู่หรือเปล่า พรานเยี่ยมส่ายหน้า บอกว่าแผลแค่นี้ยังอยู่ไกลหัวใจมาก ตนเองทนไหวอย่างแน่นอน
“เสียงผีค่าง มันตามมากับไอ้เสือสมิงตัวนั้น”
เขาบอกเพื่อนพรานด้วยเสียงเบาเช่นเดียวกัน แม้ผีค่างที่ว่าจะเป็นผีที่มีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก เคยเจอมันมาก่อนแล้วในโป่งฝั่งพม่า แต่ถ้ามันถูกสิงด้วยวิญญาณที่มีแรงอาถรรพ์แก่กล้า ก็อย่าได้ประมาทมันเป็นอันขาด ว่ากันว่า ผีโป่งผีป่ามักจะคู่กันมากับเสือสมิง เหมือนเป็นบริวารของเสือผีสิง หรือบางทีมันก็อาจจะออกล่าเหยื่อด้วยกัน ในลักษณะพึ่งพากันก็ได้
พรานถมพยักหน้าเห็นด้วย นิ่งฟังเสียงแหลมบาดแก้วหูที่ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ จนเหมือนมันมาหยุดอยู่ที่หน้าปากถ้ำ คนทั้งคู่เขม้นมองไปทางต้นเสียง แสงจากกองไฟที่ก่อไว้ทำให้มองเห็นว่า ขณะนี้มีสัตว์ลักษณะเหมือนลิงตัวเล็ก แต่มีใบหน้าคล้ายคน แขนยาวระพื้น มีกรงเล็บแหลมคม มายืนแยกเขี้ยวร้องขู่อยู่ที่หน้าปากถ้ำ ที่น่าตกใจก็คือ มันไม่ได้มาแค่ตัวเดียว แต่ยังมีดวงตาแวววาวขนาดใหญ่ของพวกมัน ส่องกระทบแสงไฟให้เห็นอยู่ในเงามืดนอกถ้ำอีกหลายคู่
“สงสัยมันจะได้กลิ่นเลือดมนุษย์ คงอยากจะมากินเลือดข้า แน่จริงก็บุกเข้ามาสิวะ ข้ามยันต์แปดทิศมาให้ได้ กูรอพวกมิงอยู่”
พรานเยี่ยมพูดลอดไรฟัน พรานถมฉีกผ้าขะม้าคาดเอวของตัวเองออกพันรอบหัวไหล่ให้เพื่อน พรานเยี่ยมขยับหัวไหล่ดู พบว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงมาก เขาจึงลุกไปล้วงเอาว่านจันทร์หลงตากแห้งจากในถุงย่ามมาโยนเข้ากองไฟ พอว่านติดไฟก็เกิดควันสีเหลืองพลุ่งขึ้น ส่งกลิ่นเอียน ๆ ออกมา ฉับพลัน เหล่าผีค่างก็ค่อย ๆ ถอยหลังหนี เพราะกลิ่นของว่านชนิดนี้จะทำให้พวกมันมึนงงและอ่อนแรงลง แม้แต่เจ้าตัวที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้าก็เช่นกัน จนในที่สุดเหมือนพวกมันจะทนทานต่อกลิ่นของว่านไม่ไหว พากันถอยหายเข้าไปในความมืด พรานเยี่ยมร้องหึ! ในลำคอ เขาล้วงเอาก้อนสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือใส่ปากเคี้ยว มันคือก้อนฝิ่นดิบที่ใช้เป็นยาครอบจักรวาล แก้ไข้แก้ปวดได้สารพัดชนิดของพรานป่านั่นเอง
“เอ็งนอนพักให้สบาย แผลจะได้หายเร็วขึ้น ข้าจะเฝ้ายามให้เอง ไม่ต้องห่วง คืนนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะ”
พรานถมบอกเพื่อน พรานเยี่ยมยิ้มน้อย ๆ ให้คู่หู เขาเอนตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียจากเสียแรงต่อสู้กับเสือสมิง เพียงครู่เดียวก็หลับสนิท จากฤทธิ์ของยาฝิ่นนั่นเอง
แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรมารบกวนคนทั้งสองอีกเลยตลอดทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมา สองนายพรานก็ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตากันที่ในลำธารด้านหน้าถ้ำ แผลบนไหล่ของพรานเยี่ยมแม้จะไม่ค่อยเจ็บปวดแล้ว และผิวหนังก็เริ่มจะสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บอยู่ ทั้งคู่ถือเครื่องมือหากินในป่าติดมือมาด้วย
“เดี๋ยวข้าจะไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาหุงข้าวกิน จะไปส่องไก่ป่ามาสักตัว พอกินข้าวเสร็จเราก็จะออกเดินทางกันต่อทันที น่าจะไปถึงโป่งก่อนค่ำ” พรานถมบอกคู่หู พรานเยี่ยมพยักหน้าให้เพื่อน
“งั้นเอ็งไปหากระบอกไม้ไผ่มา ข้าจะจับปลาเอามาเป็นเสบียง ถ้าได้หลายตัว นอกจากจะหลามปลากินแล้ว จะเอามาทำส้มปลาไว้กินต่ออีก”
พรานถมจึงขึ้นจากลำธารเดินมุ่งหน้าไปทางกอไผ่ที่อยู่ห่างไปอีกหน่อย ส่วนพรานเยี่ยมก็ลุยน้ำลงไปจับปลา กะว่าถ้าได้ตัวใหญ่ ๆ สักสี่ห้าตัว ก็จะขึ้นจากน้ำแล้ว
เขาถือข้องใส่ปลาเดินลุยน้ำไปทางน้ำตกด้านหน้า ที่เห็นตัวปลาแหวกว่ายอยู่หลายตัว ด้านข้างฟากขวาเป็นหุบที่มีน้ำไหลดังซู่ซ่า ด้านซ้ายเป็นดงกล้วยขึ้นกอเบียดเสียดกันหนาแน่น ขณะกำลังจับปลาเพลิน ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้านกเค้าแมวตัวเมื่อคืนนี้ กำลังบินหายเข้าไปในดงกล้วยริมลำธาร ความรู้สึกบอกว่ามันต้องเป็นเจ้านกตัวนั้นแน่ เหมือนมีแรงดึงดูดใจบางอย่าง โดยไม่ได้รู้สึกว่าจะมีอันตราย พรานหนุ่มละมือจากการจับปลา ลุยน้ำไปทางดงกล้วยทันที สังหรณ์ใจว่าอาจไปเจออะไรในดงกล้วยนั่น
แต่เมื่อขึ้นฝั่งมาแล้วเดินเข้าไปในดงกล้วย กลับไม่พบอะไรที่น่าสนใจ นอกจากกล้วยเครือใหญ่หลายเครือที่สุกคาต้นอยู่ พรานหนุ่มเหลียวมองหาเจ้านกตัวนั้น หรือว่ามันจะเข้ามาทำรังอยู่ในนี้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เขายืนหมุนไปมา เมื่อมองไม่เห็นมีอะไร นอกจากต้นกล้วยที่ขึ้นซับซ้อนอยู่รอบตัว และไม่มีวี่แววของเจ้านกตัวนั้นแล้ว จึงคิดจะเดินกลับ แต่ก่อนกลับก็หมายตาไปที่กล้วยเครือหนึ่ง ซึ่งกำลังสุกได้ที่ เขาเดินไปใช้มีดที่พกมาด้วย ฟันเอามาเครือหนึ่ง
ทันทีนั้นเอง จมูกก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมา กลิ่นของมันคล้ายกลิ่นเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด เขาทำจมูกฟุดฟิด เผลอสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างชื่นใจ ทันใด ก็เกิดเสียงแว่วดังในหู เป็นเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาว เสียงใสน่ารักของเจ้าหล่อนทำเอาสะดุ้ง รีบก้าวเท้าออกจากดงกล้วยไปทันที
และพอลุยน้ำข้ามมาถึงอีกฝั่ง ทันทีที่เท้าเหยียบลงตลิ่ง นกเค้าแมวไม่รู้มาจากไหน บินผ่านหน้าไปทางพุ่มไม้ด้านข้าง พรานเยี่ยมมองตาม เห็นเงาแวบ ๆ หายลับไปทางนั้น แต่เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้ มันเป็นร่างคล้ายลิงตัวหนึ่ง...ไอ้ผีค่างตัวเมื่อคืนนี้นั่นเอง
“มาแอบสอดแนมพวกกูเหรอวะ ไอ้ผีลิง”
พรานเยี่ยมแค่นยิ้ม เขามองหาเจ้านกเค้าแมว มันบินโฉบมาให้เห็นในเวลากลางวัน ทั้งที่ไม่ใช่เวลาออกหากินของมัน เหมือนจะบอกเป็นนัยให้เขาระวังตัว และเตือนให้รู้ว่ามีเจ้าผีลิงคอยตามดูเขาอยู่ ชักนึกชอบนกขึ้นมา จึงส่งยิ้มไปทางนั้น ซึ่งก็ได้รับกลิ่นหอมแบบเดิมลอยมาตามลม โชยเข้าจมูกมาอีก และได้ยินเสียงใบตองกล้วยสั่นไหวอยู่ทางฝั่งดงกล้วย พรานเยี่ยมขนลุกซู่ นึกถึงผีนางตานีขึ้นมาทันที
หลังหุงหาอาหารแล้วเสร็จ ก็แล่ปลาทำปลาส้ม ปิ้งกล้วยไว้เป็นเสบียงอีกหลายหวี พอกินข้าวอิ่ม ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว สองนายพรานก็ออกเดินทางกันต่อ ป่าดงดิบแบบนี้มืดค่ำเร็วมาก แม้จะเป็นหน้าแล้ง แต่อาจมีฝนหลงฤดูหล่นลงมาให้เดินทางลำบากมากขึ้นก็ได้ เสบียงไม่น่าห่วงแล้ว แค่มีข้าวสารกับพริกเกลือ นอกจากที่เตรียมมาก็หาเอาตามรายทาง ป่าคือตลาดสดดี ๆ นี่เอง ในน้ำมีปลา บนฟ้ามีนกนานาชนิด กบ เขียด กระต่าย ชะมด แม้แต่สัตว์ตัวใหญ่อย่างเก้ง กวาง เอามาลาบกินกับฝักเพกาเผา
คนทั้งสองเดินทางผ่านป่ารกมาเกือบชั่วโมงก็เห็นร่องรอยบางอย่าง
“สงสัยไอ้พวกหากินแถวชายแดนมันมาทางนี้”
ติดตามเรื่องของพรานทั้งสองต่อได้ที่ช่องนะคะ ลิมีอาการเจ็บคอจึงยังไม่ได้อัดเสียง เลยเอาบางส่วนมาลงให้อ่านกันก่อน หากอัดเสียงเสร็จจะเอาลิ้งค์มาวางที่นี่นะคะ^^
ผจญภัยป่าสาละวิน ตอนที่ 2
เป็นเพราะคิดว่าป่ามหากาฬที่บรรดานายพรานต่างร่ำลือถึงความอาถรรพ์ของมัน ตนเองน่าจะพอรับมือไหวอยู่ แต่ครั้นได้เข้ามาแล้วถึงค่อยพบว่า โดนอาถรรพ์ป่าเล่นงานตั้งแต่คืนแรกกันทีเดียว แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องหาทางเอาตัวรอดออกไปให้ได้ ไม่มีทางงอมืองอเท้าให้ต้องกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปอีกคนหนึ่งแน่
พรานถมมองหน้าเพื่อน ถามเสียงเบาว่ายังเจ็บแผลมากอยู่หรือเปล่า พรานเยี่ยมส่ายหน้า บอกว่าแผลแค่นี้ยังอยู่ไกลหัวใจมาก ตนเองทนไหวอย่างแน่นอน
“เสียงผีค่าง มันตามมากับไอ้เสือสมิงตัวนั้น”
เขาบอกเพื่อนพรานด้วยเสียงเบาเช่นเดียวกัน แม้ผีค่างที่ว่าจะเป็นผีที่มีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก เคยเจอมันมาก่อนแล้วในโป่งฝั่งพม่า แต่ถ้ามันถูกสิงด้วยวิญญาณที่มีแรงอาถรรพ์แก่กล้า ก็อย่าได้ประมาทมันเป็นอันขาด ว่ากันว่า ผีโป่งผีป่ามักจะคู่กันมากับเสือสมิง เหมือนเป็นบริวารของเสือผีสิง หรือบางทีมันก็อาจจะออกล่าเหยื่อด้วยกัน ในลักษณะพึ่งพากันก็ได้
พรานถมพยักหน้าเห็นด้วย นิ่งฟังเสียงแหลมบาดแก้วหูที่ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ จนเหมือนมันมาหยุดอยู่ที่หน้าปากถ้ำ คนทั้งคู่เขม้นมองไปทางต้นเสียง แสงจากกองไฟที่ก่อไว้ทำให้มองเห็นว่า ขณะนี้มีสัตว์ลักษณะเหมือนลิงตัวเล็ก แต่มีใบหน้าคล้ายคน แขนยาวระพื้น มีกรงเล็บแหลมคม มายืนแยกเขี้ยวร้องขู่อยู่ที่หน้าปากถ้ำ ที่น่าตกใจก็คือ มันไม่ได้มาแค่ตัวเดียว แต่ยังมีดวงตาแวววาวขนาดใหญ่ของพวกมัน ส่องกระทบแสงไฟให้เห็นอยู่ในเงามืดนอกถ้ำอีกหลายคู่
“สงสัยมันจะได้กลิ่นเลือดมนุษย์ คงอยากจะมากินเลือดข้า แน่จริงก็บุกเข้ามาสิวะ ข้ามยันต์แปดทิศมาให้ได้ กูรอพวกมิงอยู่”
พรานเยี่ยมพูดลอดไรฟัน พรานถมฉีกผ้าขะม้าคาดเอวของตัวเองออกพันรอบหัวไหล่ให้เพื่อน พรานเยี่ยมขยับหัวไหล่ดู พบว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงมาก เขาจึงลุกไปล้วงเอาว่านจันทร์หลงตากแห้งจากในถุงย่ามมาโยนเข้ากองไฟ พอว่านติดไฟก็เกิดควันสีเหลืองพลุ่งขึ้น ส่งกลิ่นเอียน ๆ ออกมา ฉับพลัน เหล่าผีค่างก็ค่อย ๆ ถอยหลังหนี เพราะกลิ่นของว่านชนิดนี้จะทำให้พวกมันมึนงงและอ่อนแรงลง แม้แต่เจ้าตัวที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้าก็เช่นกัน จนในที่สุดเหมือนพวกมันจะทนทานต่อกลิ่นของว่านไม่ไหว พากันถอยหายเข้าไปในความมืด พรานเยี่ยมร้องหึ! ในลำคอ เขาล้วงเอาก้อนสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือใส่ปากเคี้ยว มันคือก้อนฝิ่นดิบที่ใช้เป็นยาครอบจักรวาล แก้ไข้แก้ปวดได้สารพัดชนิดของพรานป่านั่นเอง
“เอ็งนอนพักให้สบาย แผลจะได้หายเร็วขึ้น ข้าจะเฝ้ายามให้เอง ไม่ต้องห่วง คืนนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะ”
พรานถมบอกเพื่อน พรานเยี่ยมยิ้มน้อย ๆ ให้คู่หู เขาเอนตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียจากเสียแรงต่อสู้กับเสือสมิง เพียงครู่เดียวก็หลับสนิท จากฤทธิ์ของยาฝิ่นนั่นเอง
แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรมารบกวนคนทั้งสองอีกเลยตลอดทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมา สองนายพรานก็ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตากันที่ในลำธารด้านหน้าถ้ำ แผลบนไหล่ของพรานเยี่ยมแม้จะไม่ค่อยเจ็บปวดแล้ว และผิวหนังก็เริ่มจะสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บอยู่ ทั้งคู่ถือเครื่องมือหากินในป่าติดมือมาด้วย
“เดี๋ยวข้าจะไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาหุงข้าวกิน จะไปส่องไก่ป่ามาสักตัว พอกินข้าวเสร็จเราก็จะออกเดินทางกันต่อทันที น่าจะไปถึงโป่งก่อนค่ำ” พรานถมบอกคู่หู พรานเยี่ยมพยักหน้าให้เพื่อน
“งั้นเอ็งไปหากระบอกไม้ไผ่มา ข้าจะจับปลาเอามาเป็นเสบียง ถ้าได้หลายตัว นอกจากจะหลามปลากินแล้ว จะเอามาทำส้มปลาไว้กินต่ออีก”
พรานถมจึงขึ้นจากลำธารเดินมุ่งหน้าไปทางกอไผ่ที่อยู่ห่างไปอีกหน่อย ส่วนพรานเยี่ยมก็ลุยน้ำลงไปจับปลา กะว่าถ้าได้ตัวใหญ่ ๆ สักสี่ห้าตัว ก็จะขึ้นจากน้ำแล้ว
เขาถือข้องใส่ปลาเดินลุยน้ำไปทางน้ำตกด้านหน้า ที่เห็นตัวปลาแหวกว่ายอยู่หลายตัว ด้านข้างฟากขวาเป็นหุบที่มีน้ำไหลดังซู่ซ่า ด้านซ้ายเป็นดงกล้วยขึ้นกอเบียดเสียดกันหนาแน่น ขณะกำลังจับปลาเพลิน ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้านกเค้าแมวตัวเมื่อคืนนี้ กำลังบินหายเข้าไปในดงกล้วยริมลำธาร ความรู้สึกบอกว่ามันต้องเป็นเจ้านกตัวนั้นแน่ เหมือนมีแรงดึงดูดใจบางอย่าง โดยไม่ได้รู้สึกว่าจะมีอันตราย พรานหนุ่มละมือจากการจับปลา ลุยน้ำไปทางดงกล้วยทันที สังหรณ์ใจว่าอาจไปเจออะไรในดงกล้วยนั่น
แต่เมื่อขึ้นฝั่งมาแล้วเดินเข้าไปในดงกล้วย กลับไม่พบอะไรที่น่าสนใจ นอกจากกล้วยเครือใหญ่หลายเครือที่สุกคาต้นอยู่ พรานหนุ่มเหลียวมองหาเจ้านกตัวนั้น หรือว่ามันจะเข้ามาทำรังอยู่ในนี้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เขายืนหมุนไปมา เมื่อมองไม่เห็นมีอะไร นอกจากต้นกล้วยที่ขึ้นซับซ้อนอยู่รอบตัว และไม่มีวี่แววของเจ้านกตัวนั้นแล้ว จึงคิดจะเดินกลับ แต่ก่อนกลับก็หมายตาไปที่กล้วยเครือหนึ่ง ซึ่งกำลังสุกได้ที่ เขาเดินไปใช้มีดที่พกมาด้วย ฟันเอามาเครือหนึ่ง
ทันทีนั้นเอง จมูกก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมา กลิ่นของมันคล้ายกลิ่นเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด เขาทำจมูกฟุดฟิด เผลอสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างชื่นใจ ทันใด ก็เกิดเสียงแว่วดังในหู เป็นเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาว เสียงใสน่ารักของเจ้าหล่อนทำเอาสะดุ้ง รีบก้าวเท้าออกจากดงกล้วยไปทันที
และพอลุยน้ำข้ามมาถึงอีกฝั่ง ทันทีที่เท้าเหยียบลงตลิ่ง นกเค้าแมวไม่รู้มาจากไหน บินผ่านหน้าไปทางพุ่มไม้ด้านข้าง พรานเยี่ยมมองตาม เห็นเงาแวบ ๆ หายลับไปทางนั้น แต่เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้ มันเป็นร่างคล้ายลิงตัวหนึ่ง...ไอ้ผีค่างตัวเมื่อคืนนี้นั่นเอง
“มาแอบสอดแนมพวกกูเหรอวะ ไอ้ผีลิง”
พรานเยี่ยมแค่นยิ้ม เขามองหาเจ้านกเค้าแมว มันบินโฉบมาให้เห็นในเวลากลางวัน ทั้งที่ไม่ใช่เวลาออกหากินของมัน เหมือนจะบอกเป็นนัยให้เขาระวังตัว และเตือนให้รู้ว่ามีเจ้าผีลิงคอยตามดูเขาอยู่ ชักนึกชอบนกขึ้นมา จึงส่งยิ้มไปทางนั้น ซึ่งก็ได้รับกลิ่นหอมแบบเดิมลอยมาตามลม โชยเข้าจมูกมาอีก และได้ยินเสียงใบตองกล้วยสั่นไหวอยู่ทางฝั่งดงกล้วย พรานเยี่ยมขนลุกซู่ นึกถึงผีนางตานีขึ้นมาทันที
หลังหุงหาอาหารแล้วเสร็จ ก็แล่ปลาทำปลาส้ม ปิ้งกล้วยไว้เป็นเสบียงอีกหลายหวี พอกินข้าวอิ่ม ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว สองนายพรานก็ออกเดินทางกันต่อ ป่าดงดิบแบบนี้มืดค่ำเร็วมาก แม้จะเป็นหน้าแล้ง แต่อาจมีฝนหลงฤดูหล่นลงมาให้เดินทางลำบากมากขึ้นก็ได้ เสบียงไม่น่าห่วงแล้ว แค่มีข้าวสารกับพริกเกลือ นอกจากที่เตรียมมาก็หาเอาตามรายทาง ป่าคือตลาดสดดี ๆ นี่เอง ในน้ำมีปลา บนฟ้ามีนกนานาชนิด กบ เขียด กระต่าย ชะมด แม้แต่สัตว์ตัวใหญ่อย่างเก้ง กวาง เอามาลาบกินกับฝักเพกาเผา
คนทั้งสองเดินทางผ่านป่ารกมาเกือบชั่วโมงก็เห็นร่องรอยบางอย่าง
“สงสัยไอ้พวกหากินแถวชายแดนมันมาทางนี้”
ติดตามเรื่องของพรานทั้งสองต่อได้ที่ช่องนะคะ ลิมีอาการเจ็บคอจึงยังไม่ได้อัดเสียง เลยเอาบางส่วนมาลงให้อ่านกันก่อน หากอัดเสียงเสร็จจะเอาลิ้งค์มาวางที่นี่นะคะ^^