นวนิยายสอยงขวัญ เรื่อง:สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม ตอนที่2 ประพันธ์โดย "ธีร์ วรรณกร"

สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม (ตอนที่๒)
โดยธีร์ วรรณกร

              ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆนกการ้องกันระงมไปหมด และทันทีที่เหยียบเข้ามาในผืนไพรนี้แล้ว  ก็สดับได้กับเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องแซ่กันอย่างไม่ขาดระยะ อากาศก็เย็นๆชื้นๆขึ้นและยิ่งเป็นเวลาเช้าๆอย่างนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งสัมผัสได้ดีเลยทีเดียว  ผมกับพรานเดชเดินฝ่าพงหญ้าอันขึ้นสูงถึงเข่าเข้าไปตามทางที่ผมจำได้ว่าเคยมากับพรานชุ่มแล้วเป็นเวลาบ่อยครั้งโดยไม่พูดอะไรกันแม้แต่สักคำเดียว ต่างก็มองสูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา อยู่เป็นระยะๆ คอยฟังสดับรหัสป่าไปเรื่อยๆอย่างไม่ประมาท

ลูกซองในมือก็กำกระชับแน่นเป็นการเตรียมพร้อมแต่ก็มิได้หมายถึงการจะเล็งยิงอะไรหรอก  เพียงแต่เป็นการเตือนตนเองไปก็เท่านั้น ยิ่งก้าวย่างเข้าลึกขึ้นเรื่อยๆป่าก็ยิ่งทึบขึ้นๆเช่นกัน

มีเสียงค่างโหยก้องมาครั้งหนึ่งบนยอดสักสูงอยู่เบื้องหน้า เจ้าลิงกังก็ส่งเสียงหยอกล้อคู่กันอยู่จ้อกแจ้กบนเครือเถาวัลย์ที่พันโอบต้นหว้าต้นใหญ่เยื้องๆไปทางด้านขวาของเรา  ซึ่งนั่นก็เป็นปกติวิสัยของสัตว์ป่าที่ผมเห็นจนชินตามาแล้ว
เมื่อเดินมาถึงโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งข้างต้นตะแบกอันมีตะไคร่น้ำจำพวกมอสขึ้นเกาะอยู่เขียวครึ้ม  และมีดอกเห็ดขึ้นบนขอนไม้เก่าผุๆขอนหนึ่งเป็นหย่อมๆนั้น พรานเดชก็ชี้แล้วกวักมือเรียกผมเข้าไปหาเพื่อดูอะไรบางอย่าง

“นายครับมาดูอะไรนี่”
“หือ....มีอะไรพรานเดช?” ผมฉงนใจแล้วรีบก้าวตามเข้าไปหา
“รอยก่อไฟกับกระดูกของกระแตและไก่ป่าครับนาย”
“อืม...หลายวันมาแล้วนะดูจากร่องรอยแล้วเนี่ย”
“ครับ เป็นใครไปไม่ได้หรอกเจ้าชุ่มแน่”
“แน่ใจเหรอ?” ผมถาม
“ครับ แบบนี้ไม่มีใครหรอก เห็นปลอกกระสุนนั่นมั้ย? ในหมู่บ้านเรานี้พวกเก็บของป่าน่ะเขาไม่ใช้ปืนกันหรอกมีแต่หน้าไม้ และที่มีปืนก็มีแต่ผมกับเจ้าชุ่มแค่สองคนเท่านั้น” พรานเดชตอบมาอย่างหนักแน่น

เมื่อผมเดินเข้าไปหยิบมาพิจารณาแล้วก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่พรานเดชบอก  เพราะปลอกกระสุนนั่นมันก็คือปลอกของลูกซองที่พรานชุ่มชอบใช้อยู่เป็นประจำนั่นเอง
จากนั้นผมกับพรานเดชก็เดินทางกันต่อไปตามที่หมายซึ่งก็คือดอนอีเห็นที่ว่า และระยะทางมันก็ไกลจากที่นี่ไปประมาณ5-6กิโลเมตรเห็นจะได้ตามการคาดคะเนของผม

              และในระหว่างที่พวกเราทั้งสองกำลังเดินลัดเลาะขึ้นสู่ทางชันอันประกอบไปด้วยดิน หิน และโคลนที่เหนียวลื่นอยู่นั่นเอง พรานเดชที่เดินนำผมอยู่เบื้องหน้าก็หยุดชะงักแล้วโบกมือให้ผมผู้อยู่ด้านหลังเป็นการบอกให้หยุดด้วย หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆนั่งลงยองๆ ปืนในมือกระชับแน่นดวงตาจ้องไปยังพงเฟิร์นเบื้องหน้าอย่างไม่กระพริบ ผมก็นั่งลงเช่นกันและก็พยายามมองฝ่าเข้าไปที่แห่งนั้นด้วย ภาพที่ผมเห็นคือเจ้าเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังแทะซากเก้งพร้อมกับฉีกทึ้งกัดกินอยู่กรอดๆอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ผมขยับกายเข้าไปชิดพรานเดชอย่างช้าๆแล้วยกปืนขึ้นเล็งจ้องไปยังเจ้าโคร่งตัวนั้นหมายจะยิงในตอนที่มันเผลอตัวอยู่เช่นนี้ให้สิ้นชีวิตไป
แต่แล้วพรานเดชก็ตะปบลำกล้องไว้ให้ปากกระบอกชี้ลงดิน สั่งห้ามมาด้วยเสียงกระซิบว่า

“อย่าครับนาย!! ปล่อยมันกินไปก่อน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นเปลืองกระสุนเปล่าๆ เก็บเอาไว้ใช้ยามเหตุการณ์มันอันตรายกว่านี้เถอะ!!”

              ผมพยักหน้ารับคำ แล้วในช่วงอึดใจใหญ่ๆต่อมาเจ้าเสือโคร่งนั่นมันก็ผละ  กระโดดเผ่นแผล็วไปจากซากของเก้งตัวนั้นอย่างรวดเร็ว โดยเข้าพงทึบด้านข้างจนลับตา  ปล่อยซากเก้งให้นอนทอดกายเหลือแค่ชิ้นส่วนของร่างกายบางชิ้นอยู่เช่นนั้น
เมื่อแน่ใจแล้วพรานเดชก็ชักชวนให้ผมเดินทางต่อ  โดยไม่ต้องสนใจอะไรอีกทั้งสิ้น พอเหลือบดูนาฬิกาข้อมือในตอนนี้ก็พบว่ามันเป็นเวลาแปดโมงครึ่ง แสงแดดจากดวงอาทิตย์เบื้องบนก็สาดส่องลงมาแผ่รังสีความร้อนให้ได้รับอ่อนๆบ้างแล้ว เดินมาในระยะนี้ผมต้องควักผ้าขนหนูจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดออกจากรูขุมขนด้วยอาการอบอ้าวนี้บ่อยขึ้นเสียแล้วสิ

              ระยะเวลาผ่านไปกว่า3ชั่วโมงเห็นจะได้จู่ๆผมก็พบว่า  ร่างของผมกับพรานเดชทะลุมาจากพงหญ้าด้านหนึ่งแล้วโผล่มาที่ดอนอีเห็นอันเป็นที่หมายอย่างงงๆโดยที่ผมเองก็ยังไม่ทันที่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ ทัศนียภาพของดอนอีเห็นนั้นสวยงามตามแบบฉบับแดนสวรรค์ในป่าลึก มีหมู่ไม้น้อยใหญ่ขึ้นเป็นร่มเงา ดอกไม้ป่านาๆชนิดก็บานไสวสะพรั่งเป็นพุ่มใหญ่อยู่หลายแห่ง เสียงนกแก้วนกกางเขนร้องเจื้อยแจ้วแว่วมาตามสายลม อากาศก็ไม่ร้อนชื้นกลับเย็นสบายด้วยไอน้ำตกที่เป็นเนินหินสูงเป็นขั้นๆอยู่เบื้องหน้า น้ำก็ใสเย็นชื่นใจไหลจากที่สูงลงสู่ธารเบื้องล่างดังซู่ซ่าราวกับห่าฝน ฝูงปลาก็แหวกว่ายกันชุกชุมดูอุดมหนาตาเป็นที่สุด

ใช่...ผมมาถึงแล้วดอนอีเห็นแดนสวรรค์ของป่าแถบนี้ที่ผมติดใจเป็นอย่างมาก  เหมือนได้มาพักผ่อนอยู่ในอุทยานแห่งชาติที่ปลอดภัยไร้อันตรายยังไงยังงั้น  
“นายครับ..” เสียงทุ้มแหบๆด้วยอายุของพรานเดชดังขึ้น
“อะไรเหรอ?” ผมถาม
“มองหาร่องรอยของเจ้าชุ่มหน่อยสิครับว่ามีบ้างไหม”
“เออ...ลืมไปเลยมัวแต่ชมความงามของธรรมชาติอยู่ เอ้าๆมาช่วยกันหาเร็ว!!”
สิ้นประโยคนั้นผมกับพรานเดชก็รีบกุลีกุจอแยกย้ายกันหาร่องรอยของพรานชุ่มอยู่ในบริเวณนั้นอย่างเร่งรีบ ผมแยกไปทางพุ่มเสือหมอบใกล้ต้นผุใหญ่ด้านข้างน้ำตก ส่วนพรานเดชก็ไปทางดงสนฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ผมพยายามมองหาและกวาดสายตาเพื่อที่จะดูแหล่งพักของพรานชุ่มไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบอะไร แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็มีเสียงตะโกนขอนพรานเดชมาจากดงสนอย่างลิงโลดและตื่นเต้น ผมเองก็หันขวับแล้วรีบจ้ำอ้าวๆไปตามเสียงนั้นทันที
“นายครับ....นาย...นายมิ่งครับ..มานี่เร็วครับ!!” พรานเดชร้องมามีท่าทางระรื่น
“อะไร!!?? พบแล้วเหรอพรานเดช!!??” ผมก็ร้องถามไปด้วยอาการเดียวกัน
“นายครับตามผมมาแล้วดูอะไรนั่น”

เมื่อเราทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดยองๆซุ่มอยู่ที่โขดหินริมธารด้านหนึ่ง   พรานเดชก็ชี้มือไปยังเบื้องหน้าทางบริเวณโขดหินใหญ่ด้านบนสุดของน้ำตก
ผมแหงนหน้าขึ้นมองตามก็ดีใจขึ้นมาในบัดนั้น

“นายครับนั่นไงเจ้าชุ่ม มันนั่งจ้องจะยิงปลาอยู่นั่น แหม....ขยันจริง” พรานเดชกระซิบ
ใช่แล้วครับบนโขดหินใหญ่ของฝั่งน้ำตกด้านบนสุดนั้นร่างของพรานชุ่มกำลังนั่งยองๆถือลูกซองเตรียมพร้อมจ้องจะยิงปลาอยู่อย่างเขม็งหนักแน่นเลยทีเดียว
“วู้.......ชุ่มโว้ย......วู้..........ได้ยินรึเปล่า.......ข้าพรานเดชเองนะโว้ย..........วู้.......”
พรานเฒ่ากู่ตะโกนเรียกศิษย์ของตนขึ้นอย่างดังลุกขึ้นทำท่าโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณ

         และแล้วร่างที่กำลังนั่งทนโท่อยู่นั้นก็หันขวับตามเสียงเรียก   พลางทำสีหน้าฉงนเล็กน้อยก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มร่าขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วลุกพรวดพราดขึ้นกุลีกุจอวิ่งหน้าตั้งลงจากโขดธารน้ำตก  ผ่านพงเฟิร์นมาทางผมกับพรานเดชอย่างรวดเร็ว  เมื่อเขาผู้นั้นวิ่งมาหยุดต่อหน้าของเราทั้งสองก็โพล่งลั่นถามหน้าตาตื่นมาว่า

“ตายแล้ว!!นายมิ่ง ครูเดช มาที่นี่กันได้ยังไงครับนี่....?”
“ข้ากับนายมิ่งก็มาตามเอ็งนั่นแหละไอ้ชุ่ม...พอดีนายเขาว่าจะให้เอ็งนำทางมาที่นี่แต่ได้ข่าวว่าเอ็งไม่อยู่บ้านเขาเลยให้ข้านำทางพามาหาเอ็งแทนไงล่ะ” พรานเดชกล่าวขึ้นกับลูกศิษย์อย่างระรื่น
“โถ่..นายครับไม่น่าลำบากมาตามถึงขนาดนี้เลย ถ้ารู้ว่าผมไม่อยู่ก็น่าจะกลับไปก่อนนะครับ
แต่ว่า......” ประโยคหลังเขามีสีหน้าเคร่งลงน้ำเสียงอ่อนๆ
“แต่อะไรพรานชุ่ม?” ผมซักมาอย่างสงสัย
“อ๋อ...เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับผมว่าไหนๆเราก็มาเจอกันแล้ว ไปหาเป่าสัตว์แถวนี้ด้วยลูกปืนกันดีกว่า..” พรานชุ่มเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มอย่างรวดเร็วก่อนที่จะออกเดินดุ่มๆไปยังใต้ร่มต้นยางใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าห่างไม่เกิน6เมตร
“เอ้านายมิ่งครับ ครูเดชมาๆๆ เอาของมาวางไว้ตรงนี้ก่อนแล้วรีบหาฟืนหาไม้มาก่อกันวันนี้ผมเห็นไก่ป่า กับพวกเก้งชุมทีเดียวตรงดงต้นผุด้านตะวันออกนู่นแน่ะ มา..เดี๋ยวผมพาไปยิง”

   ผมกับพรานเดชก็ไม่รีรอช้าเดินไปยังที่ตรงนั้นแล้วปลดสัมภาระทุกอย่างที่สะพายขนมาทิ้งกองพิงไว้ที่โคนต้นอย่างเป็นระเบียบ ต่อจากนั้นผมก็ขอมีดอีโต้จากพรานเดชที่ติดมากับมีดประแดะของเขาในย่ามหนึ่งเล่มออกมาแล้วแยกย้ายพากันไปตัดไม้หาฟื้นมาไว้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร ในใจตอนนั้นก็อยากพูดเร่งให้พรานชุ่มกลับบ้านเสียตอนนี้อยู่หรอกแต่ว่าเห็นเขากำลังดีใจที่ได้พบพวกผมก็เลยปล่อยให้เขาทำหน้าที่พรานไปก่อนไม่อยากเอาเรื่องครอบครัวมาพูดเสียตอนนี้จะทำให้เขาเป็นกังวลเสียเปล่าๆ

เมื่อได้เชื้อเพลิงพอสมควรแล้วพวกเราทั้งสามคนก็ออกเดินไปยังดงต้นผุอย่างไม่รีบเร่งอะไรนักโดยการนำของพรานชุ่มผมอยู่กลางและพรานเดชเป็นผู้รั้งท้าย

ผมสังเกตไปทั่วทั้งกายของพรานชุ่มในครั้งนี้ดูผิดแผกไปมากจากแต่ก่อนที่เคยเห็น เพราะบัดนี้เสื้อพรานป่าสีน้ำตาลของเขานั้นดูซีดเซียวและคร่ำคร่ามีคราบอะไรเกรอะกรังเต็มไปหมด กางเกงขาสั้นสีดำก็ขาดกะรุ่งกะริ่งอย่างกับขอทานข้างถนน และที่ยิ่งไปกว่านั้นรองเท้าแตะที่เคยใส่เดินป่าอยู่เป็นประจำตามประสาคนยากนั้นกลับเหลือแต่เท้าเปล่าๆ ที่เดินเหยียบย่ำกรวดทรายและหินแหลมไปอย่างไม่มีความรู้สึก ซ้ำร่างกายยังดูมอมแมมมอซอไปกว่าที่เคย เนื้อตัวมีเหงื่อชุ่มเหนียวเหนอะหนะไปทั่วทั้งร่าง เผ้าผมก็กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง
“เอ...ทำไมพรานชุ่มถึงได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ตัวเองดูซอมซ่อไปมากซะอย่างนี้นะ ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” ผมครุ่นคิดอยู่ในใจแต่ก็มิได้ปริปาก ได้แต่เดินท่อมๆมองซ้ายแลขวาตามราวป่าอย่างประสงค์เหยื่ออยู่เช่นนั้น

แล้วทันใดนั้นเองจู่ๆเจ้าหมูป่าตัวเขื่องก็ถลันพรวดพราดออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างมาหยุดยืนทำท่าทางงงๆอยู่ต่อหน้าพรานชุ่มพอดี จังหวะนั้นเองเขาก็ยกปืนขึ้นประทับบ่าแล้วปล่อยกระสุนเปรี้ยง!!ออกไปหนึ่งนัด เจ้าเขี้ยวยาวร้องวี๊ด....สุดเสียงกระดอนกลิ้งโค่โล่ชักกระแด่วนอนดิ้นพราดๆอยู่ไม่นานก็แน่นิ่งไป  พลันยังไม่ทันที่จะสิ้นสุดเหตุการณ์อันน่าดูนั้นเอง เสียงปืนของพรานเดชก็ดังขึ้นอีกสองนัดทางด้านหลังของผม พอหันกลับไปก็เห็นไก่ป่าสองตัวแน่นิ่งเป็นซากกองอยู่ไม่ห่างกับคู่ของมันไปมากนัก แล้วพรานเฒ่าก็เดินไปหิ้วซากนั้นขึ้นมาพร้อมกับยิ้มร่ามาทางผม

“หวานหมูอร่อยไก่ล่ะครับวันนี้นาย ฮ่ะฮ่ะ” แกพูดแล้วก็หัวเราะขึ้น
“ว้า...ไอ้ผมก็เข้าป่ามาซะบ่อยแต่หูตาไม่ค่อยไวเหมือนกับพวกคุณสองคนเลยไม่ไหวจริงๆ” ผมจุ๊ปากพร้อมกับโคลงหัวไปมา
“นายครับ ผมว่าเราแบกไอ้หมูป่านี่กลับไปไว้ที่พักของเราก่อนมั้ยครับแล้วค่อยไปล่าเก้งกันต่อ?”
พรานชุ่มหันหน้ามาถามผมอย่างเรียบๆ ผมส่ายศีรษะช้าๆแล้วก็ตอบปฏิเสธไปว่า
“ไม่หรอก...ผมไม่ล่าเก้งแล้วล่ะเห็นไอ้หมูกับไก่ที่พวกคุณยิงแล้วนี่มันก็แน่นท้องเต็มที ผมว่าอย่าไปล่าให้มันเสียเวลาอีกเลย”
“อ้าวแล้วอาหารค่ำล่ะครับนาย?” พรานชุ่มถามมาอีก
“ก็ไอ้หมูป่าตัวนี้นี่แหละ คิดเหรอว่าเราสามคนจะกินมันหมดภายในมื้อเดียวน่ะ? ตัวใหญ่อย่างกะอะไรขนาดนั้น..”
“เอาเป็นว่าเราจะเผื่อหมูนี่ไว้เป็นอาหารค่ำอย่างนั้นใช่มั้ยครับ?”
“ใช่...ไปๆกลับที่พักกันผมไม่มีกะจิตกะใจทำบาปยังไงชอบกลวันนี้” ผมพูดตัดบท แล้วก็พยักหน้าชวนพรานทั้งสองกลับที่พัก

หลังจากนั้นทั้งสองพรานก็ช่วยกันหามซากเจ้าหมูป่าตัวโตเขี้ยวยาวนั่นเดินกระย่องกระแย่งไปอย่างไม่สู้จะดีนัก พอผมจะเข้าไปช่วยเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบแต่พวกเขาก็ห้ามไว้เสียก่อนแล้วบอกให้ผมหิ้วซากไก่ป่าสองตัวนั้นกลับไปแทน
เมื่อมาถึงที่พักแล้วนั้น หน้าที่ถลกหนังหมูป่าก็เป็นของพรานชุ่ม ชำแหละซากไก่ก็เป็นหน้าที่ของพรานเดช ส่วนผมนั้นไม่รู้จะช่วยอะไรเพราะไม่ชำนาญด้านนี้ เลยได้แต่ก่อกองไฟขึ้นแล้วก็จัดการหุงข้าวในหม้อสนามที่เตรียมมา พร้อมกับออกไปหาไม้ไผ่มาตัดเป็นบ้องแล้วกระทำการต้มปลาที่พรานชุ่มยิงได้เมื่อครู่ใหญ่ยัดใบไม้อุดแล้วนำไปเผากับไฟรอเวลาที่จะสุกต่อไป

ในขณะที่ทั้งสองพรานกำลังชำแหละซากสัตว์กันอย่างสันทัดคล่องแคล่วนั้น สายตาของผมก็พลันไปพบกับภาพที่ไม่น่าดูเข้า เพราะเมื่อผมจับจ้องไปยังร่างของพรานชุ่มซึ่งกำลังแหวะท้องหมูป่าอยู่นั้น ผมกลับเห็นร่างของเขาเป็นโครงกระดูกขาวโพลนไปทั้งร่างภายใต้การปิดบังบางส่วนของเสื้อผ้าที่ใส่ กำลังวาดคมมีดกรีดอย่างเชื่องช้าอยู่ที่ท้องของหมูป่าตัวนั้น...!!!

(โปรดติดตามอ่านตอนที่๓เป็นตอนต่อไป...)
ธีร์ วรรณกร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่